ตอนที่ 719 เยี่ยมเยือน
หูหงเต๋อขึงตาใส่ลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่รึไง ว่าโดนกระบอกปืนระเบิดใส่ ใครที่ไหนจะมาทำอะไรพ่อแกได้เล่า?”
นายพรานมือเก่าบนภูเขามักจะใช้กระบอกปืนแบบเก่า ซึ่งก็คือแบบที่ต้องยัดดินปืนใส่กระบอกก่อน แล้วจึงจะบรรจุลูกกระสุนตามลงไปในกระบอกจนเต็ม เรียกได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง
เพียงแต่ว่า การทำงานของปืนชนิดนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย เพราะกระบอกปืนมักจะระเบิดได้ง่าย ญาติรุ่นพ่อคนหนึ่งของหูต้าจวินก็เคยถูกระเบิดใส่มือจนขาดไปข้างหนึ่ง ดังนั้นตอนแรกที่ได้ฟังคำอธิบายของบิดาจึงไม่ได้ติดใจอะไร
แต่ตอนนี้เมื่อมาได้ยินลูกสาวพูด หูต้าจวินจึงเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้บิดาได้รับบาดเจ็บระหว่างที่เดินทางขึ้นภูเขากับเยี่ยเทียน ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรอย่างเดิมแล้ว
หูต้าจวินพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “พ่อ พ่อก็อายุมากแล้วนะครับ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ อย่าเอาแต่จะถ่อออกไปตามป่าตามเขาเลยน่ะ”
“บัดซบ พ่อแกจะทำอะไรต้องให้เด็กอย่างแกมาสั่งสอนด้วยเรอะ?!”
หูหงเต๋อได้ยินแล้วก็โกรธจัด ฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะอาหารตรงหน้าดัง “ปัง” โต๊ะอาหารที่ทำขึ้นจากไม้แข็งแรงถึงกับถูกเขาฟาดจนแตกหักเป็นเสี่ยงๆ
“พอเถอะเหล่าหู ทำไมถึงได้อารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้? จะไปถือสาคนรุ่นหลังทำไมกันเล่า?”
เยี่ยเทียนกดบ่าของหูหงเต๋อไว้ แล้วกวาดสายตาไปที่หูต้าจวิน จนหูต้าจวินเห็นแล้วรู้สึกตาสว่างราวกับถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดรดศีรษะทันที
ตามลำดับอาวุโสแล้ว หูหงเต๋อจะต้องเรียกเยี่ยเทียนว่าอาจารย์อา การที่หูต้าจวินแสดงความไม่พอใจออกมาเมื่อครู่นี้ เท่ากับเป็นการทำให้พ่อของตัวเองเสียหน้า จึงไม่แปลกที่หูหงเต๋อจะระเบิดโทสะใส่
“คุณ…คุณเยี่ย ขอโทษด้วยครับที่ผมจาบจ้วงล่วงเกิน!”
หูต้าจวินอยู่กับพ่อมานานแล้ว จึงพอจะรู้ธรรมเนียมบางอย่างในยุทธภพอยู่เหมือนกัน ยามนั้นเขาลุกขึ้นมาโค้งคารวะให้เยี่ยเทียนอย่างนอบน้อม สีหน้าของหูหงเต๋อถึงจะเริ่มดีขึ้นมาบ้าง
“เอาเถอะ พวกแกออกไปกินข้างนอกกันไป วันนี้ไม่ต้องกลับมาอีกนะ!” หูหงเต๋อยังเหลือโทสะค้างอยู่ จึงลุกขึ้นมาพาเยี่ยเทียนไปที่ห้องหนังสือ ทิ้งให้พวกหูต้าจวินนั่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“คุณนี่นะ ทำไมถึงได้อารมณ์ร้อนแบบนี้เนี่ย?” เยี่ยเทียนพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ “เหล่าหู ยื่นมือซ้ายของคุณมาซิ ผมจะลองจับชีพจรให้!”
