ตอนที่ 727 กว้านซื้อ
สำหรับเฉินสี่ฉวน เยี่ยเทียนให้ความเคารพจากใจจริง เมื่อเห็นเขามีท่าทางเกรงใจอย่างนั้น จึงรีบบอกว่า “ลุงเฉิน พูดอะไรน่ะครับ? พวกเราไม่เจอกันมาสักพักแล้ว เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันนะ!”
ความสัมพันธ์ของเยี่ยเทียนกับเฉินสี่ฉวนเรียกได้ว่าเป็นมิตรภาพอย่างลูกผู้ชาย ในอดีตเยี่ยเทียนเคยเป็นนักศึกษาจนๆ แต่เฉินสี่ฉวนก็ไม่เคยดูแคลนเขาด้วยสาเหตุนั้น ภายหลังยังช่วยเหลือเยี่ยเทียนที่เทียนซานอีกไม่น้อย
แม้ว่าเหตุการณ์ผีพรายครั้งนั้นจะนับว่าเยี่ยเทียนได้ตอบแทนน้ำใจแล้ว แต่เขาก็มีความรู้สึกดีจากใจจริงต่อเฉินสี่ฉวน บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นความถูกชะตาที่คนทั่วไปว่ากัน
“ไม่ ไม่ล่ะ เยี่ยเทียน ไว้…ไว้วันหลังฉันค่อยมาใหม่ดีกว่า!”
เฉินสี่ฉวนถึงแม้จะเป็นคนใจคอเปิดเผย แต่พอเห็นผู้นำชาติในอดีตปรากฏตัวต่อหน้าอย่างกะทันหัน แรงกระทบนั้น ต่อให้เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่าไหร่ ก็คงพูดจาไม่สะดวกนัก
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เดี๋ยวไปบ้านผมตรงฝั่งนั้นกัน มีชาดีๆ อยู่ ถ้าดื่มไม่หมดให้ถือว่าไม่ได้ดื่ม!”
เยี่ยเทียนดึงตัวเฉินสี่ฉวนไว้ รู้ว่าคนผู้นี้ชอบดื่มชา เมื่อสองปีก่อนพอมีเวลาว่าง บางครั้งเยี่ยเทียนก็ไปนั่งคุยเล่นดื่มชากับเขา
“เจ้าเด็กบ้านี่ เอาชาของฉันมาเป็นสินน้ำใจ!”
ได้ยินคำพูดของหลานแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็หงุดหงิดหมั่นไส้ขึ้นมาทันใด สะบัดแขนของเยี่ยเทียนออกแล้วสาวเท้ายาว พวกผู้คุ้มกันที่กระจัดกระจายตัวกันอยู่ในเรือนสี่ประสาน ต่างก็สลายตัวติดตามไปราวกับสายน้ำ
“เยี่ยเทียน คน…คนผู้นั้นคือท่านประธานซ่งหรือเปล่า?”
ยิ่งเห็นภาพนั้น เฉินสี่ฉวนยิ่งมั่นใจว่าตัวเองจำคนไม่ผิด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดเยี่ยเทียนถึงได้มีท่าทีสนิทสนมกับประธานซ่งถึงขนาดนั้น?
“ลุงเฉิน ตาแก่คนนั้นเป็นคุณตาของผมเองครับ” เห็นว่าเฉินสี่ฉวนมีสีหน้างงงัน เยี่ยเทียนจึงอธิบายออกมาสองสามคำ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจปิดบังลุงนะ เมื่อก่อนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรๆ เรื่องบางเรื่องก็โพนทะนาไปทั่วไม่ได้” ไม่รู้เพราะอะไร พอหลังจากรู้สถานะของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็เกิดประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าเขาขึ้นมา
“ลุงเฉิน ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของพวกเราไปไหนแล้วครับ จะเกรงใจผมทำไม?”
