คริสตี้กับซอธบี้เป็นคำทับศัพท์มา เนื่องจากสมัยก่อนฮ่องกงเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งฮ่องกงจึงยังคงอ่านออกเสียงอย่างชาวต่างชาติ
การจัดการของบริษัทประมูลคริสตี้และซอธบี้นั้นทำกันแบบแฟรนไชส์ พวกนั้นไม่เพียงก่อตั้งสาขาในประเทศของตนเอง แต่ยังจัดงานประมูลข้ามชาติ โดยใช้ระบบและวิธีการให้สิทธิ์สัมปทาน จนสามารถปันส่วนแบ่งจากงานประมูลขนาดยิ่งใหญ่ระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลทางสถิติของปลายศตวรรษก่อนชี้ให้เห็นว่า มีบริษัทประมูลซอธบี้ตั้งอยู่ในสามสิบเก้าประเทศทั่วโลก มีการจัดตั้งระบบประมูลและออฟฟิศในเมืองหนึ่งร้อยเก้าแห่ง และบริษัทประมูลคริสตี้ก็มีอยู่ในสี่สิบหกประเทศทั่วโลก จัดตั้งระบบประมูลและออฟฟิศในเมืองถึงสามสิบสี่แห่ง
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ซอธบี้และคริสตี้ต่างเป็นราชาแห่งตลาดการประมูลศิลปวัตถุประจำชาติ ชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้ กระทั่งเยี่ยเทียนหรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการประมูล ยังเคยได้ยินชื่อของพวกเขา
“เยี่ยเทียน ฉันไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับตำราเต๋าสักเท่าไหร่ คราวนี้จะมีการประมูลตำราพวกนี้ เธอลองดูสิว่าต้องการใช้หรือเปล่า ถ้าต้องการ ฉันจะช่วยประมูลให้เธอแน่นอน!”
สองสามครั้งก่อนทุ่มเงินทองประมูลสิ่งของมาจำนวนหนึ่ง แต่ล้วนไม่มีประโยชน์อะไรต่อเยี่ยเทียนเลย ถังเหวินหย่วนเป็นคนทำการค้ามาก่อน ถึงแม้ไม่เสียดายเงินทอง แต่ก็ไม่ยอมเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
ได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว เยี่ยเทียนก็เลื่อนสายตาออกจากรายการประมูล เงยหน้ายิ้มว่า “เหล่าถัง ค่าใช้จ่ายในการประมูลก่อนหน้านี้ คุณเรียบเรียงตัวเลขมาให้ผม แล้วผมจะให้โจวเซี่ยวเทียนจัดการให้คุณครับ”
“อย่าเลย ทำแบบนี้เหมือนเป็นการตบหน้าฉันน่ะสิ?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็เบิกตาโตขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจ ว่าตัวเองไม่น่าทำเป็นเรื่องใหญ่ เยี่ยเทียนต้องการให้ประมูลก็ทำไป สุขภาพของตนเองเมื่อเทียบกับเงินเหล่านี้แล้วยังนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
“เหล่าถังครับ ผมไม่เสียดายเงินเล็กน้อยพวกนี้ คุณช่วยผมตามหาข้อมูลเหล่านี้ ก็ถือเป็นค่าเช่าห้องอยู่ที่นี่แล้ว ซื้อของอะไรย่อมไม่จำเป็นต้องให้คุณออกเงิน”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา ก่อนหน้านี้ไม่นาน ซ่งเวยหลันให้บัตรเงินสดเขาใบหนึ่ง ภายในมีเงินสิบล้านดอลลาร์อเมริกา แต่นั่นเพราะซ่งเวยหลันกลัวว่าลูกชายจะเอาเงินให้เธอหมด จนตัวเองไม่ได้ใช้ จึงทิ้งเอาไว้ให้สิบล้านดอลลาร์อเมริกา
เมื่อรวมกับเงินสี่ห้าพันล้านดอลลาร์อเมริกาที่เขาให้แม่ยืม ตอนนี้เยี่ยเทียนจึงสบายอกสบายใจมาก ลำพังแค่เงินสิบล้านหยวนฮ่องกงยังเล็กน้อย เขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้วครับ น้ำใจผมรับไว้ แต่เงินยังต้องให้”
เห็นถังเหวินหย่วนยังพยายามอธิบาย เยี่ยเทียนก็โบกมือไปมา ทันใดนั้นสายตาสะดุดอยู่ที่หน้าหนึ่งของรายการ “เหล่าถัง ตำราที่คุณว่าคือเล่มนี้หรือเปล่า?”
