ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน มีวีรบุรุษมากมาย สุดท้ายแล้วก็ต้องถึงวันที่เป็นหนึ่งเดียวกับดิน เยี่ยเทียนรู้สึกถึงความ
ตายจากชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว น่าจะมีชีวิตเหลืออยู่อีกไม่มาก
“ท่านประธาน สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำไมถึงเดินทางมาด้วยตัวเองล่ะ?”
เมื่อมองเห็นคนแก่นั่งรถเข็นเข้ามาในงาน ถังเหวินหย่วนกับตู้เฟยที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดยังต้องเดินมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ตู้เฟยยิ่งกว่า เขาผลักคนที่ช่วยเข็นรถเข็นออกไป และเข้าไปเข็นอาวุโสท่านนี้จนถึงเก้าอี้ตัวแรกด้วยตัวเอง
ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือประธานใหญ่ของสมาคมหงเหมินคนปัจจุบันมีนามว่า หลี่ซงชิว เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่มีอายุมากแล้วที่ยังเหลืออยู่ ตอนนั้นหลี่ซงชิวกับพ่อของตู้เฟยเคยติดตามตู้เยวี่ยเซิงแห่งสำนักต้าเหิงในเซี่ยงไฮ้ ชื่อเสียงและลำดับศักดิ์จึงสูงกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ย
ส่วนหลี่ซงชิวก็เป็นเสาหลักในสมาคมหงเหมินที่ใหญ่ที่สุดของตู้เฟย ครั้งนี้ตู้เฟยกลับมานั่งตำแหน่งเจ้าตำหนักธงแดงได้ก็เพราะการช่วยเหลือของหลี่ซงชิว ที่เดิมทีเหลยเจิ้นเยวี่ยตั้งใจอยากจะให้เหลยหู่เป็นคนได้นั่งในตำแหน่งนี้
“หงเหมินกับชิงปังเป็นสมาคมเดียวกันอยู่แล้ว ได้บันทึกเข้ากฏของสมาคมตั้งแต่งานที่จัดขึ้นในปี 92 ครั้งนั้น วันนี้มีลำดับรุ่น“ต้า”เข้าสมาคม คนเฒ่าคนแก่อย่างฉันต้องมาอยู่แล้วสิ…… ”
พูดเยอะมากในอึดใจเดียว หลี่ซงชิวถึงกับมีอาการหอบบ้างเล็กน้อย ตู้เฟยจึงต้องรีบตบที่หลังเบา ๆ และพูดว่า “ท่านประธาน มีนายท่านถังช่วยดูแลอยู่แล้ว ท่านจะกังวลอะไรอีก?”
“เสี่ยวเฟย มันเป็นเรื่องน่ายินดีของหงเหมิน คนแก่อย่างฉันใกล้เข้าโลงแล้วแต่ยังมีโอกาศได้เห็น แล้วจะไม่ให้มาได้ยังไง?”
หลี่ซงชิวสะบัดมือ ดวงตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยคู่นั้นมองไปที่ทุกคนในงาน รอยยิ้มเผยอยู่บนใบหน้า “หงเหมินผ่านอะไรมาเป็นร้อยปีและไม่เคยตกต่ำ ล้วนเป็นเพราะการปกปักคุ้มครองจากบรรพบุรุษทุกท่าน แค่ก…..แค่ก ๆ !”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค หลี่ซงชิวก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง ตู้เฟยถึงกับรีบหันไปเรียกหมอประจำตัวที่เดินตามเข้ามาด้วย และใส่หน้ากากออกซิเจนให้
“บัดซบเอ๊บ ไอ้แก่ตายยาก ทำไมยังมีชีวิตอยู่อีก?”