เยี่ยเทียนมองออกว่าเฉินสี่ฉวนไม่เป็นตัวของตัวเอง เลยยิ้มพูดว่า “ทางนั้นผมมีชาต้าหงเผ่าจากภูเขาอู๋อี้ เก็บลงมาจากในป่าลึก ถ้าหากยังเกรงใจอยู่อีก ก็ไม่ต้องดื่มก็แล้วกัน!”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใจของเฉินสี่ฉวนก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เขารู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจลบล้างความห่างเหินที่อยู่ในใจตัวเอง จึงยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “ได้ ถึงอย่างไรใบชานั้นของเธอก็เก็บมาแล้ว ลุงเฉินจะลองชิมดู!”
“ต้องอย่างนี้สิครับ! ลุงเฉิน ลุงรอผมเดี๋ยวก่อนนะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา หันหน้ามองไปยังต่งเซิงไห่ที่ยังคงทำสีหน้าเฝ้าคอยตัวเองอยู่ บอกว่า “เหล่าต่ง อย่ายึดมั่นความเป็นความตายนักเลย พวกเราเป็นผู้กล้าแห่งสมาคมหงเหมิน ถึงหัวหลุดก็เป็นเพียงแค่รอยแผลใหญ่ แค่บาดแผลนี้ทำไมถึงทิ้งไว้ไม่ได้!”
“ท่านเยี่ย แต่ผมแค้นใจนี่!”
หลังจากขับไล่แมลงพิษภายในร่างกายออกมาแล้ว น้ำเสียงของต่งเซิงไห่ก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ พอรวมกับพลังปราณชีวิตที่เยี่ยเทียนส่งเข้าไปภายในร่างกายเขา ทำให้กระตือรือร้นขึ้นมาไม่น้อย
“เรื่องของต่งต้าจื้อ ให้ผมจัดการเองเถอะ ผมรับประกันว่าจะคืนหลานชายให้คุณ คอยฟังข่าวอยู่ที่บ้านของจู้เหวยเฟิงก็แล้วกัน!”
คิดอยู่สักครู่ เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นอีก “ช่วงนี้มีเรื่องไม่น้อยเลย เรื่องของฟรุสไม่เร่งด่วนเท่าไหร่ ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วผมต้องไปที่ประเทศไทยอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นผมจะทวงคืนให้พวกคุณครบทั้งต้นทั้งดอก!”
“ท่านเยี่ย งั้น…งั้นเรื่องของต่งต้าจ้วง ผมขอฝากฝังไว้กับคุณด้วย!” เมื่อเยี่ยเทียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว แม้ว่าต่งเซิงไห่จะยังไม่สบายใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่อาจบังคับให้เยี่ยเทียนช่วยชีวิตหลานชายตัวเอง?
“วางใจเถอะ อย่างไวก็หนึ่งอาทิตย์ อย่างช้าก็ครึ่งเดือน เขาจะต้องกลับมาแน่!”
พอเยี่ยเทียนปลอบใจต่งเซิงไห่แล้ว ก็มองไปทางจู้เหวยเฟิง กล่าวว่า “ให้เวลากับสนามมวยนั่นของคุณบ้างเถอะ อย่าเอาแต่แสดงลูกไม้แต่ไร้ประสิทธิภาพเลย มีเวลาก็ส่งคนไปยังไซบีเรียสักสองสามคนจะดีกว่า”
หลังจากผ่านศึกมวยใต้ดินบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงได้สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างสนามมวยใต้ดินภายในและภายนอกประเทศ ถ้าหากเปลี่ยนจาก “บาทาไร้เงา” คนนั้นเป็นคนธรรมดาสู้กับแอนโทนี มาร์คัสล่ะก็ เกรงว่านัดนั้นคงถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีเอาถึงตาย
อีกทั้งสนามมวยต่างประเทศมีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างน้อยหลายสิบปี และพวกเขาเองก็ให้ความสำคัญต่อการฝึกฝนนักมวยมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เหมือนกับคนพวกนั้นที่จู้เหวยเฟิงพึ่งหามา ที่ส่วนใหญ่แล้วมาเข้าวงการเอาเมื่อสายไปแล้ว
“เข้าใจแล้ว รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงเมื่อไหร่จะส่งไป!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า เดิมทีเมื่อปีก่อนเขาก็ได้คัดเลือกเด็กใหม่เพื่อเตรียมตัวไปฝึกฝนที่ไซบีเรียแล้ว แต่ยังไม่ทันทำตามแผนการสำเร็จก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จึงไม่อาจไปสนใจต่อ
“เอาล่ะ พวกคุณเรียกคนมารับกลับไปเถอะ ผมยังมีธุระต่อ คงอยู่คุยกับพวกคุณสองคนไม่ได้แล้ว!”
