หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 731 เกี่ยวโยง

ตอนที่ 731 เกี่ยวโยง
“ตระกูลอวิ๋นมีความเกี่ยวโยงกับวงการนักพรตเต๋าหรือเปล่า?

ถ้าหากว่ามี แล้วเกี่ยวพันอะไรกับเรื่องนี้ของเฉินสี่ฉวนหรือไม่?”

เยี่ยเทียนเอื้อมมือมานวดหัวคิ้ว ข้อมูลในสมองมีนับพันนับหมื่น แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับไม่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลแยกส่วนกันเหล่านี้ได้เลย นั่นเพราะเขาไม่เห็นคำอธิบายที่เหมาะสม

ผู้ฝึกวิชาเต๋าแทบไม่เคยออกมาในสังคมมาเกือบร้อยปีแล้ว การปรากฏตัวของนักพรตเต๋าคนนั้นที่เขาฉางไป๋ซาน ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ออกว่า ในสังคมมนุษย์นั้นมีอะไร ดึงดูดให้ผู้คนที่ไม่กินอาหารจากเตาไฟเหล่านี้ปรากฏตัว?

เมื่อครู่เยี่ยเทียนเสนอข้อเรียกร้องสองข้อต่อเฉินสี่ฉวน เพียงเพื่อปกป้องครอบครัวของตัวเองตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะให้ตระกูลอวิ๋นเพ่งเล็งมาที่ครอบครัวของเขาไม่ได้

อีกทั้งการให้เฉินสี่ฉวนย้ายออกนอกประเทศ ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ถ้าหากซ่งเวยหลันไม่ยืนยันมั่นเหมาะว่าจะสนับสนุนเฉินสี่ฉวน ต่อให้เขาสามารถระดมทุนได้ ก็จะพบความยากลำบากมากมายภายในประเทศอยู่ดี

ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่อยากเปิดเผยตระกูลเยี่ยสู่สายตาของตระกูลอวิ๋น ดังนั้นให้เฉินสี่ฉวนออกนอกประเทศจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

“หรือว่าเป็นเพราะเหมืองทองนั่น?”

เมื่อคิดถึงเฉินสี่ฉวน ในความคิดของเยี่ยเทียนก็บังเกิดความคิดหนึ่ง “จริงสิ วานรขาวเคยบอกว่า ภายในกระบองเหล็กของมันมีทองคำบริสุทธิ์ผสมอยู่ ซึ่งหล่อหลอมมาจากทองคำ นั่นหมายความว่านักพรตเต๋าผู้นี้เองก็ต้องใช้ทองคำเช่นเดียวกัน!”

คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหมือนเมฆหมอกสลายจนเห็นจันทร์ หรือว่าที่ตระกูลอวิ๋นเข้าร่วมธุรกิจค้าขายแร่หายากมาหลายสิบปี อีกทั้งขุดเหมืองขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพวกเขาจะได้จัดหาวัตถุดิบใช้หล่อหลอมในวงการผู้ฝึกวิชาเต๋า?

“ที่แท้ วงการนักพรตเต๋าก็ไม่เคยตัดขาดสัมพันธ์ไปจากสังคมโลกเลยสินะ?”

ยิ่งคิดเยี่ยเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่าคาดเดาได้ไม่ผิด ตอนที่ยังไม่ได้ข้ามระดับเซียนเทียนไปนั้น เวลาเยี่ยเทียนฝึกวิชาในสำนัก จะขาด “ทรัพย์ สหายและแผ่นดิน” ไปไม่ได้

และหลังจากเข้าสู่ขั้นเซียนเทียนแล้ว ข้อจำกัดของ “ทรัพย์ สหายและแผ่นดิน” จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนตอนนี้จะไม่สามารถทำการฝึกฝนวิชาได้ สาเหตุนั่นเป็นเพราะเขาไม่อาจหาสถานที่อันมีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ภายในเมืองปักกิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นมีดสั้นอู๋เหินของขลังที่เยี่ยเทียนให้ความสำคัญสูงสุดเมื่อในอดีต เมื่อเทียบกับกระดิ่งซานชิงแล้ว ยังเห็นได้ชัดว่ามีค่าเพียงน้อยนิด ถ้าไม่เพราะพกติดตัวมานานแสนนาน จนเกิดความผูกพัน เกรงว่าเยี่ยเทียนคงจะทิ้งไปไม่นำมาใช้นานแล้ว

แม้เยี่ยเทียนจะไม่รู้ว่าขอบเขตตำแหน่งเสินโจวบนแผนที่ภายในหัวนั้นคือที่ไหนกันแน่ แต่พลังงานที่นั่นเห็นได้ชัดว่าไม่อาจเทียบเคียงกับโลกภายนอก การปรากฎตัวของนักพรตผู้นั้น จึงดูเหมือนจะมีคำอธิบายแล้ว

แต่ว่าในจำนวนกุญแจเหล่านี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เยี่ยเทียนคิดไม่ออก หากนักพรตผู้นั้นจะเข้าสู่สังคมโลก เหตุใดจึงต้องไปไกลถึงเขาฉางไป๋ซานด้วย?

