ตอนที่ 709 สิ่งที่ได้รับ (2)
บาดแผลบนมือของหูหงเต๋อไม่ใช่น้อยๆเลย มีดสั้นของนักพรตได้ตัดเอานิ้วนางกับนิ้วก้อยทั้งยังฝ่ามือเบื้องล่างของทั้งสองนิ้วออกไปด้วย พอดึงผ้าพันแผลออกแล้ว เลือดสดๆเริ่มซึมออกมา
แต่ตอนที่เลือดซึมออกมานั้น เนื้อเยื่อบริเวณบาดแผลค่อยๆฟื้นคืนราวกับถูกกระตุ้นด้วยพลังงานบางอย่างให้แผลประสานขึ้นอย่างรวดเร็ว
เลือดที่ซึมออกมากลายเป็นแผลตกสะเก็ด ภายในชั่วพริบตาจากแผลสดกลายเป็นแผลตกสะเก็ดแล้ว ไม่กี่นาทีต่อมาสะเก็ดแข็งบนแผลเริ่มหลุดลอกออก เป็นเนื้อสีอมชมพูเหมือนปกติ
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อตะลึงอ้าปากค้างเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลง ในใจไม่อาจอธิบายความรู้สึกออกมาได้
“เยี่ย…เยี่ยเทียน เธอ…เธอหยิกฉันดูสิ!” หูหงเต๋อเงยหน้าขึ้น สีหน้าสับสน
“เหล่าหู คุณแน่ใจนะ?” เยี่ยเทียนไม่เกรงใจ ยื่นมือขวาออกไปกำบริเวณบาดแผลเดิมที่นิ้วหายไปสองนิ้วของหูหงเต๋อ
“โอ๊ย เจ็บ!”
หูหงเต๋อร้องออกมาเสียงดังรีบสะบัดมือของเยี่ยเทียนออก มือซ้ายของเขาแผลเพิ่งสมานดี ทนถูกเยี่ยเทียนบีบไม่ได้
“น่าเสียดาย สองนิ้วที่ขาดไปงอกออกมาใหม่ไม่ได้!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ “เหล่าหู คุณอย่าหยุดสิ เดินลมปราณต่อ เผื่อจะลบล้างอาการเจ็บป่วยเดิมๆออกไปได้อีก?”
เมื่อก่อนหูอวิ๋นเป้ามีฉายาว่าราชากรงเล็บอินทรีย์ขาว ฝึกวิชากังฟูนอกรีตจนถึงขั้นสูงสุด วิชานอกรีตแบบนี้ทำลายศัตรูได้สิบส่วน แต่ตัวเองบาดเจ็บไปแปดส่วน อย่างไรก็เหลือบาดแผลเก่าที่หลงเหลือไว้อยู่บ้าง
อีกทั้งช่วงบั้นปลายของหูอวิ๋นเป้าได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึก ฤดูหนาวทุกปีต้องอยู่บนเขาฉางไป๋ซานในสภาพอุณหภูมิติดลบหลายสิบองศา แต่ยังไม่อาจฝึกวิชาจนบรรลุถึงขั้นเปลี่ยนพลังเป็นจิตได้ พออายุเจ็ดสิบกว่าปีก็จากโลกไป
หูหงเต๋อได้รับการสืบทอดวิชาจากบิดา เริ่มจากการฝึกกังฟูนอกรีต แม้ว่าในร่างกายมีร่องรอยบาดเจ็บสะสมมานาน แต่เมื่ออายุมากขึ้นดูแลรักษาจนดีแล้วถึงมีอายุยืนได้จนถึงวันนี้
แต่หูหงเต๋อต้องการฝึกวิชาเต๋าเข้าขั้นเปลี่ยนพลังเป็นจิต จำเป็นต้องฝึกกำลังภายในให้เพียบพร้อม จัดการกำจัดอาการบาดเจ็บเก่าเก็บให้หมดไปเสียก่อน เยี่ยเทียนจึงอยากอาศัยโอกาสครั้งนี้ช่วยเขาให้ฝึกวิชาก้าวหน้าขึ้น
“ได้ ฉันจะลองดู แต่เยี่ยเทียน ฝึกวิชาที่นี่เลยหรือ?”