เหลยหู่ที่นั่งอยู่แถวที่แปด มองดูหลี่ซงชิวด้วยสีหน้าซึ่งมองในแง่ร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะคน ๆ นี้ เขาคงได้ขึ้นไปนั่งตำแหน่งประธานใหญ่อย่างราบรื่นแล้ว เวลาจะทำอะไรก็ไม่ต้องโดนมัดมือมัดเท้าแบบนี้หรอก
หลังจากที่ชลมุนกันไปสักพัก ในที่สุดการหายใจของหลี่ซงชิวก็กลับมาเป็นปกติ หลี่ซงชิวดึงหน้ากากออกซิเจนออกยื่นมือออกไป เพื่อให้ตู้เฟยยื่นไมค์ให้กับเขา
“แค่ก ๆ ……”
เสียงไอเบา ๆ นี้ทำให้ภายในงานที่กำลังวุ่นวายนิ่งสงบลง สายตาทุกคู่จ้องไปที่อาวุโสท่านนั้น
“ดอกบัวไม่เคยห่างใบบัว สามลัทธิเดิมเป็นครอบครัวเดียวกัน วันนี้ลูกศิษย์บรรพจารย์ชิงปังหลี่ซั่นหยวนเข้าสำนัก ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีของหงเหมินยิ่งนัก ฉันหลี่ซงชิว ขอเชิญสภารับรองพันธมิตรถังเหวินหย่วนเป็นตัวแทนเปิดพิธีรับศิษย์!”
เสียงทุ้มต่ำของหลี่ซงชิว ดังเข้าไปในไมค์และถูกส่งออกมาผ่านลำโพงสู่ผู้คนภายในงาน ทันใดนั้นบรรยากาศภายในงานก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาและทุกคนก็ลุกขึ้น
“สภารับรองพันธมิตรถังเหวินหย่วน ได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบพิธีหลักหลี่ซงชิว เพื่อประกอบพิธีรับศิษย์แห่งหงเหมิน ขอเชิญทุกท่านนมัสการบรรพบุรุษพร้อมกับผม!”
ถังเหวินหย่วนที่อายุน้อยกว่าหลี่ซงชิวไม่กี่ปี ในเวลานี้เขาวางไม้เท้าลง และยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะบูชาที่จัดเตรียมไว้แล้ว ผู้อาวุโสกับลูกศิษย์ซึ่งรวมจำนวนแล้วร้อยกว่าคนก็ลุกขึ้นทั้งหมด
“ธูปดอกที่หนึ่ง ไหว้ฟ้าดิน น้ำท่าบริบูรณ์ ปลอดภัยเป็นสุข!”
ถังเหวินหย่วนกำลังถือธูปที่มีขนาดเท่าแขน และปักลงกระถางทองสำริดที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะบูชา จากนั้นถอยหลังสามก้าวคุกเข่าและกราบไหว้
เสียงกระทบดังขึ้น คนนับร้อยที่อยู่ด้านหลังถังเหวินหย่วนกราบไหว้ตาม แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีคนทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ว่าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกทำอะไรติดชายขอบของกฎหมาย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกลัวฟ้าดินอยู่บ้าง
“ธูปดอกที่สอง ไหว้บรรพบุรุษ……”
หลังจากรอทุกคนลุกขึ้นแล้ว ถังเหวินหย่วนรับธูปที่คนจัดเตรียมไว้ เริ่มกล่าวแบบเดิมและคุกเข่ากราบไหว้อีกครั้ง
หงเหมินกับพรรคชิงปังเหมือนกัน การเข้ามาเป็นสมาชิกในพรรคจะมีการแบ่งพิธีรับศิษย์แบบใหญ่กับแบบเล็ก และพิธีรับศิษย์แบบใหญ่ครั้งนี้จะมีพิธีกรรมที่ละเอียดซับซ้อนกว่า นอกจากผู้อาวุโสอย่างถังเหวินหย่วนแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น น่าจะไม่มีใครจำขั้นตอนได้แน่นอน
เวลากว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากผ่านการคำนับสามครั้งกราบไหว้หกครั้งแล้ว ถังเหวินหย่วนที่คุกเข่าอยู่ ตะโกนว่า “สองเข่าคุกเข่า จุดธูปทิศอู่ไถ ลูกศิษย์ขอเชิญบรรพบุรุษ แท่นบูชาจงเปิดทาง!”
ถังเหวินหย่วนลุกขึ้น เวลานี้ ถือว่าห้องพิธีได้ถูกเปิดออกแล้ว
ถังเหวินหย่วนเหนื่อยจนหอบ เขายิ้มอย่างสุดฝืนและส่ายหัว “ตู้เฟย พิธีหลังจากนี้เธอมาประกอบพิธีก็แล้วกัน ฉันไม่ไหวแล้วล่ะ”
ถังเหวินหย่วนไม่ใช่คนที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน เขาสามารถเปิดพิธีรับศิษย์จนเสร็จสิ้นด้วยอายุ 80 กว่าปี ถือว่าเก่ง แต่พลังที่ใช้ไปถือว่าถึงจุดสูงสุดของเขาแล้ว และเขาเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงดำเนินพิธีต่อ
“ให้ผมดำเนินพิธี?” ตู้เฟยอึ้งกับคำพูดและตอบว่า “ไม่…..ไม่ค่อยเหมาะสมมั้งครับ?”