และถ้าหากนักพรตเต๋าสัมผัสกับสังคมโลกมาตลอด เหตุใดยังต้องพกธนบัตรและคูปองแลกอาหารที่เลิกแพร่หลายตั้งแต่หลายสิบปีก่อนไว้กับตัว เรื่องพวกนี้เยี่ยเทียนขบคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ

“ช่างเถอะ ถ้าหากพวกเขามีแผนที่ จะต้องส่งคนมาอีกอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเราก็จัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าสืบสาวมาถึงตัวเราหรอก!”

พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว กำจัดความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอกออกไป ต่อให้เขาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย คนพวกนั้นก็ไม่สามารถโยงเรื่องการหายตัวของนักพรตมาใส่หัวเขาได้นี่นา?

“เสี่ยวเทียน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ถ้าหากดูท่าไม่ดีล่ะก็ แม่จะไม่ลงทุนล่ะนะ!”

เห็นลูกชายตอนกินข้าวยังมีเรื่องภายในใจอย่างนั้น หลังจากกินข้าวเสร็จ ซ่งเวยหลันก็ดึงตัวเยี่ยเทียนไปด้านข้าง กระซิบถามเสียงแผ่วเบา

“แม่ ไม่มีอะไรครับ แม่ให้ลุงเฉินกู้เงินสองพันล้านไปเลย ผมกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก “จริงสิ แม่ครับ แม่รู้เรื่องทางตระกูลอวิ๋นมากน้อยแค่ไหน เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหม?”

“หมายถึงตระกูลอวิ๋นเหรอ?”

ซ่งเวยหลันนิ่งคิดไปชั่วครู่ ตอบว่า “ผู้เฒ่าอวิ๋นรับผิดชอบตำแหน่งผู้นำอันสำคัญมากมาตลอด เรื่องนี้ลูกเองก็รู้ เขามีลูกชายสองคน คนหนึ่งเกิดก่อนยุคปลดแอก เคยเป็นข้าราชการชั้นสูงระดับมณฑล แต่ตอนนี้เกษียณแล้ว

ลูกคนรองของผู้เฒ่าอวิ๋นเกิดในปีที่ปลดแอกนั้นเอง ตอนต้นปี 70 เข้าไปทำงานในสถานีวิจัยแร่เหล็ก ดูเหมือนจะเป็นปี 80 ล่ะมั้ง ที่สถานีวิจัยแร่เหล็กก้าวเข้าสู่การลงทุนธุรกิจค้าแร่หายากในฐานะหน่วยงานทดสอบ

สามปีต่อมา ถึงแม้หน่วยงานนั้นจะยังอยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐบาล แต่หลังจากดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนแล้ว หน่วยงานนั้นก็เหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ มากมาย ที่กลายเป็นระบบถือหุ้น อวิ๋นหวาถงจึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้นเพราะเหตุนี้…”

พูดถึงเรื่องในอดีตนี้ ซ่งเวยหลันเองยังขมวดคิ้ว เรื่องการปรับเปลี่ยนระบบส่วนแบ่งคราวนั้น ส่งผลกระทบต่อสังคมและวงการการศึกษาอย่างใหญ่หลวง

แต่ว่าผลกระทบครั้งนั้นล้วนเป็นไปในทางที่ดี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ขั้นตอนในการปฏิรูป ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่การเจริญเติบโตครั้งใหม่ ประชาชนจึงได้ก้าวจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด

ที่ซ่งเวยหลันรู้เรื่องนี้ เป็นเพราะเมื่อช่วงกลางปี 80 บริษัทนี้ยังไม่มีความรู้เพียงพอจะทำธุรกิจเหมืองในต่างประเทศ ซ่งเวยหลันเคยช่วยพวกเขาคว้าเหมืองทองแดงแห่งหนึ่งในแคนาดา ว่าไปแล้วทางนั้นก็เคยติดค้างหนี้เธอครั้งหนึ่ง

“เยี่ยเทียน ถ้าหากลูกมีความโกรธแค้นอะไรกับพวกเขา แม่สามารถช่วยไกล่เกลี่ยได้นะ ต่อให้ไม่ได้ก็ยังมีคุณตาลูกอีกคน มีเรื่องอะไรไม่ต้องเก็บไว้ในใจหรอก!”