“ทำไมล่ะ? ผมก็ไม่ได้ป่วยนี่?” หูหงเต๋อยื่นมือซ้ายให้เยี่ยเทียนอย่างฉงนสงสัย
“ไม่ได้ป่วยก็จริง แต่ไฟที่ตับมีพลังรุนแรง เป็นคนค่อนไปทางธาตุไฟ…”
เยี่ยเทียนแตะนิ้วหนึ่งลงบนจุดชีพจรของหูหงเต๋อ แต่ที่จริงแล้วเขากำลังมองดูอวัยวะภายในของหูหงเต๋ออย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง หลังจากพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบหินพลอยขนาดเท่านิ้วโป้งเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ “คุณนี่โชคดีไม่เบาเลยนะ ไหนลองดูซิว่าจะดูดรับปราณวิเศษจากหินก้อนนี้ได้ไหม?”
แม้ว่าหูต้าจวินจะไม่ได้จงใจกล่าวโทษ แต่ในใจเยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องที่หูหงเต๋อมือขาดไปอยู่ดี ที่เขานำพลอยวิเศษเม็ดนี้ออกมา ก็เพราะมีเจตนาที่จะตอบแทนหูหงเต๋อ
“หินนี่ดูแล้วก็สวยดีนะ เป็นเพชรรึเปล่า? ไอ้หยา ทำไมร้อนขนาดนี้เนี่ย?”
หูหงเต๋อรับหินพลอยเม็ดนั้นมาด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ แต่ทันทีที่ถึงมือ ก็รู้สึกว่ามีกระแสความร้อนถ่ายเทเข้าสู่ร่างผ่านทางผิวหนังของเขา อวัยวะภายในทั้งหลายราวกับลุกเป็นไฟ ทำให้เขาตกใจจนเกือบจะโยนหินนั้นทิ้งไปแล้ว
“เอ๊ะ? สบายจังแฮะ?”
เพียงแต่หูหงเต๋อยังไม่ทันมีปฏิกิริยา กระแสความร้อนที่ถ่ายเทเข้าสู่ร่างนั้นก็กลับอบอุ่นอ่อนโยนลงในฉับพลัน แล้วไหลเวียนไปตามเส้นชีพจรทั่วร่าง หลายๆ จุดที่อุดตันอยู่ในตอนแรกก็เปิดโล่งทั้งหมด
“ที่แท้เป็นธาตุไฟหรอกรึ?”
เมื่อได้ยินหูหงเต๋อถาม เยี่ยเทียนก็พยักหน้า คราวก่อนหินพลอยธาตุน้ำเม็ดนั้นแช่แข็งหูหงเต๋อจนเกือบจะต้องจบชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อสัมผัสถูกหินพลอยเม็ดนี้ กลับให้ปฏิกิริยาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลังจากกระแสความร้อนนั้นไหลเวียนภายในร่างกายไปหนึ่งรอบ หูหงเต๋อก็พยายามข่มความต้องการที่จะฝึกปราณต่อไป แล้ววางหินพลอยลงบนโต๊ะหนังสือ และหันไปถามเยี่ยเทียนว่า “เยี่ยเทียน ปัญหาพลังปราณในตัวเธอน่ะแก้ไขได้แล้วหรือ?”
หลังจากพลังฝีมือเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิต หูหงเต๋อก็สามารถประเมินสภาพร่างกายของคนอื่นผ่านการสัมผัสพลังได้เช่นกัน แต่เมื่อเขาแผ่พลังออกไปหาเยี่ยเทียนแล้ว กลับถูกดีดกลับมา จึงไม่อาจตรวจดูสภาพของเยี่ยเทียนได้เลย
“แก้ไขได้แล้วละ แล้วยังพัฒนาขึ้นอีกด้วย” เยี่ยเทียนพยักหน้าเบาๆ
“อย่างนั้นก็เหมือนกับนักพรตรูปนั้นแล้วสิ?” หูหงเต๋อฟังแล้วอึ้งไป เขาตกตะลึงเสียขวัญกับพลังของนักพรตรูปนั้นไปไม่น้อยเลย
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ผมเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน น่าจะยังต่ำกว่าเขาไปอีกขั้นหนึ่ง”
ตอนที่อยู่ในหุบเขา เยี่ยเทียนเคยลองใช้จิตดั้งเดิมสั่งการมีดสั้นเล่มนั้นดูแล้ว ถึงจะสามารถทำให้มันลอยขึ้นมากลางอากาศได้ แต่ก็ไม่อาจควบคุมดั่งใจนึกเหมือนอย่างนักพรตรูปนั้นได้
“เยี่ยเทียน หรือเราลองมาวัดพลังกันหน่อยดีไหม?”