เมื่อฟังเยี่ยเทียนพูดจบ หูหงเต๋อได้มองไปทางสระมังกรดำที่เปลี่ยนเป็นสีดำด้วยเลือดมังกร แล้วเอ่ยต่อว่า “ไม่รู้ว่าเจ้านั่นเป็นอย่างไรบ้าง เดี๋ยวไม่ใช่ออกมาอาละวาดอีกนะ!”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ตอบว่า “ไม่เป็นไร มังกรดำบาดเจ็บหนัก ภายในครึ่งชั่วโมงนี้ไม่ออกมาอีก วางใจได้เลย ไม่มีใครมารบกวนคุณหรอก”
ก่อนที่มังกรดำจะลงสู่สระน้ำเคยสื่อสารทางจิตกับเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนก็เชื่อว่าเจ้ามังกรดำไม่มีทางทรยศบุญคุณของพวกเขาแน่ บางครั้งสัตว์เดรัจฉานมีความรู้คุณมากกว่ามนุษย์เสียอีก
“ช่างเถอะ ฉันหลบไปให้ไกลหน่อยดีกว่า…”
อากาศหนาวเหน็บรอยเลือดบนพื้นแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่กลิ่นคาวเลือดยังลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ หูหงเต๋อมองสำรวจรอบด้าน เดินห่างจากสระน้ำออกไปสามสิบกว่าเมตรตรงที่มีแท่นหินอยู่นั่งลงทำสมาธิ
“หยกเทาชิ้นนั้นสามารถสร้างเลือดเนื้อขึ้นจากจากความตายได้ แต่หยกแขวนเอวที่เหลืออีกสองชิ้นไม่รู้มีไว้ทำอะไร?”
รอจนหูหงเต๋อปลีกตัวออกไป เยี่ยเทียนหันมาสนใจหยกที่เหลืออีกสองชิ้นในกล่อง เขาใช้พลังจิตสำรวจสรรพคุณของหยกแล้วรู้สึกแปลกใจ
“อืม ไม่มีพลังวิเศษเลย?” ยื่นมือไปหยิบชิ้นหยกขึ้นมา เยี่ยเทียนชักนำดวงจิตให้น้อมลงสู่ชิ้นหยก ดวงหน้ามีแววผิดหวัง หยกชิ้นนี้ไม่มีปฏิกิริยาใด
“เก็บหยกไว้ด้วยกัน หยกชิ้นนี้น่าจะเป็นของมีค่ามาก?”
เยี่ยเทียนหงุดหงิดใจ จึงใช้จิตดั้งเดิมเข้าครอบคลุมหยก ครั้งนี้ถึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลง บังเกิดตัวอักษรบางอย่างลอยจากหยกขึ้นมาสู่ดวงจิตความรับรู้ของเยี่ยเทียน
“เป็นวิชาบทหนึ่งหรือนี่?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวเรียกจิตดั้งเดิมกลับมา ตั้งใจอ่านอักษรที่ปรากฏขึ้นอย่างละเอียด ในนั้นบันทึกการฝึกวิชาไว้บทหนึ่ง เพียงแต่วิชาที่ว่านี้ค่อนข้างแปลกประหลาดไปหน่อย
“เม็ดพลังเน่ยตัน?” เมื่ออ่านถึงกลางบท เยี่ยเทียนมองเห็นคำสองคำแล้วตาค้าง “หรือว่านี่จะเป็นการฝึกวิชาของสัตว์ปีศาจ?”
ลัทธิเต๋าแม้จะฝึกวิชาเน่ยตัน แต่กลับถูกเรียกว่าจินตัน ดังนั้นจึงก่อกำเนิดวิชาจินตันขึ้นมา ก่อนเข้าถึงวิชาจินตันจะต้องฝึกถึงระดับเซียนเทียนก่อน ส่วนคำว่าเน่ยตันใช้เรียกการฝึกวิชาปีศาจของเหล่าสัตว์เดรัจฉาน
อ่านมาถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนถอนหายใจ เป็นวิชาปีศาจจริงๆด้วย เนื้อหานอกจากจะอธิบายถึงการแตกหน่อเน่ยตันแล้ว ยังมีการฝึกวิชาปีศาจให้เป็นเซียนด้วย ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรกับเยี่ยเทียนเลย
“เจ้ามังกรดำมีโชคอยู่ไม่น้อย ผ่านเคราะห์หนักครั้งนี้ไปแล้ว กลับได้เคล็ดวิชามาแทน” เยี่ยเทียนส่ายหน้า เก็บหยกลงกล่อง แล้วหยิบหยกแขวนเอวชิ้นสุดท้ายขึ้นมา
ป้ายหยกรูปแบบนี้ เยี่ยเทียนเคยเห็นมาก่อนในหน้าตำราเต๋าไคหยวนที่เคยได้ครอบครอง ที่กล่าวถึงการแกะสลักความทรงจำด้วยดวงจิตลงบนเนื้อหยก ซึ่งผู้ที่ฝึกวิชาเต๋ามักใช้จิตดั้งเดิมสอบทานดู
ถ้าเทียบกับตำรากระดาษโบราณ วิธีการนี้สะดวกง่ายดายกว่ามาก ทั้งยังเก็บข้อมูลได้อย่างมิดชิด นอกจากผู้ที่ฝึกวิชาเต๋าแล้ว ต่อให้วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก้าวหน้าไปมากแค่ไหน ก็ไม่อาจตรวจหาถึงเนื้อหาที่บันทึกอยู่ในหยกนี้ได้
เยี่ยเทียนมีแนวความคิดว่า “ไม่รู้ว่าจะต้องฝึกวิชาถึงขั้นไหนถึงจะแกะสลักความทรงจำลงบนเนื้อหยกได้?”