เห็นวิธีที่ลูกชายจัดการเรื่องราวของเฉินสี่ฉวนแล้ว ซ่งเวยหลันยังนึกว่าเยี่ยเทียนมีความขัดแย้งอะไรบางอย่างกับตระกูลอวิ๋น เธอเคยรู้จักกับอวิ๋นหวาถง เชื่อว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย อวิ๋นหวาถงจะต้องเห็นแก่หน้าเธออย่างแน่นอน

“แม่ครับ ผมไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไรกับตระกูลอวิ๋นทั้งนั้น เรื่องนี้พัวพันกับเรื่องอื่นน่ะ”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็แค่นหัวเราะออกมา เขาไม่สามารถบอกซ่งเวยหลันว่าตัวเองสังหารเทพเซียน แล้วตอนนี้ก็กลัวว่าเทพเซียนคนอื่นจะตามล่าสังหารตัวเอง ขืนทำอย่างนั้นแม่คงต้องพาเขาส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าอย่างแน่นอน

“เอาเถอะ แม่ครับ แม่อย่าคิดให้มากเลย ผมจัดการได้แหละ!”

เห็นแม่ทำหน้ากังวลอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็หัวเราะเจื่อนออกมา ความจริงเขาเองก็รู้สึกเหมือนมีชะนักปักหลัง คิดอยู่ตลอดว่าเรื่องที่ตนเองเกี่ยวข้องกับความตายของนักพรต จะถูกสืบจนพบจากตัวเขา

แต่ว่าตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว รู้ว่าเทพเซียนทั้งหลายเป็นเพียงคนประเภทหนึ่งที่ความสามารถในร่างกายของเขาพัฒนาถึงระดับที่ยากจะจินตนาการได้เท่านั้นเอง

ชะตาฟ้ายากจะคาดเดา ต่อให้คนเหล่านั้นเชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตาเหมือนกับตนเอง ก็ใช่ว่าจะสามารถคาดเดาเหตุการณ์นี้ออกมาได้ สุดท้ายแล้วจิตดั้งเดิมของนักพรตจึงได้ถูกอสรพิษดำกลืนกิน

พอเข้าใจความเชื่อมโยงนี้ ในใจเยี่ยเทียนก็กระจ่างขึ้นมาทันใด หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายออก ครั้งนี้เขาทำเรื่องที่ผิดต่อจริยธรรมไปจริงๆ จึงกลัวว่าวิญญาณจะตามมาเคาะประตู

“เอาเถอะ แม่ครับ แม่ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวผมเอาเงินนั่นโอนให้แม่เอง แม่หาวิธีให้ลุงเฉินเถอะ!”

เยี่ยเทียนกอดแขนแม่ มองนาฬิกา พูดว่า “ผมต้องไปรับชิงหย่าแล้ว ลูกสะใภ้แม่คนนั้นมีคนมาตามจีบเต็มไปหมดเลย!”

“เจ้าลูกคนนี้ ไม่มีอะไรแล้วเดินวนไปวนมาทำไม?”

มองเงาร่างของลูกชายจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ความจริงเธอก็ไม่ได้นึกกังวลมากนัก ถึงอย่างไรด้วยเบื้องหลังของตระกูลซ่งและซ่งเฮ่าเทียนที่ยังอยู่ ในประเทศนี้ ไม่มีใครที่สามารถแตะลูกชายได้จริงๆ หรอก

หลังจากปล่อยวางแล้ว ชีวิตของเยี่ยเทียนก็กลับเข้าสู่วงจรปกติ ห้าวันผ่านไปในชั่วพริบตา

กองกำลังทหารรับจ้างของมาลาไกย์ รวมพลกันเสร็จสิ้น เวลานี้กำลังเร่งรุดไปยังเส้นทางสู่ไซบีเรีย

อีกทั้งภายในเวลาสามวันนี้ พวกเขาไม่ได้นิ่งนอนใจ ดูเหมือนจะสืบข่าวอะไรได้บางอย่าง ก่อนออกเดินทางจึงรับประกันต่อเยี่ยเทียนว่าจะพาต่งต้าจ้วงกลับมาได้อย่างปลอดภัย

