ภาษิตว่า นามของคนเปรียบดั่งเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงของเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมาคมหงเหมินนั้น มาจากการที่เขาผ่านการห้ำหั่นเสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมาเฟียอิตาลีหรือกลุ่มอาชญากรรมที่เม็กซิโก เมื่อได้ยินชื่อของไอ้เสือเหลยแล้ว ก็จะต้องอกสั่นขวัญแขวนไปกันหมด
ดังนั้นเมื่อเสียงของเหลยเจิ้นเยวี่ยดังขึ้นมา ในที่ประชุมที่ตอนแรกกำลังเอะอะอึกทึกอยู่นั้นก็เงียบกริบไร้เสียงนกกาไปทันที ทุกคนต่างมองไปยังชายชราผู้เคยสร้างผลงานอันเกรียงไกรไว้แก่สมาคมหงเหมินท่านนี้ด้วยสายตาสับสน
หลี่ซงชิวซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นก็หรี่ตามองอยู่เช่นกัน
ในอดีตหลี่ซงชิวและบิดาของตู้เฟยรวมถึงเหลยเจิ้นเยวี่ยเคยสาบานเป็นพี่น้องกัน โดยมีบิดาของตู้เฟยเป็นพี่คนโต หลี่ซงชิวเป็นพี่คนรอง และเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นน้องเล็กสุด
เขารู้ว่า สหายเก่าแก่ของเขาคนนี้มีนิสัยหุนหันพลันแล่น เมื่ออายุมากขึ้นนิสัยนี้นอกจากจะไม่ได้ทุเลาลงแล้ว กลับยังเป็นหนักกว่าเดิมอีก วันนี้ถ้าจัดการพลาดไปแม้แต่จุดเดียวละก็ อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นมาก็ได้
เมื่อเห็นเจ้าตำหนักคุ้มกฎที่ตามมาอยู่ข้างหลังเหลยเจิ้นเยวี่ย หลี่ซงชิวก็เอ่ยถามว่า “น้องสาม รู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือ?”
“ฉันรู้แล้วละพี่รอง!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเดินไปอยู่ข้างๆ หลี่ซงชิว แล้วก้มตัวลงพูดว่า “พี่รอง พี่ร่างกายไม่แข็งแรง ทำไมยังต้องมาคอยจัดการเรื่องอะไรเยอะแยะแบบนี้อีกล่ะ? ปล่อยให้พวกคนรุ่นหลังมันยุ่งวุ่นวายกันเองก็ได้นี่นา!”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาฟังคำพูดของเหลยเจิ้นเยวี่ย ก็คงจะนึกว่าเขากำลังกล่าวเสียดสีอยู่ ว่าตัวเองก็แก่ใกล้จะถูกฝังเต็มทีแล้ว ยังจะไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านอีก แต่หลี่ซงชิวรู้ว่า น้องสามพูดเช่นนี้เพราะห่วงใยเขาจริงๆ
“ฉันไม่จัดการ แล้วใครจะมาจัดการล่ะ?”
หลี่ซงชิวถอนหายใจ เขานึกถึงสมัยที่พวกเขาสามพี่น้องร่วมฟันฝ่าไปทั่วหล้า พี่ใหญ่มีปัญญามากด้วยกลยุทธ์ เขาเป็นคนกลางคอยสนับสนุน ส่วนเหลยเจิ้นเยวี่ยก็มักจะเป็นแนวหน้ากล้าตาย
สมัยนั้นพวกเขาสามคนน่าเกรงขามถึงเพียงไหน? แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันนี้ เขากลับได้แต่นั่งต่อสู้กับความตายอยู่บนเก้าอี้เข็น ส่วนน้องสามก็ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ หลังก็เริ่มดูโค้งงอแล้ว
“น้องสาม ฉันรู้ว่าแกเป็นคนเที่ยงตรง”
แม้แต่หลี่ซงชิวเอง เวลาจะพูดกับเหลยเจิ้นเยวี่ยก็ต้องระวังการใช้คำของตัวเองเหมือนกัน หลังจากเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เรื่องของตระกูลซ่งก็ไม่ใช่ความคิดของแก ผิดไปแล้วก็คือผิดไปแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ท่านเยี่ยเข้าร่วมสมาคมหงเหมินแล้ว พี่น้องคนกันเองยังพอจะเจรจากันได้อยู่ เรื่องนี้ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะ!”
เกี่ยวกับความแค้นระหว่างตระกูลเหลยและตระกูลซ่งในช่วงหลังๆ มานี้ หลี่ซงชิวรู้กระจ่างแจ้งดี เรื่องนี้ตระกูลเหลยเป็นฝ่ายทำไม่ถูกจริงๆ เรื่องวางอุบายหมายยึดครองทรัพย์สินของผู้อื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง นี่ยังถึงขนาดคิดจะกักบริเวณอีกฝ่ายไว้ด้วย แบบนี้ถือว่าผิดทำนองคลองธรรมไปแล้ว
ถ้าเยี่ยเทียนยืนกรานจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป ต่อให้เหลยเจิ้นเยวี่ยมีรากฐานในสมาคมหงเหมินลึกแค่ไหน ก็คงมีคนลุกขึ้นมาช่วยพูดให้เขาอยู่ไม่กี่คนหรอก
ที่หลี่ซงชิวพูดแบบนี้ ก็เพราะอยากให้เยี่ยเทียนละเว้นตระกูลเหลยไปสักครั้ง อย่างน้อยก็ไม่ต้องสืบสาวเอาความเหลยเจิ้นเยวี่ยต่อไป
“ท่านเยี่ย? ฮึ ศักดิ์ใหญ่เชียวนะ”
หลังจากฟังหลี่ซงชิวพูด เหลยเจิ้นเยวี่ยก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ยายหนูหลันเวลาเจอฉันก็ยังต้องเรียกลุงเลย ไม่ทราบว่าแกมีคุณสมบัติพอจะให้เรียกว่าท่านไหมเนี่ย?”
ที่จริงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ไม่ได้รู้เรื่องที่เหลยหู่คิดจะกักบริเวณซ่งเวยหลันเลย
ในความคิดของเขา ซ่งเวยหลันเป็นฝ่ายไม่ไว้หน้าเขาก่อน แม้ว่าวิธีการของเขาจะไม่ถูกต้องเท่าไรนัก แต่ก็มีสาเหตุอยู่ ดังนั้นเมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน จึงวางท่าว่าตนเป็นผู้ใหญ่อาวุโสกว่า
“คุณหญิงซ่งเวยหลันไม่มีลุงที่ชอบกินบนเรือนขี้บนหลังคาแบบนี้หรอก ผมไร้ความสามารถ ยังได้เป็นสมาชิกรุ่นใหญ่ของสมาคมหงเหมิน แต่ไม่ทราบว่าท่านจุดธูปในสมาคมมากี่ดอกล่ะ?”
เมื่อเห็นเหลยเจิ้นเยวี่ยวางท่าถือตัวว่าตนอายุมากกว่า เยี่ยเทียนก็ยิ้มหยัน สิ่งที่พูดออกมานั้นแทงใจดำของเหลยเจิ้นเยวี่ยพอดี ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด
“โอหัง!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยปกติก็นิสัยมุทะลุอยู่แล้ว เมื่อถูกเยี่ยเทียนเยาะเย้ยถากถางเช่นนี้ เลือดลมทั่วร่างก็พลุ่งพล่านขึ้นสู่ศีรษะทันที ใบหน้าพองแดงก่ำ เส้นผมหนวดเคราลุกชี้ชัน อย่างกับท้าวจตุโลกบาลก็ไม่ปาน
เหลยเจิ้นเยวี่ยเคยผ่านการสู้รบนองเลือดมาก่อน เมื่อเกิดโทสะขึ้นมา อากาศที่อยู่รอบกายเขาก็ราวกับจะแข็งตัวไปหมด จิตสังหารอันราวกับจะจับต้องได้พุ่งโถมไปที่เยี่ยเทียนเป็นระลอกๆ
เยี่ยเทียนยืนอยู่ที่เดิม ชุดคลุมยาวบนร่างดูเหมือนถูกสายลมพัดโชย แขนเสื้อและชายเสื้อพัดพลิ้วไปข้างหลัง คนที่ยืนอยู่ด้านข้างและด้านหลังของเยี่ยเทียนต่างก็ขยับถอยห่างไปโดยไม่รู้ตัว
“ตาแก่คนนี้นี่มีจิตสังหารรุนแรงจริงๆ ถึงกับสำเร็จมรรคโดยการฆ่าคนมาเลยรึเนี่ย?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจิตสังหารอันรุนแรงของเหลยเจิ้นเยวี่ย เยี่ยเทียนก็ใจหายวาบ เพราะเขาพบว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยที่อยู่ตรงหน้านี้ก้าวไปถึงระดับสูงได้ครึ่งก้าวแล้ว
เมื่อฆ่าคนไปมาก ร่างกายก็จะแปดเปื้อนไปด้วยพลังปราณพิฆาต หากไม่สามารถสลายไปโดยเร็วได้ หลังจากล่วงถึงวัยชราแล้ว ปราณพิฆาตนี้ก็จะปะทุออกมา ส่งผลให้มีโรคภัยรุมเร้า และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาวยุทธจำนวนมากไม่ได้มีบั้นปลายชีวิตที่ดี
แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยกลับนำปราณพิฆาตที่สะสมอยู่ในร่างกายนี้ไปใช้ในการฝ่าด่านเลื่อนขั้นพลังฝีมือ และยังประสบความสำเร็จอีกด้วย จิตสังหารเหล่านี้นอกจากจะไม่มีผลกระทบต่อเขาแล้ว ยังกลายเป็นเครืองมือในการต่อสู้ของเขาอีกด้วย
ตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าสู่วงการเป็นต้นมา ก็ถือว่าเคยพบเห็นผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมดามาไม่น้อย อย่างเช่นศิษย์พี่ใหญ่ จั่วเจียจวิ้น หนานไหวจิ่นหรือแม้แต่หูหงเต๋อ แต่ละคนต่างก็มีพรสวรรค์ไม่เลวเลย พลังฝีมือก็ยังสูงกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยที่อยู่ตรงหน้านี้เสียอีก
แต่คนที่ฝึกวิชายุทธสายนอกอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ย ที่สามารถทลายโซ่ตรวน จนเกือบจะฝึกไปถึงขั้นสุดยอดของร่างกายมนุษย์ได้นั้น เยี่ยเทียนเพิ่งจะเคยพบเป็นครั้งแรก
แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะยังไม่ได้เข้าสู่ระดับสูงอย่างสมบูรณ์ แต่จิตสังหารของเขากลับยังสูงกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก คู่ต่อสู้แบบนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนเองก็ไม่กล้าประมาท ยามนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ เตรียมจะแผ่พลังลมปราณของตัวเองออกไป
“น้องสาม ห้ามเสียมารยาทกับท่านเยี่ยนะ ไม่รู้กฎในสมาคมแล้วรึไง?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะส่งพลังลมปราณไปต้านทานฝ่ายตรงข้าม หลี่ซงชิวก็พลันใช้มือเคลื่อนเก้าอี้เข็นเข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย
“พี่รอง มันเป็นฝ่ายไม่เคารพผู้ใหญ่ก่อนนะ!” เมื่อเห็นหลี่ซงชิวเข้ามาขวาง เหลยเจิ้นเยวี่ยก็รีบสลายจิตสังหารนั้นไป
หลี่ซงชิวทำหน้าขรึม แล้วดุว่า “เหลวไหล สถานะของท่านเยี่ยได้รับการยืนยันในพิธีแล้ว แกอย่าเอาความสัมพันธ์ทางโลกพวกนั้นมาพูดเลย ในสมาคมหงเหมินนี้ยอมรับแต่ศักดิ์อาวุโส ไม่สนใจความสนิทสนมส่วนตัว แค่ก…แค่กๆ…”
การเปิดพิธีครั้งใหญ่ในวันนี้เกิดเรื่องหักมุมขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลังกายและพลังจิตของหลี่ซงชิวต่างก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว คราวนี้เขารีบร้อนพูดจาเกินไปหน่อย ก็เลยไออย่างหนักขึ้นมาอีก
“ก็ได้ พี่รอง พี่ใจเย็นๆ ก่อนนะ ฉันเชื่อที่พี่บอกก็ได้” เมื่อเห็นหลี่ซงชิวไอติดๆ กัน เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ร้อนรนขึ้นมาทันที
ชีวิตนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยมีคนที่เขาเชื่อฟังที่สุดอยู่สองคน นอกจากพี่ใหญ่ที่ตายไปแล้ว ก็มีแต่หลี่ซงชิวที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง ไม่เช่นนั้นด้วยศักดิ์และตำแหน่งของเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมาคมหงเหมินแล้ว ตอนนั้นผู้ที่ได้นั่งตำแหน่งประธานใหญ่อาจจะไม่ใช่หลี่ซงชิวก็เป็นได้
ผ่านไปเนิ่นนาน หลี่ซงชิวถึงจะหยุดไอ จับมือขวาของเหลยเจิ้นเยวี่ยไว้แล้วพูดว่า “น้องสาม ฉันรู้ว่าแกอยากให้หูจื่อขึ้นตำแหน่ง แต่จิตใจเขาไม่ซื่อตรง ไม่ใช่บุคคลที่เหมาะสมจะมาเป็นประธานใหญ่เลย เรื่องนี้น่ะ แกเชื่อพี่รองดีกว่านะ!”
“ครับพี่รอง ฉันเข้าใจหมดแล้ว มันน่ะไม่เหมาะจริงๆ นั่นแหละ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฝืนยิ้มพลางพยักหน้า เดิมทีในใจเขายังยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่หลังจากถูกตู้เฟยยั่วโทสะ พลังลมปราณภายในกายหลุดออกจากวิถีเดิม ทำให้เขาจำเป็นต้องเก็บตัวเพื่อพักฟื้น
แต่การเก็บตัวครั้งนี้ กลับทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคได้ ความชิงชังนั้นเมื่อรวมกับจิตสังหารของเขาที่สะสมมาหกสิบเจ็ดสิบปี ถึงขั้นสามารถฝ่าด่านหลอมปราณสู่จิตได้ และก้าวไปถึงระดับใหม่ได้สำเร็จ
เมื่อพลังฝีมือพัฒนาขึ้น จิตใจของคนก็พลอยพัฒนาขึ้นตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว หลังจากพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ถึงขนาดเห็นสรรพสิ่งเป็นสุญญตา แต่ความยึดมั่นถือมั่นเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้เบาบางลงไปแล้ว
หลี่ซงชิวหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า โบกมือกล่าวว่า “พอแล้วละ แกพาหูจื่อกลับไปเถอะ โทษสามมีดหกรูนั่นก็เว้นไปก็แล้วกัน!”
“ไม่ได้นะพี่รอง ฉันเหลยเจิ้นเยวี่ยเข้าสมาคมหงเหมินมาเจ็ดสิบปี ยังไม่เคยทำเรื่องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเลยสักครั้ง เหลยหู่ทำความผิดก็ต้องรับการลงโทษสิ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยส่ายหน้า แล้วหันหน้าไปมองตู้เฟย “พ่อหนุ่มตู้ เรื่องทำร้ายผู้ร่วมสมาคมนี่น่ะ มีบทลงโทษอะไรบ้าง?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยแม้จะหยาบกระด้าง แต่ก็เป็นคนเที่ยงตรงอย่างที่สุด นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขามีเกียรติภูมิสูงอย่างยิ่งในสมาคม แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังแอบพยักหน้า เริ่มชอบตาแก่คนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“ลุงเหลยครับ ท่านประธานใหญ่ก็ได้กล่าวไปหมดแล้ว ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะครับ!” อายุก็หกสิบกว่าแล้ว ยังถูกเหลยเจิ้นเยวี่ยเรียกเป็นพ่อหนุ่มอีก ตู้เฟยจึงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ไร้สาระ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน น้องชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บไปโดยไร้สาเหตุใช่รึเปล่า?”
ผู้ที่นอนอยู่บนแคร่หามอยู่ไม่ห่างจากเหลยหู่นัก ก็คือสมาชิกสมาคมหงเหมินที่ถูกยิงไปสองนัดนั่นเอง ยังดีที่ปืนสองนัดนี้ไม่ได้ยิงถูกจุดสำคัญ หลังจากผ่านการกู้ชีพ ลูกกระสุนก็ถูกนำออกมาจนหมดแล้ว
“ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม ต้องรับโทษสามมีดหกรู!” ตู้เฟยถูกบีบคั้น จึงพูดออกมาเบาๆ
“ได้ เอาตามนี้แหละ!” เหลยเจิ้นเยวี่ยพยักหน้า ยื่นมือไปที่บั้นเอว แล้วมีดเงินยาวครึ่งเชียะเศษเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ
“หูจื่อ ทำความผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ อย่าโทษพ่อเลยนะ!”
มือซ้ายของเหลยเจิ้นเยวี่ยยกลูกชายขึ้นมาจากพื้นราวกับหิ้วคอไก่ แล้วกัดฟันแน่น มือขวาแทงไปที่หัวไหล่ของเหลยหู่ปานสายฟ้าแลบ เสียงกรีดร้องดังขึ้น มีดเงินเล่มนั้นเสียบลงไปบนไหล่ของลูกชายแล้ว
“เหล่าเหลย นี่…ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยเล่า!”
ความดุดันของเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วต่างก็ยอมรับนับถือ แต่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้เช่นกัน บิดาเป็นวีรบุรุษ บุตรชายกลับขลาดเขลา คาดว่ายามนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยเองก็คงรู้สึกทุกข์ใจอย่างสุดจะทนทานอยู่เหมือนกัน
“ยังเหลืออีกสองมีด!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยยื่นมือชักมีดเงินออกมา ไม่รอให้ลูกชายทันได้ร้องออกมา ก็เสียบมีดลงไปบนต้นขาของเขาติดๆ กันสองมีด แต่ละมีดแทงทะลุไปถึงอีกด้าน เป็นการลงโทษแบบสามมีดหกรูอย่างแท้จริง
“หามมันขึ้นมา!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยมีลูกสาวสองคน แต่ลูกชายกลับมีเหลยหู่คนเดียว และยังได้ลูกชายมาเมื่อวัยกลางคนแล้ว เขาจึงเอ็นดูลูกชายมากเป็นธรรมดา ทำให้เหลยหู่ค่อยๆ เกิดนิสัยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาแบบนี้ขึ้นมา
แต่ไม่ว่าลูกชายจะทำตัวไม่ดีแค่ไหน ก็ยังเป็นลูกชายของตัวเอง เมื่อครู่นี้เหลยเจิ้นเยวี่ยลงมือโดยกะตำแหน่งไว้ดีแล้ว แม้จะดูเหมือนเหลยหู่เสียเลือดไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บถึงเส้นลมปราณหรือกระดูกเลย เพียงพักฟื้นสักระยะหนึ่งก็คงจะหายดีแล้ว
“เหลยหู่ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม โทษสามมีดหกรูก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านไหนยังมีคำพูดจะกล่าวอีกไหม?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฉีกผ้าจากชายเสื้อมาชิ้นหนึ่ง เช็ดคราบโลหิตบนมีดเงินจนเกลี้ยง แล้วหันหน้าไปมองเยี่ยเทียน “ท่านเยี่ย ได้ยินว่าในอดีตท่านนักพรตหลี่ซั่นหยวนมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ คาดว่าท่านเยี่ยก็คงมีฝีมือไม่ธรรมดาแน่ ผู้แซ่เหลยจึงอยากจะขอคำชี้แนะดูสักครั้ง!”
…………………………………………………………