ต้องเข้าใจว่า ในหงเหมิน ผู้ประกอบพิธีจะต้องมีตำแหน่งประธานใหญ่ควบคู่กันไป ซึ่งถือว่าเป็นการให้ความสำคัญกับพิธีรับศิษย์ด้วย ส่วนสภารับรองพันธมิตร ล้วนเป็นผู้อาวุโสภายในสำนักดำรงตำแหน่ง ทั้งสองตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก
แม้ตู้เฟยจะดำรงตำแหน่งที่สามในหงเหมิน แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานะหรือลำดับศักดิ์ คนที่มีสถานะหรือลำดับศักดิ์สูงกว่าเขา ถือว่ามีอยู่ไม่น้อย ถ้าเขาออกมาประกอบพิธีจริง ๆ คนแรกที่จะไม่พอใจก็คือเหลยหู่
“ไม่เหมาะสมตรงไหน?”
ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย หลี่ซงชิวที่นั่งพักบนรถเข็นยื่นมือไปหยิบไมค์และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าตำหนักธงแดง ตู้เฟยจะประกอบพิธีแทนฉันชั่วคราว ใครมีความเห็นอะไรมั้ย?”
แม้ผมจะขาวหงอก หลังจะค่อม แต่พลังของเสือแก่ไม่เคยคลาย คำถามของหลี่ซงชิวดังก้องไปทั้งงาน เสียงไอก็ยังไม่มี
แม้แต่คนที่หัวแข็งดื้อรั้นอย่างเหลยหู่ หลังจากโดนสายตาของหลี่ซงชิวจ้องหนึ่งที ก็ยังต้องหลบ
เหลยหู่เริ่มกล่าวโทษพ่อของตนเองที่ป่วยไม่เป็นเวลาอยู่ภายในใจ ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ ตาแก่หลี่ซงชิวจะกล้าเหิมเกริมอยู่แบบนี้หรือ?
“ตกลง ตู้เฟย ขึ้นไปประกอบพิธีเลย อย่าทำให้หงเหมินดูเหมือนอ่อนแอล่ะ อย่าละเลยรุ่นพี่ที่เข้าหงเหมินด้วย! ” หลี่ซงชิวไอเบา ๆ และส่งมอบไมค์ให้กับตู้เฟย
“ครับ ท่านประธานใหญ่!”
หลังจากรับไมค์มาแล้ว ใบหน้าของตู้เฟยมีความตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าหงเหมินมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
ไม่ใช่แค่ตู้เฟยคนเดียว แม้แต่เหล่าอาวุโสที่อยู่ในงานก็รู้สึกเหมือนกัน เพราะว่าผู้สมัครผู้ประกอบพิธีหลักหรือผู้ประกอบพิธีชั่วคราว ล้วนมีสิทธิดำรงตำแหน่งประธานใหญ่คนต่อไป
พรรคต่าง ๆ ในยุทธจักรก็คล้ายกับราชสำนักในสมัยก่อน ที่ให้ความสำคัญเรื่องถูกหลักทำนองคลองธรรม ชอบด้วยเหตุผลมาก สมัยก่อนผู้อาวุโสหงเหมินจะดำรงตำแหน่งได้ก็ต่อเมื่อผู้อาวุโสคนก่อนหน้าเป็นผู้เลือก
แม้ในปัจจุบัน ประธานใหญ่จะไม่มีอำนาจในการเลือกคนต่อไปแล้ว แต่สิทธิการแนะนำยังคงมีอยู่
หลังจากตู้เฟยรับหน้าที่เป็นผู้ประกอบพิธีชั่วคราวแล้ว ทุกคนในงานเพิ่งจะพบว่า ตู้เฟยเป็นหนึ่งในคนที่มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งประธานใหญ่เหมือนกัน และการสนับสนุนจากหลี่ซงชิวจะทำให้เขามีโอกาสได้รับตำแหน่งมากยิ่งขึ้น
เหลยหู่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ กัดฟันแน่น เส้นเลือดมือข้างขวาปูดขึ้นชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก และเสียดายที่วันนั้นไม่แตกคอกับตู้เฟยไปเลย ไม่เช่นนั้นคงจะแย่งเยี่ยเทียนไปและคงไม่มีพิธีรับศิษย์วันนี้หรอก
แต่ก็สายไปแล้ว เหลยหู่มองไปที่เผิงเหวินกวงที่อยู่ตรงข้ามห่างออกไปสิบกว่าเมตร หลังจากที่เห็นเผิงเหวินกวงพยักหน้าให้ อารมณ์โกรธของเขาก็ลดลง
ส่วนตู้เฟยไม่มีเวลาเดาว่าเหลยหู่คิดอะไรอยู่ หลังจากรับตำแหน่งผู้ประกอบพิธีชั่วคราวแล้ว เขายืนอยู่ด้านหน้าสุด และตะโกนคำว่า “ขอเชิญเยี่ยเทียนเข้าห้องพิธี!”