ภายใต้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ของข้าราชการจำนวนหนึ่ง เฉินสี่ฉวนจึงจัดการขั้นตอนออกนอกประเทศไปได้เมื่อวาน ขณะที่ตระกูลอวิ๋นยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ทั้งครอบครัวก็ไปถึงรัสเซียแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ซ่งเวยหลันก็นำเงินก้อนจำนวนสามร้อยล้านดอลลาร์อเมริกา ใส่เข้าไปในบัญชีธนาคารสวิส รอให้เฉินสี่ฉวนจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว งานขุดเหมืองทองถึงค่อยดำเนินการ

……

รอบกำแพงพระราชวังต้องห้าม ในอดีตเป็นของเมืองฝ่ายในปักกิ่ง และเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าขุนมูลนาย ข้าราชการชั้นสูงทั้งหลาย

แต่ว่าหลังจากปฏิวัติแล้ว สถาปัตยกรรมมากมายถูกทุบทำลาย นอกจากเรือนสี่ประสานที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่แล้ว อีกด้านหนึ่งของพระราชวังต้องห้าม ยังมีลานเรือนสี่ประสานอีกแห่ง

ในเวลาปัจจุบัน คนเฒ่าคนแก่มากมายล้วนตายจาก บ้านเหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกรัฐบาลยึดคืน ข้าราชการระดับมณฑลที่ชื่นชอบเรือนสี่ประสานอาศัยอยู่ในบ้านเหล่านั้น ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความสงบท่ามกลางความวุ่นวายอย่างแท้จริง

และท่ามกลางเรือนสี่ประสานที่บรรยากาศดีที่สุด อยู่ในตำแหน่งมงคลที่สุด ก็คือบ้านของผู้เฒ่าอวิ๋นในอดีตคนนั้นนั่นเอง

ถึงแม้ว่าท่านผู้เฒ่าอวิ๋นจะเสียชีวิตไปเกือบสิบปีแล้ว แต่คุณนายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน บ้านหลังนี้จึงเป็นทรัพย์สินของตระกูลอวิ๋น

ช่วงหลายปีมานี้ในทุกเทศกาลและปีใหม่ เหล่าผู้นำคนสำคัญจำนวนหนึ่งยังคงมาเยี่ยมเยียนไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ที่ธุรกิจของตระกูลอวิ๋นไม่เคยได้รับการโจมตีใดๆ ก็ด้วยเหตุผลนี้นั่นเอง

ภายในบ้านตระกูลอวิ๋น ชายสองคนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ แม้ว่าลมฤดูใบไม้ผลิยังพัดพาความหนาวเย็นมา แต่ก็ถูกน้ำชาต้มเดือดขับไล่ไปจนสิ้น

คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เรือนผมดำขลับ ดูราวกับอายุเพียงสี่สิบกว่าปี แต่ว่าภายใต้ดวงตานั้น เผยแววแห่งการค้นหาความไม่เที่ยงบนโลกมนุษย์

คนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เป็นชายชรามีใบหน้าราวห้าสิบกว่าปี แต่เมื่อทั้งสองนั่งด้วยกันแล้ว กลับให้ความรู้สึกว่าชายวัยกลางคนนั้นมีศักดิ์สูงกว่า

หลังจากยื่นถ้วยชาให้ชายวัยกลางคน ชายชราก็เอ่ยปากว่า “พี่ใหญ่ ข่าวสารส่งออกไปนานแล้ว หรือว่าคนทางนั้นจะจากไปแล้ว?”

ถ้าหากมีคนอื่นอยู่ตรงนั้น คงจะไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ว่าชายชราผมขาวโพลนคนนี้ กลับเรียกหนุ่มวัยกลางคนว่าพี่ใหญ่ และชายวัยกลางคนก็แสดงท่าทีเรียบเฉย

สองคนนี้ก็คือลูกชายของท่านผู้เฒ่าอวิ๋นนั่นเอง อย่าเห็นแค่อวิ๋นหวาจวินใบหน้าอ่อนวัย ถึงอย่างไรปีนี้เขาก็มีอายุเจ็ดสิบห้าปีแล้ว นับจากตอนเกษียณตำแหน่งก็เป็นเวลาเกือบสิบปี

พอได้ยินคำพูดของน้องชาย อวิ๋นหวาจวินก็ส่ายหน้า พูดเสียงเรียบว่า “หวาถง เป็นไปไม่ได้หรอก แกจะใช้ตรรกะทั่วไปคาดเดาคนเหล่านั้นไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจมีเรื่องอะไรทำให้ล่าช้าไปกระมัง?”