แม้คริสตี้จะมีประวัติศาสตร์การจัดงานประมูลใหญ่มาเป็นเวลาร้อยสองร้อยปี แต่ก็ยังหลังจากบริษัทประมูลซอธบี้ถึงยี่สิบสองปี จึงเป็นที่นิยมน้อยกว่านิดหน่อย
ทั้งสองบริษัทแข่งขันกันในตลาดอย่างดุเดือดเลือดพล่าน กระทั่งโฆษณาที่ใช้ในใบรายการประมูล ยังพิมพ์อย่างสวยสดงดงาม และใต้รายชื่อของที่นำมาประมูลก็มีภาพขยายขนาดใหญ่
สายตาของเยี่ยเทียนเวลานี้ ถูกรูปภาพชุดหนึ่งดึงดูดเอาไว้ เป็นสมุดเย็บทรงพัดสามเล่ม กระดาษหนังสือสีเหลืองจาง มุมขอบมีร่องรอยแมลงกัดกิน คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
แต่ผิวปกด้านบนสุดของตำรานั้น เขียนไว้ว่า “คัมภีร์เต๋าไคหยวน”สี่อักษรอย่างชัดเจน แล้วยังมีอักษรเล็กๆ เขียนว่า “ถ้ำที่แท้” หลังจากเห็นตัวอักษรพวกนี้แล้ว สายตาของเยี่ยเทียนก็ไม่อาจละออกมาจากบนภาพได้อีก
ที่ว่าเป็น “คัมภีร์เต๋า” ความจริงก็เหมือนกับ “คัมภีร์วิชา” ที่เยี่ยเทียนสืบทอด เป็นตำราที่รวบรวมศาสตร์แห่งเต๋าตามเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ซึ่งเก็บสะสมนำเอาตำราต่างๆ ในขอบเขตโครงสร้างผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันเป็นคัมภีร์เต๋าชุดใหญ่ รวมไปถึงตำราสำนักเต๋าภายใต้ราชวงศ์โจวกับราชวงศ์ฉิน และอีกหกราชวงศ์ไว้ด้วยกัน
ตั้งแต่ยุคราชวงศ์เหนือใต้ ลู่ซิวจิ้งก็แต่งตำราเต๋า “เนื้อหาตำราสามถ้ำ” ในคริสต์ศักราชที่ 471 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดยุคเริ่มแรกของ “คัมภีร์เต๋า”
ตำราเต๋าถูกรวบรวมให้เป็น “คัมภีร์” อย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในสมัยไคหยวนราชวงศ์ถัง จากนั้นในราชวงศ์ซ่ง จิน หยวน หมิงก็ได้ตบแต่งแก้ไขกลายเป็น “คัมภีร์เต๋า” และถูกเรียบเรียงใหม่จนกลายเป็น “แก่นคัมภีร์เต๋า” ในราชวงศ์ชิง
เนื้อหาในคัมภีร์เต๋ามีความหลากหลายอย่างยิ่ง ภายในมีตำราศาสตร์แห่งเต๋า หลักปรัชญา กฎปฏิบัติ ยันต์คาถา เคล็ดวิชา อาหารการกิน บทสรรเสริญ ประวัติศาสตร์ บันทึกรายนามเทพเซียนและบุคคลสำคัญในลัทธิเต๋าเป็นต้น
นอกจากนั้นยังรวบรวมผลงานปรัชญาร้อยสำนัก ภายในนั้นมีตำราโบราณบางส่วนนอกเหนือไปจากคัมภีร์เก่าที่สูญหายไป อีกทั้งยังมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์โบราณของจีนอีกไม่น้อย เช่นตำราบำรุงรักษา ยาภายในและภายนอก ปฏิทินดาราศาสตร์เป็นต้น
ความจริงหลังยุคก่อตั้งสาธารณรัฐ ก็ยังเคยมีการเรียบเรียงตำราอย่าง “ตำราเต๋านอกคัมภีร์” “คัมภีร์เต๋าตุนหวง” “คัมภีร์เต๋าแห่งจีน” ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเยี่ยเทียนล้วนอ่านผ่านตามาหมดแล้ว