หูหงเต๋อตาเป็นประกายวาว ปกติเขาก็เป็นพวกคลั่งไคล้การต่อสู้อยู่แล้ว และก็รู้ว่าเยี่ยเทียนไม่มีทางทำร้ายเขาแน่นอน ยามนั้นจึงเกิดความคิดอยากจะวัดพลังกับเยี่ยเทียนดู
“อย่าเลยน่า เหล่าหู พลังปราณกับปราณแท้ถึงจะเป็นพลังงานในร่างกายเหมือนกัน แต่คุณสมบัติมันไม่เหมือนกันเลยนะ คุณเอาหินพลอยนี่ไปตั้งใจฝึกปราณก่อน บางทีอาจจะไปถึงระดับเซียนเทียนก็ได้นะ!”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า เมื่อเห็นหูหงเต๋อทำหน้าเหมือนไม่ยอม จึงยื่นมือขวาออกไปกดบ่าของเขาไว้ แล้วบอกว่า“ถ้าคุณยังลุกขึ้นมาได้ ก็ถือว่าผมแพ้แล้วกัน ดีไหมล่ะ?”
“คิดว่าจะลุกไม่ขึ้นเลยรึ? เยี่ยเทียน เธอดูถูกฉันเกินไปรึเปล่าเนี่ย?”
ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่เหมือนๆ กัน หูหงเต๋อมีรูปร่างสูงกว่าเยี่ยเทียน ซึ่งก็น่าจะทำให้เยี่ยเทียนปล่อยพลังได้ไม่ถนัด หูหงเต๋อจึงไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมา
แต่เมื่อหูหงเต๋อใช้สองเท้ายันพื้นหมายจะลุกขึ้นยืน กลับพบว่าพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายพลันติดขัด ทั่วร่างรู้สึกเหน็บชาไร้เรี่ยวแรง อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นยืนเลย เขาเกือบจะตัวอ่อนยวบล้มลงไปบนพื้นแล้วด้วยซ้ำ
“ก็ได้ ถือว่าเหล่าหูยอมแพ้ก็แล้วกัน!” เมื่อเยี่ยเทียนคลายมือออก หูหงเต๋อก็มีสีหน้าท้อแท้ห่อเหี่ยว
“ผมเองก็ต้องผ่านเรื่องเฉียดตายมาเยอะ รวมกับอาศัยโอกาสประจวบเหมาะด้วยเหมือนกัน ถึงจะเข้าสู่ระดับนี้ได้ คุณพัฒนาพลังฝีมือให้ถึงระดับหลอมปราณสู่จิตช่วงปลายก่อนเถอะ วันหน้าอาจจะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นก็ได้”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ปราณน้ำแข็งและไฟปะทะกันในระหว่างที่เขาเร้นกายครั้งนี้ เยี่ยเทียนก็ตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น ถ้าให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ไม่กล้าลองทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว
“เอาละ ช่วยจองตั๋วรถไฟให้ผมทีนะ พรุ่งนี้ผมก็จะกลับปักกิ่งแล้วล่ะ!” เนื่องจากยังมีปริศนาเกี่ยวกับตัวเขาอีกมากมาย รวมถึงมีดสั้นไร้นามอีกเล่มหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงได้แต่นั่งรถไฟกลับไปก่อน
เมื่อนึกถึงใบหน้าอันหม่นหมองของแม่และอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนจึงไม่มีจิตใจจะคุยเล่นกับหูหงเต๋ออีก เขาต้องเริ่มคิดแล้วว่า พอกลับไปบ้านแล้วจะคลายโทสะของผู้หญิงทั้งสองคนอย่างไรดี
…………
“นี่คุณ มาหาใครน่ะ? ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ไม่เข้าไปข้างในล่ะ?” ซ่งเวยหลันกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผมยาวประบ่าคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“แม่ ผมเองครับ!” เมื่อได้ยินเสียงของแม่ เยี่ยเทียนจึงหันหลังมา แต่แล้วก็อึ้งไปทันที “นี่แม่ไปจ่ายตลาดมาหรือครับ?”