ตอนที่ 731 เกี่ยวโยง
“ตระกูลอวิ๋นมีความเกี่ยวโยงกับวงการนักพรตเต๋าหรือเปล่า?

ถ้าหากว่ามี แล้วเกี่ยวพันอะไรกับเรื่องนี้ของเฉินสี่ฉวนหรือไม่?”

เยี่ยเทียนเอื้อมมือมานวดหัวคิ้ว ข้อมูลในสมองมีนับพันนับหมื่น แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับไม่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลแยกส่วนกันเหล่านี้ได้เลย นั่นเพราะเขาไม่เห็นคำอธิบายที่เหมาะสม

ผู้ฝึกวิชาเต๋าแทบไม่เคยออกมาในสังคมมาเกือบร้อยปีแล้ว การปรากฏตัวของนักพรตเต๋าคนนั้นที่เขาฉางไป๋ซาน ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ออกว่า ในสังคมมนุษย์นั้นมีอะไร ดึงดูดให้ผู้คนที่ไม่กินอาหารจากเตาไฟเหล่านี้ปรากฏตัว?

เมื่อครู่เยี่ยเทียนเสนอข้อเรียกร้องสองข้อต่อเฉินสี่ฉวน เพียงเพื่อปกป้องครอบครัวของตัวเองตามสัญชาตญาณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะให้ตระกูลอวิ๋นเพ่งเล็งมาที่ครอบครัวของเขาไม่ได้

อีกทั้งการให้เฉินสี่ฉวนย้ายออกนอกประเทศ ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ถ้าหากซ่งเวยหลันไม่ยืนยันมั่นเหมาะว่าจะสนับสนุนเฉินสี่ฉวน ต่อให้เขาสามารถระดมทุนได้ ก็จะพบความยากลำบากมากมายภายในประเทศอยู่ดี

ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่อยากเปิดเผยตระกูลเยี่ยสู่สายตาของตระกูลอวิ๋น ดังนั้นให้เฉินสี่ฉวนออกนอกประเทศจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

“หรือว่าเป็นเพราะเหมืองทองนั่น?”

เมื่อคิดถึงเฉินสี่ฉวน ในความคิดของเยี่ยเทียนก็บังเกิดความคิดหนึ่ง “จริงสิ วานรขาวเคยบอกว่า ภายในกระบองเหล็กของมันมีทองคำบริสุทธิ์ผสมอยู่ ซึ่งหล่อหลอมมาจากทองคำ นั่นหมายความว่านักพรตเต๋าผู้นี้เองก็ต้องใช้ทองคำเช่นเดียวกัน!”

คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหมือนเมฆหมอกสลายจนเห็นจันทร์ หรือว่าที่ตระกูลอวิ๋นเข้าร่วมธุรกิจค้าขายแร่หายากมาหลายสิบปี อีกทั้งขุดเหมืองขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพวกเขาจะได้จัดหาวัตถุดิบใช้หล่อหลอมในวงการผู้ฝึกวิชาเต๋า?

“ที่แท้ วงการนักพรตเต๋าก็ไม่เคยตัดขาดสัมพันธ์ไปจากสังคมโลกเลยสินะ?”

ยิ่งคิดเยี่ยเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่าคาดเดาได้ไม่ผิด ตอนที่ยังไม่ได้ข้ามระดับเซียนเทียนไปนั้น เวลาเยี่ยเทียนฝึกวิชาในสำนัก จะขาด “ทรัพย์ สหายและแผ่นดิน” ไปไม่ได้

และหลังจากเข้าสู่ขั้นเซียนเทียนแล้ว ข้อจำกัดของ “ทรัพย์ สหายและแผ่นดิน” จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนตอนนี้จะไม่สามารถทำการฝึกฝนวิชาได้ สาเหตุนั่นเป็นเพราะเขาไม่อาจหาสถานที่อันมีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ภายในเมืองปักกิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นมีดสั้นอู๋เหินของขลังที่เยี่ยเทียนให้ความสำคัญสูงสุดเมื่อในอดีต เมื่อเทียบกับกระดิ่งซานชิงแล้ว ยังเห็นได้ชัดว่ามีค่าเพียงน้อยนิด ถ้าไม่เพราะพกติดตัวมานานแสนนาน จนเกิดความผูกพัน เกรงว่าเยี่ยเทียนคงจะทิ้งไปไม่นำมาใช้นานแล้ว

แม้เยี่ยเทียนจะไม่รู้ว่าขอบเขตตำแหน่งเสินโจวบนแผนที่ภายในหัวนั้นคือที่ไหนกันแน่ แต่พลังงานที่นั่นเห็นได้ชัดว่าไม่อาจเทียบเคียงกับโลกภายนอก การปรากฎตัวของนักพรตผู้นั้น จึงดูเหมือนจะมีคำอธิบายแล้ว

แต่ว่าในจำนวนกุญแจเหล่านี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เยี่ยเทียนคิดไม่ออก หากนักพรตผู้นั้นจะเข้าสู่สังคมโลก เหตุใดจึงต้องไปไกลถึงเขาฉางไป๋ซานด้วย?