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ตำราคัมภีร์เต๋าในยุคปัจจุบันเหล่านี้ เนื้อหาภายในล้วนธรรมดาไร้ความแปลกใหม่ ไม่แตกต่างอะไรกับตำราเต๋าทั่วไป ที่บอกว่าเป็นเคล็ดวิชาภายใน ยังห่างไกลจากที่เขาสืบทอดมามากนัก
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า “คัมภีร์เต๋า” ในยุคปัจจุบันไม่อาจเทียบกับ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” บนรูปนี้ได้ มันคือคัมภีร์เต๋าฉบับแรกในประวัติศาสตร์ลัทธิเต๋าแห่งชาติจีน
ถังเสวียนจงขึ้นครองราชย์ แล้วรับสั่งให้ฉงเสวียนกับอีกสี่สิบคนเขียนตำรา “เสียงและความหมายทั้งหมดในตำราเต๋า” จากรากฐานนั้นเขายังส่งคนไปค้นหาตำราเต๋าจากทั่วทุกสารทิศในช่วงกลางสมัยไคหยวน และพอรวมกับตำราดั้งเดิมที่มีในเมืองหลวง ก็เรียบเรียงจนกลายเป็น “คัมภีร์”
แต่จากบันทึกที่เกี่ยวข้อง พอถึงช่วงไฟสงครามปลายสมัยราชวงศ์ถังห้าวงศ์สิบรัฐ ตำราอันล้ำค่าเหล่านี้ก็ถูกทำลายภายใต้มีดดาบของกองทัพ ผู้คนในยุคหลังไม่อาจล่วงรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น
“เหล่าถังครับ ของประมูลชุดนี้มีทั้งหมดสามเล่มใช่ไหม? ได้พวกมันมาจากที่ไหนครับ?”
หลังจากเห็นรูปภาพนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป เพราะว่า “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “แก่นหยกสามถ้ำ” นั้นแบ่งเป็นสามถ้ำสามสิบหกส่วน อันมีถ้ำที่แท้ ถ้ำแห่งความมืด และถ้ำแห่งจิตอย่างละสิบสองส่วน
ถ้ำที่แท้ว่าด้วยสูตรแห่งเทียนเป่าจวิน อันเป็นมหายาน
ถ้ำแห่งความมืดว่าด้วยสูตรแห่งหลิงเป่าจวิน อันเป็นยานกลาง
ถ้ำแห่งจิตว่าด้วยสูตรแห่งเสินเป่าจวิน อันเป็นหีนยาน
บุคคลผู้สอดคล้องต่อสูตรสามถ้ำนี้แบ่งเป็นหยวนสื่อเทียนจวิน ซ่างชิงหลิงเป่าเทียนจวินกับไท่ชิงเต้าเต๋อเทียนจวิน อันเป็นปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดลัทธิเต๋าทั้งสามนั่นเอง
คนโบราณล่ำลือกันว่า ในสูตรถ้ำที่แท้มีเคล็ดวิชาเหินฟ้ากลายร่างเป็นเซียน แต่ไม่ได้สืบต่อกันมา คนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
ดังนั้นพอเยี่ยเทียนเห็นอักษรสองตัวเขียนว่าถ้ำที่แท้ จึงตาลุกวาวขึ้นมาทันใด เวลานี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าเคล็ดวิชาฝึกฝน อีกทั้งขอบเขตของการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่ากับการกลายร่างเป็นเซียนนั้น แตกต่างกันไม่มากนัก สามารถเทียบเคียงกับสูตรถ้ำที่แท้ได้พอดิบพอดี