หลังจากเยี่ยเทียนอธิบายจบแล้ว ก็ส่งแขกกลับทันที ป้าใหญ่ยังต้องเข้าเรือนด้านในเพื่อไปหาของบางอย่าง เยี่ยเทียนจึงแยกกับพวกจู้เหวยเฟิงตรงประตูบ้าน
“เหล่าต่ง ถ้าหากพวกเราฟังเยี่ยเทียนตั้งแต่แรก คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาหรอกใช่ไหม?”
มองร่างของเยี่ยเทียนที่อยู่ไกลๆ แล้วจู้เหวยเฟิงก็เกิดคับแค้นใจขึ้นมา
เขารู้แน่ชัดว่าต่อให้ตัวเองพยายามผสานความสัมพันธ์ของเขากับเยี่ยเทียนมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีทางกลายเป็นเพื่อนกันได้ ซึ่งนั่นเป็นผลพวงมาจากความไม่เชื่อใจของเขานั่นเอง
“ฉันแก่แล้ว ขอเพียงสามารถพาตัวต้าจ้วงกลับมา ก็สามารถใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างเป็นสุข!”
ต่งเซิงไห่ตอบเบี่ยงประเด็น ภายในดวงตาฉายแววความเปลี่ยวเหงา ชีวิตไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากดวงชะตา เมื่อครึ่งปีก่อนหน้ายังสุขสมหวังดั่งใจ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นพยัคฆ์ในทุ่งหญ้า ไร้โอกาสแม้เพียงกลับไปอยู่ยังจุดเดิม
……
“แม่ครับ คนนี้คือเพื่อนของผมเอง ลุงเฉิน พ่อก็รู้จักเขา พวกเราจะไปดื่มชาที่เรือนด้านหลังกัน ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกผมนะ!”
พอมาถึงยังเรือนตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนก็แนะนำเฉินสี่ฉวนให้แม่รู้จัก มองซ้ายมองขวาดูลาดเลาอยู่สักพัก ก็เข้าใจว่าตาแก่ซ่งเฮ่าเทียนไม่ได้มาหาลูกสาว คงจะโมโหตัวเขากลับไปเลย
เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ดึงตัวเฉินสี่ฉวนมายังเรือนหลัง ช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดในเมืองปักกิ่ง พอนั่งบนโต๊ะน้ำชาใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เรือนหลังแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบเอาชาต้าหงเผ่าที่ขโมยจากซ่งเฮ่าเทียนมา
ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปบ้านของซ่งเฮ่าเทียน ได้เห็นเตาดินเผาของเขาแล้วรู้สึกว่าไม่เลว เยี่ยเทียนจึงซื้อตามอีกหนึ่งชุด
หลังจากต้มน้ำเดือดลวกเครื่องถ้วยชาแล้ว เยี่ยเทียนก็แสดงฝีมือชงชาอย่างพิถีพิถัน หยิบเอาถ้วยน้ำชาสีแดงจางๆ วางไว้ข้างหน้าเฉินสี่ฉวน บอกว่า “ลุงเฉิน ลองชิมชาถ้วยนี้ดูสิครับว่าเป็นอย่างไร?”
เมื่อการชิมชาถูกยกระดับขึ้นถึงขั้นศิลปะแห่งการชงชา การพินิจพิเคราะห์จะไม่เป็นเพียงแค่รสชาติของชาเท่านั้น แต่ขั้นตอนเวลาชงชาก็ให้ความสุนทรีย์แก่สายตาของผู้คนไม่แพ้กัน ความสามารถนี้ของเยี่ยเทียน ต่อให้เป็นศิลปินชงชาที่มีประสบการณ์มาหลายสิบปียังไม่อาจเทียบเทียม
ยกถ้วยชามาสูดดมต่อหน้าจมูกเล็กน้อย จากนั้นลองจิบดูคำหนึ่ง ใบหน้าของเฉินสี่ฉวนก็แสดงให้เห็นถึงอารมณ์เบิกบาน เอ่ยปากชมว่า “ชาดี ใช้น้ำจากเขาอวี้ฉวนที่ฉันส่งมาให้ใช่หรือเปล่า?”
คนนิยมชาต่างมีคำกล่าวขานกันว่า “ชามีหลากหลายชนิด น้ำมีมากมายหลายน้ำ เมื่อมีชาดี น้ำดีถึงจะมีรสชาติหอมหวาน” เฉินสี่ฉวนชิมไปคำหนึ่งก็สัมผัสได้ ว่าใช้น้ำจากน้ำพุจากเขาอวี้ฉวนที่เก็บมาตอนเที่ยงคืนมาต้ม
“ลุงเฉิน ยอดเยี่ยมจริงๆ ว่าแล้วว่าจะปิดบังลุงไม่ได้”
เยี่ยเทียนใช้น้ำเดือดลวกทำความสะอาดถ้วยชาของเขา แล้วเติมใหม่จนเต็มอีกถ้วย กล่าวว่า “ลุงเฉินครับ วันนี้ลุงมาต้องมีธุระอย่างแน่นอน อย่าเสียเวลาปิดบังเลย พูดออกมาเถอะ!”
“ไม่มี ไม่มีอะไรจริงๆ…”
ได้ยินเยี่ยเทียนพูดแล้ว เฉินสี่ฉวนก็ยืนกรานปฎิเสธ แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ถนัดโป้ปดเลยสักนิด หลังอัดอั้นไว้จนลำคอแดงไปหมด ก็ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ลุงเฉินมีเรื่องอยากให้เธอช่วยเหลือจริงๆ แต่ว่าเยี่ยเทียน ตอนนี้ลุงเฉินไม่อยากพูดแล้วล่ะ”
เฉินสี่ฉวนเองก็เป็นคนรักเพื่อนมากคนหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้ว่าเยี่ยเทียนมีเส้นสายกว้างขวาง แต่ก็คบหากับอีกฝ่ายด้วยสัมพันธ์ฉันท์มิตร เขาจึงไม่อยากเอาเรื่องวุ่นวายเข้ามาพัวพันกับมิตรภาพ
“ลุงเฉิน พูดเหมือนเป็นคนอื่นไกลกันไปได้ ไม่เห็นผมเป็นเพื่อนแล้วหรือไงครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ทำหน้าตึงเครียด กล่าวว่า “ถ้าช่วยได้ ผมต้องช่วยแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากช่วยไม่ได้ ผมก็จะพูดตรงๆ เช่นเดียวกัน ลุงมีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
ได้ยินน้ำเสียงจริงใจของเยี่ยเทียน ไม่เหมือนกับว่าเสแสร้งแกล้งทำ เฉินสี่ฉวนคิดอยู่สักครู่ กล่าวว่า “เป็นเรื่องปัญหาการค้าทั้งนั้น ฉันจะเล่าให้เธอฟังก็แล้วกัน…”
ที่แท้ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาธุรกิจของเฉินสี่ฉวนรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เพียงทำธุรกิจค้าปุยฝ้าย แต่ยังริเริ่มทำถ่านหินด้วย เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจการค้าถ่านหินหดตัวลง เขาจึงซื้อเหมืองถ่านหินจากบริษัทเอกชนมาได้หลายแห่ง