และถ้าหากนักพรตเต๋าสัมผัสกับสังคมโลกมาตลอด เหตุใดยังต้องพกธนบัตรและคูปองแลกอาหารที่เลิกแพร่หลายตั้งแต่หลายสิบปีก่อนไว้กับตัว เรื่องพวกนี้เยี่ยเทียนขบคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ

“ช่างเถอะ ถ้าหากพวกเขามีแผนที่ จะต้องส่งคนมาอีกอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเราก็จัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าสืบสาวมาถึงตัวเราหรอก!”

พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว กำจัดความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอกออกไป ต่อให้เขาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย คนพวกนั้นก็ไม่สามารถโยงเรื่องการหายตัวของนักพรตมาใส่หัวเขาได้นี่นา?

“เสี่ยวเทียน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ถ้าหากดูท่าไม่ดีล่ะก็ แม่จะไม่ลงทุนล่ะนะ!”

เห็นลูกชายตอนกินข้าวยังมีเรื่องภายในใจอย่างนั้น หลังจากกินข้าวเสร็จ ซ่งเวยหลันก็ดึงตัวเยี่ยเทียนไปด้านข้าง กระซิบถามเสียงแผ่วเบา

“แม่ ไม่มีอะไรครับ แม่ให้ลุงเฉินกู้เงินสองพันล้านไปเลย ผมกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก “จริงสิ แม่ครับ แม่รู้เรื่องทางตระกูลอวิ๋นมากน้อยแค่ไหน เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหม?”

“หมายถึงตระกูลอวิ๋นเหรอ?”

ซ่งเวยหลันนิ่งคิดไปชั่วครู่ ตอบว่า “ผู้เฒ่าอวิ๋นรับผิดชอบตำแหน่งผู้นำอันสำคัญมากมาตลอด เรื่องนี้ลูกเองก็รู้ เขามีลูกชายสองคน คนหนึ่งเกิดก่อนยุคปลดแอก เคยเป็นข้าราชการชั้นสูงระดับมณฑล แต่ตอนนี้เกษียณแล้ว

ลูกคนรองของผู้เฒ่าอวิ๋นเกิดในปีที่ปลดแอกนั้นเอง ตอนต้นปี 70 เข้าไปทำงานในสถานีวิจัยแร่เหล็ก ดูเหมือนจะเป็นปี 80 ล่ะมั้ง ที่สถานีวิจัยแร่เหล็กก้าวเข้าสู่การลงทุนธุรกิจค้าแร่หายากในฐานะหน่วยงานทดสอบ

สามปีต่อมา ถึงแม้หน่วยงานนั้นจะยังอยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐบาล แต่หลังจากดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนแล้ว หน่วยงานนั้นก็เหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ มากมาย ที่กลายเป็นระบบถือหุ้น อวิ๋นหวาถงจึงกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้นเพราะเหตุนี้…”

พูดถึงเรื่องในอดีตนี้ ซ่งเวยหลันเองยังขมวดคิ้ว เรื่องการปรับเปลี่ยนระบบส่วนแบ่งคราวนั้น ส่งผลกระทบต่อสังคมและวงการการศึกษาอย่างใหญ่หลวง

แต่ว่าผลกระทบครั้งนั้นล้วนเป็นไปในทางที่ดี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ขั้นตอนในการปฏิรูป ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่การเจริญเติบโตครั้งใหม่ ประชาชนจึงได้ก้าวจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด

ที่ซ่งเวยหลันรู้เรื่องนี้ เป็นเพราะเมื่อช่วงกลางปี 80 บริษัทนี้ยังไม่มีความรู้เพียงพอจะทำธุรกิจเหมืองในต่างประเทศ ซ่งเวยหลันเคยช่วยพวกเขาคว้าเหมืองทองแดงแห่งหนึ่งในแคนาดา ว่าไปแล้วทางนั้นก็เคยติดค้างหนี้เธอครั้งหนึ่ง

“เยี่ยเทียน ถ้าหากลูกมีความโกรธแค้นอะไรกับพวกเขา แม่สามารถช่วยไกล่เกลี่ยได้นะ ต่อให้ไม่ได้ก็ยังมีคุณตาลูกอีกคน มีเรื่องอะไรไม่ต้องเก็บไว้ในใจหรอก!”