“ได้ยินว่าทั้งหมดมีหกเล่ม แต่นำสามเล่มนี้เอามาใช้โฆษณา”
เห็นเยี่ยเทียนลุกลี้ลุกลนอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนก็ยิ้มกล่าวว่า “ต้นทางของพวกมันฉันเองก็ไปสืบมาแล้ว เป็นสมบัติสืบทอดกันมาของลูกหลานตระกูลชาวอังกฤษ ดูเหมือนจะชื่อ…ชื่อสเตนสักอย่าง เขาเป็นนักโบราณคดีน่ะ!”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนสนใจของประเภทนี้ ถังเหวินหย่วนจึงส่งคนไปสืบหาโดยเฉพาะ แต่ว่าเขาอายุมากแล้ว ความทรงจำไม่ค่อยดีนัก ครุ่นคิดอยู่นานก็คิดชื่อของคนนั้นไม่ออก
“ชาวอังกฤษ นักโบราณคดีหรือครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เผยรอยยิ้มเย็น “ผมรู้แล้ว ชาวอังกฤษคนนั้นที่คุณบอก ชื่อว่าสเตนสินะครับ เป็นนักโบราณคดีกะผีน่ะสิ คนนั้นน่ะมันโจรชัดๆ!”
“ใช่แล้ว คือสเตนนั่นแหละ” ถังเหวินหย่วนพยักหน้า แล้วถามด้วยความสงสัย “ทำไมเขาถึงเป็นโจรล่ะ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่ตอบกลับ “คุณรู้ไหมครับว่าตำรานี่เป็นของที่ไหน?”
“ไม่รู้หรอก ของประจำชาติเราที่หลุดรอดออกไปกว่าร้อยปีมีน้อยที่ไหนกัน?”
ถังเหวินหย่วนไม่คล้อยตามกับคำพูดของเยี่ยเทียนสักเท่าไหร่ เพราะทุกปีมีสมบัติทางวัฒนธรรมจำนวนมากถูกลักลอบนำมายังฮ่องกง ว่ากันตามความจริง เครื่องสำริดเหล่านั้นที่เขาสะสม ส่วนใหญ่ก็ซื้อมาจากช่องทางผิดกฎหมายทั้งนั้น
“เฮ้อ ถ้าหากผมทายไม่ผิดล่ะก็ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” เล่มนี้ คงจะหลุดรอดมาจากตุนหวง นายสเตนคนนี้ เป็นคนแรกที่ขโมยสมบัติโบราณจากถ้ำพระสูตรที่ตุนหวงครับ!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ จวบจนปัจจุบัน พุทธและเต๋าทั้งสองศาสนาล้วนตกต่ำ จริงอยู่ว่าเป็นไปด้วยปัจจัยมากมาย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสูญหายของตำราก็เป็นการมุ่งทำลายครั้งยิ่งใหญ่ต่อสองศาสนานี้
เรื่องที่วัตถุโบราณในตุนหวงถูกปล้นชิง ทำให้คนในสองศาสนานี้เจ็บปวดใจที่สุด หลังจากหลี่ซั่นหยวนได้ยินเรื่องราวนี้ในยุคปี 20 ก็เคยเร่งรุดไปยังตุนหวง แต่ส่วนใหญ่ตำราที่นั่นกลับสูญหายไปแล้ว ทำให้นักพรตเต๋าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
แต่สเตนผู้นี้ ใช้เพียงเงินก้อนสี่ก้อน ลักลอบเอาม้วนตำรายี่สิบสี่ฉบับและพระสูตรอีกห้าเล่มไปกับภาพวาดผ้าไหมและงานฝีมือเย็บปัก จากมือของนักพรตหวังผู้ดูแลถ้ำพระสูตรที่ตุนหวงในนามของนักโบราณคดี