ซ่งเวยหลันในความทรงจำของเยี่ยเทียนนั้น เรียกได้ว่าตัวแทนของความสูงสง่าและความเป็นผู้ใหญ่
แต่แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ มือซ้ายกำลังหิ้วเป็ดที่เพิ่งเชือดมาใหม่ๆ หนึ่งตัว ส่วนมือขวาก็ถือปลาอยู่สองตัว ไม่ได้มีความแตกต่างจากบรรดาแม่เหย้าแม่เรือนที่อาศัยอยู่ในย่านหูถ่งนี้เลย เยี่ยเทียนเพิ่งจะเคยเห็นแม่ในสภาพที่สลัดคราบของคุณหญิงคุณนายไปจนหมดแบบนี้เป็นครั้งแรก
“เจ้าลูกบ้า ยังจำทางกลับบ้านตัวเองได้อยู่เรอะ?!” เมื่อเห็นลูกชาย ซ่งเวยหลันก็ตาแดงขึ้นมาทันที ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังหอบหิ้วกับข้าวอยู่เต็มสองมือ เธอคงได้เข้าไปบิดหูลูกชายแน่แล้ว
“มันเป็นเหตุสุดวิสัยน่ะแม่ เหตุสุดวิสัยจริงๆ มา ผมช่วยถือกับข้าวนะครับ!”
เยี่ยเทียนรับกับข้าวไปจากมือมารดาอย่างขันแข็ง แล้วกระโจนถลาเข้าประตูบ้านไปอย่างกับจะหนีตาย มีเสียงด่าปนขำของซ่งเวยหลันดังตามมาข้างหลังว่า “หนีเข้าไปเถอะ ดูซิว่าแม่จะอบรมแกยังไงบ้าง!”
การกลับมาของเยี่ยเทียนทำให้เรือนสี่ประสานแห่งนี้ครึกครื้นขึ้นมาเป็นพิเศษ แน่นอนว่า รายการหลักของวันก็คือการลงทัณฑ์เยี่ยเทียนนั่นเอง ตั้งแต่เยี่ยตงจู๋ไปจนถึงอวี๋ชิงหย่า ต่างก็ได้สวดเทศน์เยี่ยเทียนไปคนละชุดจนครบทุกคน
“คราวหน้าอย่าทิ้งฉันไปนานขนาดนี้อีกนะ”
เมื่อกลับไปถึงห้องที่เรือนด้านหลัง อวี๋ชิงหย่าก็มองสามีอย่างขุ่นเคืองใจ ถึงเธอจะไม่ใช่คนอ่อนแอที่ยืนหยัดด้วยตัวเองไม่ได้ แต่เยี่ยเทียนชอบหายตัวไปหลายๆ ครั้งแบบนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็คงทนไม่ไหวทั้งนั้น
“ไม่อีกแล้วละ ชิงหย่า ไว้หลังจากอยู่กับแม่ที่บ้านสักหลายๆ วันแล้ว เราก็ออกไปท่องเที่ยวกันนะ ไปเที่ยวฮ่องกงกันสักครั้ง”
เยี่ยเทียนก้มหน้าลง เสาะหาริมฝีปากนุ่มของอวี๋ชิงหย่า ปากก็พึมพำว่า “วันนี้แม่บอกฉันแล้วนะว่า อยากให้เรามีลูกกันสักคน ค่ำคืนฤดูวสันต์ช่างสั้นเหลือเกิน ที่รัก คิดถึงคุณแทบแย่แน่ะ…”
เมื่อได้ฟังคำหวานจากปากของเยี่ยเทียน ร่างกายของอวี๋ชิงหย่าก็อ่อนปวกเปียกไปทันที ชั่วขณะนั้นในห้องเปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายของความรัก เสียงหอบหายใจหวานแผ่วดังต่อเนื่องไปจนถึงกลางดึกจึงจะหยุดลง
หลังจากเยี่ยเทียนกลับมาถึงกรุงปักกิ่ง ก็ไม่ได้แจ้งข่าวให้ใครรู้เลย แต่ละวันนอกจากอยู่คุยกับแม่แล้ว ก็มีแต่ออกไปรับอวี๋ชิงหย่าหลังเลิกงานที่สถานีโทรทัศน์ ซึ่งก็ทำให้บรรดาเพื่อนร่วมงานของอวี๋ชิงหย่าได้พบกับสามีผู้ลึกลับดั่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสถานีโทรทัศน์เป็นครั้งแรก
วันนี้หลังจากรับประทานอาหารค่ำ เยี่ยเทียนถามซ่งเวยหลันว่า “แม่ คุณท่านยังพักอยู่ที่เดิมรึเปล่าครับ? เย็นนี้ผมว่าจะไปหาสักหน่อย!”