เห็นวิธีที่ลูกชายจัดการเรื่องราวของเฉินสี่ฉวนแล้ว ซ่งเวยหลันยังนึกว่าเยี่ยเทียนมีความขัดแย้งอะไรบางอย่างกับตระกูลอวิ๋น เธอเคยรู้จักกับอวิ๋นหวาถง เชื่อว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย อวิ๋นหวาถงจะต้องเห็นแก่หน้าเธออย่างแน่นอน

“แม่ครับ ผมไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไรกับตระกูลอวิ๋นทั้งนั้น เรื่องนี้พัวพันกับเรื่องอื่นน่ะ”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็แค่นหัวเราะออกมา เขาไม่สามารถบอกซ่งเวยหลันว่าตัวเองสังหารเทพเซียน แล้วตอนนี้ก็กลัวว่าเทพเซียนคนอื่นจะตามล่าสังหารตัวเอง ขืนทำอย่างนั้นแม่คงต้องพาเขาส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าอย่างแน่นอน

“เอาเถอะ แม่ครับ แม่อย่าคิดให้มากเลย ผมจัดการได้แหละ!”

เห็นแม่ทำหน้ากังวลอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็หัวเราะเจื่อนออกมา ความจริงเขาเองก็รู้สึกเหมือนมีชะนักปักหลัง คิดอยู่ตลอดว่าเรื่องที่ตนเองเกี่ยวข้องกับความตายของนักพรต จะถูกสืบจนพบจากตัวเขา

แต่ว่าตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว รู้ว่าเทพเซียนทั้งหลายเป็นเพียงคนประเภทหนึ่งที่ความสามารถในร่างกายของเขาพัฒนาถึงระดับที่ยากจะจินตนาการได้เท่านั้นเอง

ชะตาฟ้ายากจะคาดเดา ต่อให้คนเหล่านั้นเชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตาเหมือนกับตนเอง ก็ใช่ว่าจะสามารถคาดเดาเหตุการณ์นี้ออกมาได้ สุดท้ายแล้วจิตดั้งเดิมของนักพรตจึงได้ถูกอสรพิษดำกลืนกิน

พอเข้าใจความเชื่อมโยงนี้ ในใจเยี่ยเทียนก็กระจ่างขึ้นมาทันใด หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นคลายออก ครั้งนี้เขาทำเรื่องที่ผิดต่อจริยธรรมไปจริงๆ จึงกลัวว่าวิญญาณจะตามมาเคาะประตู

“เอาเถอะ แม่ครับ แม่ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวผมเอาเงินนั่นโอนให้แม่เอง แม่หาวิธีให้ลุงเฉินเถอะ!”

เยี่ยเทียนกอดแขนแม่ มองนาฬิกา พูดว่า “ผมต้องไปรับชิงหย่าแล้ว ลูกสะใภ้แม่คนนั้นมีคนมาตามจีบเต็มไปหมดเลย!”

“เจ้าลูกคนนี้ ไม่มีอะไรแล้วเดินวนไปวนมาทำไม?”

มองเงาร่างของลูกชายจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ความจริงเธอก็ไม่ได้นึกกังวลมากนัก ถึงอย่างไรด้วยเบื้องหลังของตระกูลซ่งและซ่งเฮ่าเทียนที่ยังอยู่ ในประเทศนี้ ไม่มีใครที่สามารถแตะลูกชายได้จริงๆ หรอก

หลังจากปล่อยวางแล้ว ชีวิตของเยี่ยเทียนก็กลับเข้าสู่วงจรปกติ ห้าวันผ่านไปในชั่วพริบตา

กองกำลังทหารรับจ้างของมาลาไกย์ รวมพลกันเสร็จสิ้น เวลานี้กำลังเร่งรุดไปยังเส้นทางสู่ไซบีเรีย

อีกทั้งภายในเวลาสามวันนี้ พวกเขาไม่ได้นิ่งนอนใจ ดูเหมือนจะสืบข่าวอะไรได้บางอย่าง ก่อนออกเดินทางจึงรับประกันต่อเยี่ยเทียนว่าจะพาต่งต้าจ้วงกลับมาได้อย่างปลอดภัย