ปี 1914 ขณะที่สเตนมาประเทศจีนเป็นครั้งที่สามเพื่อทำการ “สืบเสาะ” ทางโบราณคดี ก็ได้มายังตุนหวงอีกครั้ง และรับตำราชุดใหญ่ไปอีกห้าเล่มจากนักพรตหวัง
แม้ว่าในอดีตเอกสารส่วนใหญ่จะถูกคณะสำรวจพอล คณะสำรวจโอทานิและรัฐบาลปักกิ่งขนย้ายไป แต่สิ่งที่สเตนได้รับจากการมาเยือนครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นของที่นักพรตหวังแอบนำขนย้ายออกมาซุกซ่อนยังที่ปลอดภัยก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ สเตนจึงกลายเป็นคนที่ได้เอกสารในถ้ำพระสูตรไปมากมายที่สุด
ดังนั้นพอเยี่ยเทียนได้ยินชื่อของสเตนสองคำนี้ จึงรู้ความเป็นมาของ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” เล่มนี้ในทันที
ถึงแม้คัมภีร์ที่อยู่ภายในถ้ำพระสูตรตุนหวง ส่วนใหญ่เป็นตำราศาสนาพุทธ แต่ก็มีคัมภีร์ศาสนาเต๋าด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์สุยและถัง ซึ่งเป็นช่วงที่ตุนหวงรุ่งเรืองที่สุด ขอเป็นเพียงพระสูตรที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ ก็จะไม่ถูกเผาทำลายจากไฟสงคราม
แม้ว่าเอกสารที่สเตนช่วงชิงไปจากประเทศจีนส่วนใหญ่ล้วนถูกเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ใหญ่ในอังกฤษในปัจจุบัน แต่ตำราที่เขาได้รับไปมีมากเหลือเกิน คิดว่าหลังจากลูกหลานของเขาเห็นว่าศิลปวัตถุของจีนกลายเป็นที่นิยมแล้ว จึงได้ยกให้บริษัทประมูลซอธบี้นำไปประมูลขาย
“เยี่ยเทียน เธอวางใจได้ ตำราหกเล่มนี้ฉันจะช่วยประมูลมาให้เธอเอง!” เห็นว่าเยี่ยเทียนให้ความสำคัญขนาดนี้ ถังเหวินหย่วนก็ยกมือตบหน้าอก
“งานประมูลมีพรุ่งนี้ใช่ไหมครับ? เหล่าถัง คุณมีบัตรเชิญอยู่ในมือหรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนเลื่อนสายตาออกมาจากรูปภาพแล้ว มองยังถังเหวินหย่วน กล่าวว่า “ พรุ่งนี้ผมอยากจะเข้าร่วมงานประมูลนี้ เหล่าถัง ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจคุณนะ แต่ของเหล่านี้ จะไปตกในมือคนอื่นไม่ได้!”
ไม่ต้องพูดถึงว่า “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” อาจจะมีเคล็ดวิชาที่เยี่ยเทียนต้องการหรือเปล่า แต่เพื่อสนองเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ ย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกมันหลุดรอดออกไปนอกประเทศได้อีก
อีกทั้งช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนเจ็บป่วยนอนซมมาตลอด รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว หลังจากวันนี้ได้ลุกขึ้นเดินเหินได้แล้วสภาพร่างกายดีขึ้นมาก จึงอยากจะออกไปกินลมชมวิวสักหน่อย
……………………………………………