หยกแขวนเอวชิ้นนี้เหนือชั้นกว่าข้อมูลที่เยี่ยเทียนได้รับมาจากตำราหน้านั้นเสียอีก เพราะว่าเนื้อหาในหยกนี้เขาสามารถอ่านทบทวนได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เหมือนกับบันทึกของนักพรตที่อ่านเพียงครั้งเดียวก็หายไป
จากการคาดเดาของเยี่ยเทียน ระดับการฝึกวิชาของผู้ที่ถ่ายทอดข้อความลงบนหยกนี้จะต้องสูงกว่าผู้ที่บันทึกลงในกระดาษ
แต่เยี่ยเทียนเดาผิด ที่เนื้อหาในหยกอยู่ทนทานกว่านั้นเป็นเพราะเนื้อวัสดุที่ต่างกัน
ชิ้นหยกในโลกของลัทธิเต๋าเรียกว่าบันทึกหยก ใช้สำหรับเก็บบันทึกความคิดความทรงจำ จำเป็นต้องกระทำด้วยวิธีเฉพาะ เมื่อบันทึกลงแล้ว หากเยี่ยเทียนอยากจะบันทึกความคิดของตัวเองลงไปในพื้นที่ว่างก็ยังทำได้ไม่ยากเย็น
“ดูซิว่าข้างในพูดถึงอะไร?” สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วส่งจิตดั้งเดิมลงตรวจสอบในชิ้นหยก ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียด
เขาฆ่านักพรตคนนั้นอย่างฉับไวแต่ในใจกลับรู้สึกถึงภาระหนักหน่วง สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เคล็ดวิชา แต่อยากรู้ถึงที่มาที่ไปของนักพรต
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เยี่ยเทียนได้แต่สืบหาเบาะแสที่หลงเหลืออยู่จากโลกลัทธิเต๋า หากชื่อของเยี่ยเทียนได้ขึ้นบัญชีดำ วันหน้าอาจจะไม่ได้โชคดีแบบครั้งนี้
“เป็นเคล็ดวิชาจริงด้วย?”
หลังจากใช้จิตดั้งเดิมตรวจทานในหยกเสร็จก็ต้องผิดหวังมาก ในหยกชิ้นนี้ได้บันทึกเคล็ดวิชาไว้เหมือนกัน เยี่ยเทียนดูซ้ำอีกรอบเนื้อหาน่าจะกล่าวถึงการใช้ธาตุไฟในการสร้างของวิเศษ
“เอ๋? มีแผนที่ด้วย?”
เยี่ยเทียนตาลุกวาว เพราะนอกจากเคล็ดวิชาแล้ว ยังปรากฏแผนที่ภูเขาแห่งนี้ ตรงกลางแผนที่มีสัญลักษณ์สีทองบ่งบอกตำแหน่งสำคัญ
“ดินแดนแห่งทวยเทพ? อยู่ที่ไหนกัน?”
เยี่ยเทียนไม่ค่อยมีความรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ดูสัญลักษณ์บนแผนที่อยู่นาน เขาเข้าใจเพียงคำสี่คำที่ปรากฎอยู่เท่านั้น
“หรือว่าตอนนั้นที่เกิดฟ้าดินตาลปัตร ผู้ฝึกเต๋าทั้งหมดหนีเข้าไปอยู่ในดินแดนนี้หมดแล้ว?” เยี่ยเทียนดำดิ่งลงสู่ห้วงความคิด “แต่ดินแดนแห่งนี่อยู่ที่ใด? ทำไมถึงไม่มีใครรู้จัก?”
วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าสุดโต่งจนทำให้มนุษย์สามารถไปเดินเล่นบนดวงจันทร์ได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว บนท้องฟ้ามีดาวเทียมจำนวนนับไม่ถ้วน
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงเลยว่า พวกนักพรตเหล่านั้นหลีกหนีจากสายตาชาวโลกได้อย่างไร หลบไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีคนรู้ ที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหนกันนะ?
“เฮ้อ น่าเสียดาย ได้เจอกับผู้รู้เข้าแล้ว แต่เขากลับเป็นคนจิตใจหยาบช้า….”
เยี่ยเทียนถอนใจยาว ในสมองมีแต่คำสี่คำนั้น เขาคาดเดาความจริงยากมาก พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปสนใจเคล็ดวิชานั้นแทน
“โห ทำยังไงถึงจะฝึกถึงระดับเซียนได้ นี่ไม่ได้แกล้งกันใช่ไหม?”
อ่านเคล็ดวิชาอย่างละเอียดอีกรอบแล้ว เยี่ยเทียนสบถออกมา เพราะในเนื้อหากล่าวถึงการสร้างของวิเศษอย่างหยาบขึ้น โดยใช้จิตดั้งเดิมกระตุ้นธาตุไฟ ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ต้องฝึกถึงระดับเซียนก่อน
“หอประดิษฐ์วิเศษ อยู่ที่ไหนกัน? เป็นตึกอาคารหรือ?”
ในวิธีการฝึกเอ่ยถึงชื่อสถานที่แห่งนี้หลายครั้ง จึงดึงดูดความสนใจของเยี่ยเทียน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเคล็ดวิชาดังกล่าวได้ถูกเขียนขึ้นที่หอประดิษฐ์วิเศษ
“ให้ตายเถอะ ไม่คิดแล้ว รีบเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วไปจัดการเรื่องสำคัญดีกว่า!”
เยี่ยเทียนสั่นหัว เก็บหยกทั้งสองชิ้นลงกล่อง แล้ววางไว้บนมือซ้ายชูขึ้นสูงเหนือหัว แล้วออกแรงตีไปที่กล่องหยก
ฝ่ามือของเยี่ยเทียนมีแรงมากถึงหลายร้อยกิโลกรัม เสียงตีดัง “เพี๊ยะ” กล่องหยกอย่างดีถูกตีจนแตกกระจุย แม้แต่หยกทั้งสองชิ้นที่อยู่ด้านในก็แหลกไปด้วย
ถึงหยกแขวนเอวจะเป็นเรื่องรางชนิดหนึ่ง ใช้สืบทอดพลังวิชาความคิด แต่ไม่ได้มีประโยชน์ด้านฤทธิ์คุ้มกันภัย ไม่ต่างอะไรจากหยกธรรมดาทั่วไป
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าผู้ฝึกเต๋านั้นสามารถติดต่อกันได้ดีแค่ไหน เกรงว่าถ้ามีนักพรตคนอื่นสัมผัสได้ถึงพลังในหยกแขวนเอวสองชิ้นนี้แล้วจะสืบเสาะตามหาจนถึงเหตุที่เกิดขึ้นกับนักพรตใจหยาบคนนั้น เอาเป็นว่าเนื้อหาใจความในชิ้นหยกเยี่ยเทียนจำได้หมดแล้ว ทำลายทิ้งไปก็ไม่เป็นไร
เยี่ยเทียนเข้าไปยกเอาร่างของนักพรตขึ้นเตรียมลากไปโยนลงสระมังกรดำ มีธนบัตรจำนวนมากหลุดร่วงออกมาจากแขนเสื้อชุดคลุม
“เอ๋? นี่มันเงินสมัยไหนกัน? ไม่เคยเห็นมีคนใช้เลย?”
เยี่ยเทียนก้มลงไปเก็บขึ้นมาดูหลายใบแล้วตกตะลึง เพราะธนบัตรในมือมีมูลค่าสามหยวน บนนั้นลงไว้ว่าปี 1955 ตั้งแต่จำความได้ เยี่ยเทียนไม่เคยเห็นธนบัตรแบบนี้มาก่อน