ภายใต้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ของข้าราชการจำนวนหนึ่ง เฉินสี่ฉวนจึงจัดการขั้นตอนออกนอกประเทศไปได้เมื่อวาน ขณะที่ตระกูลอวิ๋นยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ทั้งครอบครัวก็ไปถึงรัสเซียแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ซ่งเวยหลันก็นำเงินก้อนจำนวนสามร้อยล้านดอลลาร์อเมริกา ใส่เข้าไปในบัญชีธนาคารสวิส รอให้เฉินสี่ฉวนจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว งานขุดเหมืองทองถึงค่อยดำเนินการ

……

รอบกำแพงพระราชวังต้องห้าม ในอดีตเป็นของเมืองฝ่ายในปักกิ่ง และเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าขุนมูลนาย ข้าราชการชั้นสูงทั้งหลาย

แต่ว่าหลังจากปฏิวัติแล้ว สถาปัตยกรรมมากมายถูกทุบทำลาย นอกจากเรือนสี่ประสานที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่แล้ว อีกด้านหนึ่งของพระราชวังต้องห้าม ยังมีลานเรือนสี่ประสานอีกแห่ง

ในเวลาปัจจุบัน คนเฒ่าคนแก่มากมายล้วนตายจาก บ้านเหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกรัฐบาลยึดคืน ข้าราชการระดับมณฑลที่ชื่นชอบเรือนสี่ประสานอาศัยอยู่ในบ้านเหล่านั้น ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความสงบท่ามกลางความวุ่นวายอย่างแท้จริง

และท่ามกลางเรือนสี่ประสานที่บรรยากาศดีที่สุด อยู่ในตำแหน่งมงคลที่สุด ก็คือบ้านของผู้เฒ่าอวิ๋นในอดีตคนนั้นนั่นเอง

ถึงแม้ว่าท่านผู้เฒ่าอวิ๋นจะเสียชีวิตไปเกือบสิบปีแล้ว แต่คุณนายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน บ้านหลังนี้จึงเป็นทรัพย์สินของตระกูลอวิ๋น

ช่วงหลายปีมานี้ในทุกเทศกาลและปีใหม่ เหล่าผู้นำคนสำคัญจำนวนหนึ่งยังคงมาเยี่ยมเยียนไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ที่ธุรกิจของตระกูลอวิ๋นไม่เคยได้รับการโจมตีใดๆ ก็ด้วยเหตุผลนี้นั่นเอง

ภายในบ้านตระกูลอวิ๋น ชายสองคนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ แม้ว่าลมฤดูใบไม้ผลิยังพัดพาความหนาวเย็นมา แต่ก็ถูกน้ำชาต้มเดือดขับไล่ไปจนสิ้น

คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เรือนผมดำขลับ ดูราวกับอายุเพียงสี่สิบกว่าปี แต่ว่าภายใต้ดวงตานั้น เผยแววแห่งการค้นหาความไม่เที่ยงบนโลกมนุษย์

คนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เป็นชายชรามีใบหน้าราวห้าสิบกว่าปี แต่เมื่อทั้งสองนั่งด้วยกันแล้ว กลับให้ความรู้สึกว่าชายวัยกลางคนนั้นมีศักดิ์สูงกว่า

หลังจากยื่นถ้วยชาให้ชายวัยกลางคน ชายชราก็เอ่ยปากว่า “พี่ใหญ่ ข่าวสารส่งออกไปนานแล้ว หรือว่าคนทางนั้นจะจากไปแล้ว?”

ถ้าหากมีคนอื่นอยู่ตรงนั้น คงจะไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ว่าชายชราผมขาวโพลนคนนี้ กลับเรียกหนุ่มวัยกลางคนว่าพี่ใหญ่ และชายวัยกลางคนก็แสดงท่าทีเรียบเฉย

สองคนนี้ก็คือลูกชายของท่านผู้เฒ่าอวิ๋นนั่นเอง อย่าเห็นแค่อวิ๋นหวาจวินใบหน้าอ่อนวัย ถึงอย่างไรปีนี้เขาก็มีอายุเจ็ดสิบห้าปีแล้ว นับจากตอนเกษียณตำแหน่งก็เป็นเวลาเกือบสิบปี

พอได้ยินคำพูดของน้องชาย อวิ๋นหวาจวินก็ส่ายหน้า พูดเสียงเรียบว่า “หวาถง เป็นไปไม่ได้หรอก แกจะใช้ตรรกะทั่วไปคาดเดาคนเหล่านั้นไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจมีเรื่องอะไรทำให้ล่าช้าไปกระมัง?”

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset