ตอนที่ 689 วิถีแห่งเต๋า
ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่แห้งกรอบติดไฟค่อนข้างง่าย แสงไฟสว่างขึ้นท่ามกลางพุ่มไม้อันเงียบเหงา
เหมาโถวกระโดดโลดเต้นรอบกองไฟไม่หยุด มันมองซ้ายมองขวาเสร็จ ใช้อุ้งเท้าหน้าเกี่ยวเนื้องูที่เยี่ยเทียนวางไว้ข้าง ๆ และวิ่งไปใกล้กองไฟ
“จี…จี จี ! ” กระโดดขึ้นบนไหล่ของเยี่ยเทียนและส่งเสียงร้องไม่หยุด
“ตะกละจริง ๆ เสียงเบา ๆ หน่อย”
เยี่ยเทียนตบที่หัวของมัน แม้จะรู้ว่าเจ้าตัวแสบกินเก่งมาก แต่พอนึกถึงรสชาติอันเลิศรสของเนื้องูกับเห็ดหัวลิง เยี่ยเทียนก็หิวเหมือนกัน
เขาหาก้อนหินวางซ้อนเอาไว้ข้างกองไฟ จากนั้นเทน้ำที่ตักขึ้นมาลงหม้อ และนำเนื้องูที่เหลืออยู่กับเห็ดหัวลิงใส่เข้าไปในหม้อ
“เหมาโถว แกว่าในป่าแห่งนี้มียอดฝีมือจริงมั้ย ? ”
ตั้งแต่จุดไฟติด ใจของเยี่ยเทียนกระวนกระวายตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าการจุดไฟจะทำให้คน ๆ นั้นโผล่มามั้ย และอาณาเขตแห่งเทพกสิกรเป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยให้วิชาของเขากลับคืนมา
“จี จี ? ”
เหมาโถวเอียงหัวมองด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด
“เฮ้อ พูดไป แกก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
เยี่ยเทียนถอนหายใจกับท่าทีของเหมาโถวที่เอาแต่มองของในหม้อ เขาจึงหัวเราะและตำหนิไปว่า
“เจ้าตะกละ ใจเย็นก่อนสิ น้ำเดือดแล้วก็ต้องใช้เวลาต้มอีกหน่อย”
ไฟกองนี้จุดแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง นอกจากเสียงลมพัดกับเสียงหอนของหมาป่าแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีกเลย
เยี่ยเทียนส่ายหัวและคิดในใจ ยอดฝีมือที่อาศัยอยู่ในป่าไม่ใช่ปีศาจน้อยที่คอยลาดตระเวน เขาจะสนใจไฟที่สว่างขึ้นในป่าทุกครั้งเลยก็คงไม่ใช่
“จี จี จี จี!”
เยี่ยเทียนที่กำลังจะยื่นถ้วยเนื้องูตุ๋นให้กับเจ้าตัวแสบน้ำลายไหลยืด แต่จู่ ๆ ขนของมันก็ตั้งขึ้นทั้งตัว และส่งเสียงร้องขึ้นมา
“เป็นอะไร ? เกิดอะไรขึ้น ? ”
เยี่ยเทียนเห็นท่าทีของเหมาโถว ตกใจถึงกับลุกขึ้นมา เขาเคยเห็นอาการแบบนี้แล้วครั้งนึง เป็นครั้งที่แม่ของเหมาโถวต่อสู้กับงูแปลกประหลาดที่มีปีก
ถึงแม้แก่นแท้ของจิตของเยี่ยเทียนบรรลุแล้ว แต่การรับรู้อันตรายของสัตว์เป็นสัญชาตญาณที่มีความได้เปรียบกว่าคน เยี่ยเทียนจึงไม่รอช้า มองไปทิศทางที่เหมาโถวร้องขึ้นเมื่อครู่
“ไม่มีอะไรเลย ? ”
เยี่ยเทียนหันกลับมามองเหมาโถว เพราะตรงนั้น นอกจากเป็นป่าไม้กับความมืดแล้ว เยี่ยเทียนไม่เห็นอะไรอีกเลย และในใจของเขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอันตรายอะไร
ตอนที่หันกลับมา แสงสีครามเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังของเยี่ยเทียนแบบไร้เสียง โจวเซี่ยวเทียนที่กำลังนั่งโคจรลมปราณถูกฝ่ามือใหญ่ ๆ แตะที่หัวและล้มลงนอนไปกับพื้น
“ใคร ? ”
เยี่ยเทียนสัมผัสได้แล้วบางอย่าง เขาจึงรีบหันกลับมาดู แต่เงานั้นหายไปแล้ว เหลือแต่เพียงโจวเซี่ยวเทียนที่นอนอยู่
“เซี่ยวเทียน ? ” เยี่ยเทียนตกใจมาก เขารีบเข้าไปหาลูกศิษย์ที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง และไม่ได้สนใจคนที่อยู่ในที่มืดอีก
“ค่อยยังชั่ว แค่สลบไป”
ชีพจรตรงคอของโจวเซี่ยวเทียนยังเต้นอยู่ เยี่ยเทียนหายห่วงเพราะลูกศิษย์ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
“จี จี ! ” เหมาโถวเหมือนสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีอันตราย เสียงร้องของมันครั้งนี้ไม่น่าสงสารเท่าเมื่อครู่ การป้องกันภัยของมันลดลงไปด้วยเช่นกัน
เยี่ยเทียนยืนขึ้นหลังจากวางลูกศิษย์ลง เขาโค้งคำนับให้กับที่มืดตรงนั้นและพูดว่า
“กระผมเยี่ยเทียน อยากจะขอเชิญท่านยอดฝีมือออกมา หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ขอให้ท่านโปรดให้อภัย!”
นอกจากเสียงของเยี่ยเทียนแล้ว ในป่ายังคงเงียบงันเหมือนเคย ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่เยี่ยเทียนตกใจมากตอนมองลงไปที่พื้น
หม้อต้มกับเนื้องูตุ๋นที่เพิ่งเดือด มันหายไปไหนไม่รู้ มีแต่กองไฟที่ยังคงเผาไหม้อยู่ตรงนั้น
“บ้าเอ้ย นี่มันคนหรือผีกันแน่ ? ”
คนที่กล้าทำทุกอย่าง พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ขนลุกเหมือนกัน ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามโจมตีโจวเซี่ยวเทียนจนสลบ จากนั้นคงหยิบหม้อไปด้วย แต่ช่วงเวลานั้นเยี่ยเทียนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนะ
วิชาของเขาเก่งมาก ถ้าเขาต้องการชีวิตของเยี่ยเทียน ก็คงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แม้ว่าเปลวไฟยังลุกซู่อยู่ตรงนั้น แต่เยี่ยเทียนกลับเย็นไปทั้งตัว
“หากผู้อาวุโสไม่ออกมา กระผมคงต้องขออภัย ! ”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้น เยี่ยเทียนกัดฟัน แสงสว่างส่องออกมาจากดวงตาของเขา จากนั้นจิตวิญญาณก็หลุดออกจากร่างและพุ่งตรงไปยังพุ่มไม้ตรงนั้น
นับตั้งแต่การเดินทางไปภูเขาฉางไป๋ซานครั้งนั้น เยี่ยเทียนมีจุดประสงค์เพื่อหาผู้มีวิชาฝีมือขั้นสูงระดับหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า และตอนนี้ คนผู้นั้นได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว แม้ต้องเสียมารยาท แต่เยี่ยเทียนก็จะบีบบังคับให้เขาปรากฏตัวให้ได้
เยี่ยเทียนเป็นผู้สืบทอดของสำนักเสื้อป่าน วิชาที่ถนัดคือทำนายโชคชะตา สะเดาะเคราะห์ การที่เยี่ยเทียนกล้าถอดจิตออกจากร่าง ก็เพราะเขาไม่รู้สึกว่ามีอันตรายใด ๆ
“หืม ไม่มีคน ? ”
แม้ว่าจิตแท้ของเยี่ยเทียนยังไม่สมบูรณ์ แต่จิตที่ออกจากร่างผสานกับการระลึกรู้ตัวในลมหายใจเข้าออก เพียงแค่ครู่เดียว เยี่ยเทียนได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ในระยะร้อยเมตรเสร็จแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือไม่พบร่องรอยของใครเลย
“เอ๋ น่าสนุกจริงเชียว ! ”
จู่ ๆ ในสมองของเยี่ยเทียนก็มีเสียงดังขึ้น ซึ่งเป็นตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป
“ใคร ใครพูดกับฉันอยู่ ? ”
เยี่ยเทียนดึงจิตแท้กลับมา และมองไปรอบ ๆ
“จี จี ! ”
เหมาโถวมองเยี่ยเทียนด้วยความไม่เข้าใจ นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว มันไม่ได้ยินเสียงของใครอีกเลย
“เจ้ามีจิตวิญญาณแท้ ไม่สิ จิตแท้ของเจ้าแปลก ๆ และมันแทบจะไม่มีด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงรู้การถอดจิตล่ะ ข้าเพิ่งเคยเจอคนฝึกวิชาแบบเจ้าครั้งแรก”
ในสมองของเยี่ยเทียนมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเสียงนั้นเข้ามาอยู่ในสมองของเขาได้อย่างไร เขาจึงพูดออกไปว่า
“ผมชื่อเยี่ยเทียน เดินทางมาที่อาณาเขตแห่งนี้ ก็เพื่อต้องการไขความกระจ่าง ขอให้ท่านผู้อาวุโสปรากฏตัวด้วย ! ”
คน ๆ นั้นมองอาการในร่างกายของเยี่ยเทียนออก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ปรากฏตัว ประกอบกับท่าทีแบบผีสางเมื่อสักครู่ ถ้าเป็นคนทั่วไป คงคิดว่าเจอผี หรือไม่ก็ เจอเทพเซียนเป็นแน่
“ปรากฏตัวงั้นเหรอ ? ข้าไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคนธรรมดาหรอกนะ ! ”
คนที่ส่งเสียงออกมาดูเหมือนจะเบื่อเล็กน้อย เขานิ่งไปครู่หนึ่ง และพูดอีกครั้ง
“เจ้ามีจิตแท้ ถือว่าเป็นผู้ฝึกวิชา เฟอร์เร็ตของเจ้าช่างแปลกประหลาด ถือว่าเป็นปีศาจ ข้าจะปรากฏตัวให้เห็นก็แล้วกัน ! ”
เสียงเพิ่งหายไป เยี่ยเทียนรู้สึกตาลาย นักพรตส่วนสูง 1.6 เมตร สวมใส่เสื้อสีครามปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยเทียนซึ่งห่างออกไปสามเมตร
แต่คน ๆ นั้นหันหลังให้กับเยี่ยเทียน นอกจากผมขาวยุ่งเหยิงแล้ว เยี่ยเทียนไม่สามารถมองเห็นตัวเขาได้อย่างชัดเจนเลย
ส่วนลมปราณของคน ๆ นี้ เยี่ยเทียนสัมผัสไม่ได้เลย เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับฟ้าดิน หากไม่ได้พบด้วยตาเปล่า เยี่ยเทียนไม่สามารถสัมผัสการมีอยู่ของเขาได้เลย
“จี จี ! ” เหมาโถวตกใจมากที่มีเงาคนปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน มันปีนขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็ว
“เหมาโถว เงียบ ๆ ! ” เยี่ยเทียนเดินไปข้างหน้า สองมือกุมไว้คำนับต่อผู้นั้นและพูดว่า “ผมชื่อเยี่ยเทียน ขอคารวะท่านผู้อาวุโสครับ ! ”
“เจ้าชื่อเยี่ยเทียน ? จิตแท้ของเจ้าได้มาจากไหน แล้วแก่นแท้หายไปจากร่างกายได้ยังไง ? ”
ไม่รู้ว่าทำไม คนตรงหน้าไม่ส่งเสียงออกมาจากปาก แต่เสียงของเขาส่งเข้าสมองของเยี่ยเทียนโดยตรง
“ท่านผู้อาวุโส ผมอยู่สำนักเสื้อป่าน เชื้อสายของผมเป็นนักพรตเสื้อป่านตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งครับ…”
เยี่ยเทียนคิดไปครู่หนึ่งพูดต่อว่า “จิตแท้ของผม ผมเป็นคนฝึกเองครับ แต่ตอนที่ฝึกมัน ผบประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ทำให้จุดตันเถียนแตก ประกอบกับไม่มีวิธีฝึกจิตแท้ ผมจึงเดินทางเข้าป่ามาหาท่านที่นี่ครับ!”