แต่หลังจากเข้าสู่ปี 2000 แล้ว ราคาถ่านหินกลับสูงขึ้นมาตลอด นอกจากเหมืองอุดมสมบูรณ์สองแห่งที่เฉินสี่ฉวนเก็บไว้เองแล้ว เหมืองที่เหลืออีกไม่กี่เหมืองก็ปล่อยขายหมด ได้เงินมากว่าพันล้านภายในคราวเดียว
ปัญหาก็อยู่ที่เงินทองจำนวนเหล่านี้เอง ต้องเข้าใจก่อนว่า เฉินสี่ฉวนเป็นคนทำธุรกิจ เขาจึงไม่อยากทิ้งเงินไว้ในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ย ดังนั้นจึงอยากลงทุนในอุตสาหกรรมอะไรสักอย่าง
แล้วตอนกลางปีก่อนนั้น นายพลผู้อยู่ในรัสเซียคนหนึ่งที่เฉินสี่ฉวนรู้จักมาตั้งแต่รุ่นปู่ เชิญให้เขาไปท่องเที่ยวที่รัสเซีย นั่นจึงทำให้เขาพบโอกาสทางการค้าอีกอย่าง
ภายในเขตกองทัพของนายพลคนนั้น เพิ่งจะสำรวจพบเหมืองทองคำอันอุดมสมบูรณ์ยิ่งแห่งหนึ่ง ปัจจุบันยังไม่ถูกใครจับจองเป็นเจ้าของ
เฉินสี่ฉวนที่สัมผัสรสชาติอันหอมหวานของการทำเหมืองมาสองปี จึงเกิดความคิดขึ้นมาทันใด หลังจากผ่านการเจรจาตกลงกันแล้ว เขาก็ได้รับสิทธิ์ขุดเหมืองทองคำแห่งนี้เป็นเวลาสามสิบปีภายใต้ราคาหนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลลาร์อเมริกา
ตอนนั้นในปี 2000 หนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลลาร์อเมริกาเมื่อคำนวณแล้ว จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมื่นสองพันล้านหยวน
เงินทุนในมือของเฉินสี่ฉวนมีไม่พอ อีกทั้งตอนขุดยังจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ดังนั้นหลังจากที่เขาเซ็นสัญญาข้อตกลงแล้ว ก็กลับมายังประเทศเพื่อรวบรวมเงินทุน
ด้วยการจำนองเหมืองถ่านหินทั้งสอง ทำให้เฉินสี่ฉวนมีเงินหนึ่งหมื่นสองพันล้านหยวนและเงินทุนที่จำเป็นต้องลงกับเครื่องไม้เครื่องมือล่วงหน้า แต่ตอนที่เฉินสี่ฉวนจ่ายเงินจำนวนนั้น และกำลังจะซื้ออุปกรณ์เพื่อจะไปทำงานใหญ่ที่รัสเซียนั้นเอง ปัญหาก็เข้ามาหาเขา
บริษัทภายใต้หน่วยงานของรัฐซึ่งกำกับควบคุมรัฐวิสาหกิจในจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งทำธุรกิจด้านการลงทุนทรัพยากรมาหาเฉินสี่ฉวน พวกเขาเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมาว่า ต้องการกว้านซื้อเหมืองทองคำของเฉินสี่ฉวนในรัสเซียทั้งหมด
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเสนอราคาซื้อขายถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้าน แต่เฉินสี่ฉวนก็รู้ว่า พวกเขาใช้อิทธิพลมากดราคา นั่นเพราะราคาที่แท้จริงของเหมืองทองคำแห่งนี้ อย่างน้อยต้องสูงกว่าสามหมื่นล้านขึ้นไป