“คุณท่าน คุณท่านไหนกันล่ะ?”
ซ่งเวยหลันได้ยินคำถามแล้วงงๆ จากนั้นพอเข้าใจก็ยื่นมือไปเขกหน้าผากเยี่ยเทียนหนึ่งที “ลูกหมายถึงคุณตาของลูกน่ะรึ? เจ้าลูกคนนี้นี่นะ เรียกคุณตาสักคำจะเป็นไรไปล่ะ?”
เยี่ยเทียนยิ้มยียวน “ก็เหมือนๆ กันแหละน่า แม่ช่วยโทรบอกทางนั้นให้หน่อยสิครับ บอกว่าเดี๋ยวผมจะเข้าไป”
เยี่ยเทียนรู้ว่า แม้ซ่งเฮ่าเทียนจะลงจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับการรักษาความปลอดภัยในระดับสูง ถ้าเขาบุ่มบ่ามเข้าไปหาเลย ก็คงไปมีทางได้ผ่านเข้าประตูไปแน่
“ทำไมลูกถึงนึกอยากจะไปหาคุณตาขึ้นมาล่ะ?” ซ่งเวยหลันมองเยี่ยเทียนอย่างแปลกใจ เธอรู้ว่าลูกชายและสามีของเธอนั้นเหมือนกัน ในใจต่างก็ยังมีความคับแค้นต่อตระกูลซ่งด้วยกันทั้งคู่ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลงานตรุษอะไร ก็จะไม่มีทางไปเยี่ยมเยือนที่บ้านเด็ดขาด
“เรื่องของผู้ชายน่ะแม่ พวกผู้หญิงอย่างแม่อย่ามาถามเลยน่ะ!” เยี่ยเทียนยืดอกตอบ แต่กลับได้รับเสียงต่อว่าอย่างพร้อมเพรียงจากเหล่าสตรีที่กำลังร่วมโต๊ะอาหารด้วย จนเขาถึงกับคอหดไปเลย
แต่ถึงจะรู้สึกแปลกใจแค่ไหน ซ่งเวยหลันก็ยังติดต่อไปที่บิดาให้อยู่ดี เมื่อเยี่ยเทียนอยากจะไปเยี่ยม ซ่งเฮ่าเทียนเองก็ยินดีต้อนรับ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนก็มาถึงเรือนสี่ประสานหลังที่ซ่งเฮ่าเทียนอาศัยอยู่
“เหล่าฝู นี่คุณจงใจใช่ไหมเนี่ย?”
ตอนที่จะเข้าประตูไป เยี่ยเทียนกลับถูกผู้พันฝูเจิงหมิงคนนั้นค้นตัวแล้วค้นตัวอีกอยู่หลายครั้งถึงจะปล่อยให้เข้าไปได้ จนเยี่ยเทียนโมโหขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ฝูเจิงหมิงทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ใช่ผมจงใจ แล้วคุณจะมีปัญญาทำอะไรได้ล่ะ แต่ปากกลับตอบไปว่า “มันเป็นหน้าที่น่ะครับ คุณเยี่ยโปรดให้อภัยด้วย!”