จิตแท้ที่ก่อตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาดในตอนที่เขาสลบอยู่ แต่ความเป็นจริงกับสิ่งที่เขาคิดก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ก็ถือว่าไม่ได้หลอกลวงใคร
ท่านผู้อาวุโสรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งว่า
“นักพรตเสื้อป่านสมัยราชวงศ์ซ่ง ? เหมือนมีระบบเต๋าจริง เชื้อสายของเจ้าน่าจะมาจากหวังอวี่ แล้วจะไม่มีวิธีฝึกจิตแท้ได้ยังไง ? ”
“หวังอวี่ ? ” เยี่ยเทียนงุนงง และถาม
“ท่านผู้อาวุโสหมายถึงหวังฉานปราชญ์หุบผาภูติ ? ”
คนที่เรียกหวังอวี่มีไม่มาก แต่คนที่ท่านนี้พูดถึง จะต้องเป็นปราชญ์หุบผาภูติเป็นแน่ คนนั้นแซ่หวังชื่อฉานชื่อทางการอวี่
หวังฉานถือว่าเป็นบุคลลในตำนานที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว เขาเป็นคนสมัยชุนชิว มักจะเข้าป่าอวิ๋นเมิ่งเพื่อหาสมุนไพรฝึกวิชา เพราะอาศัยอยู่ในหุบผาภูติ จึงตั้งชื่อตนเองว่าปราชญ์หุบผาภูติ
เหมือนกับซุนปิน ผางหวนในยุครณรัฐ ซูฉิน จางยี่และคนอื่น ๆ ที่เป็นนักยุทธศาสตร์ ก็ล้วนมาจากนิกายของเขา หวังฉานยังเป็นบรรพบุรุษของตระกูลหยินหยางและเป็นนักพยาการณ์แห่งยุทธภพ ด้วยเหตุนี้โลกจึงเรียกปราชญ์หุบผาภูติว่าเป็นอัจฉริยะ
มีหนังสือชื่อว่า ตำราศาสตร์ยันต์หยินทั้ง 7เคยเผยแพร่อยู่ช่วงหนึ่ง เนื้อหาเขียนเกี่ยวกับวิชาการฝึกปราณหลอมจิต แน่นอนว่าวิชาในตำราเล่มนี้ไม่มีการสืบทอดตั้งนานแล้ว
“ท่านผู้อาวุโส วิชาที่ผมมีล้วนได้รับการถ่ายทอดจากนักพรตแห่งสำนักเสื้อป่าน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปราชญ์หุบผาภูติครับ”
เยี่ยเทียนไม่เคยรู้เลยว่าสำนักเสื้อป่านสืบทอดมาจากหวังฉานปราชญ์หุบผาภูติ เพราะตั้งแต่มีการบันทึก ผู้ที่ถูกเคารพกราบไว้ก็เป็นบรรพจารย์ของสำนักเสื้อป่านมาโดยตลอด
“ไม่เกี่ยวข้องได้ยังไง ? เสี่ยงทายพยากรณ์ ล้วนสืบทอดมาจากเขา”
ผู้อาวุโสยืนยันอีกว่า “นักพรตเรียกหวังอวี่ว่า ‘เซียนแท้’ แม้แต่เจ้านายยังยกย่องสรรเสริญเขา วิชาของเขาเยี่ยมมาก ทำไมเจ้าถึงจะไม่เกี่ยวข้องล่ะ ? ”
“เจ้า…เจ้านาย ? ท่าน…ผู้อาวุโสไม่ได้ล้อเล่นกับผมใช่มั้ยครับ ? ” สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดออกมาทำให้เยี่ยเทียนตกใจมาก คน ๆ นี้เก่งขนาดนี้ แต่เป็นแค่คนใช้ของคนอื่นงั้นเหรอ ?
สำหรับเยี่ยเทียนผู้ที่อยู่ในสมัยปัจจุบัน ชนชั้นเจ้านายกับคนใช้ได้หมดไปตั้งนานแล้ว วิธีการพูดของคน ๆ นี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ชินเป็นอย่างมาก เหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในยุคโบราณซะอย่างนั้น