“ขอเชิญเยี่ยเทียนเข้าห้องพิธี……”
“ขอเชิญเยี่ยเทียนเข้าห้องพิธี……”
ตามกฎระเบียบแล้ว หลังจากกล่าวคำเชิญสามครั้งออกไป เจ้าตำหนักคุ้มกฎจะรอเยี่ยเทียนเคาะประตู ส่วนประตูจะถูกปิดไว้ตั้งแต่ก่อนดำเนินพิธี
“บ้าเอ๊ย ระเบียบเยอะจริง เยอะกว่าตอนที่อาจารย์บอกอีก!”
เยี่ยเทียนยืนรออยู่นอกประตูหนึ่งชั่วโมงกว่า เพิ่งมีคนยื่นน้ำให้เขา “ชำระหน้า” กับ “ชำระปาก”
ชำระหน้าคือใช้น้ำเปล่าล้างหน้า ชำระปากคือการบ้วนปากและดื่มน้ำ น้ำคำแรกใช้บ้วนเท่านั้นห้ามกลืนเข้าไป น้ำคำที่สองจะเป็นน้ำสะอาด ต้องกลืนเข้าไป นี่เป็นกฏระเบียบก่อนเข้าห้องพิธี
หลังจากได้ยินคำว่า “เข้าห้องพิธี” เสร็จ เยี่ยเทียนก้าวไปข้างหน้า และเคาะประตูบานสีแดงแกะสลักรูปมังกร 9 ที
“ผู้ที่อยู่ด้านนอกประตูคือผู้ใด?” ประตูใหญ่ไม่ได้เปิดออก แต่เป็นเสียงจากเจ้าตำหนักคุ้มกฎ
“เข้าไปจุดธูป เข้าไปแก้บน!” เยี่ยเทียนตอบกลับ
“จุดธูปกี่ดอก?” เจ้าตำหนักคุ้มกฎถามต่อ
“จุด 5 ดอก!”
“5 ดอกไหน?”
“ดอกแรกสิ่งศักสิทธิ์ทุกชั้นฟ้าทุกชั้นดิน ดอกสองเรียนรู้ความเมตตากรุณา ยุติธรรม สุภาพ อ่อนโยน สุขุมรอบรู้และจริงใจ ดอกสามธาตุเหล็ก น้ำ ไม้ ไฟ ดิน ดอกสี่สันติสุขทั้งสี่ฤดู……”
คำพูดเหล่านี้ อาจารย์เคยสอนเยี่ยเทียนตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้ว แต่ว่าก่อนการประกอบพิธีรับศิษย์ครั้งนี้ ตู้เฟยสั่งให้คนเขียนและส่งให้เยี่ยเทียนอีกครั้ง เพราะถ้าเยี่ยเทียนตอบไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ประตูใหญ่จะไม่ถูกเปิดออก
การถามตอบแบบนี้มีที่ไปที่มา สืบเนื่องจากสิ่งที่หงเหมินทำอยู่คือการต้านชิงฟื้นหมิง ช่วงที่ก่อตั้งแรก ๆ ต้องโดนราชสำนักตามจับตัวแน่นอน ดังนั้นการสื่อสารภายในของลูกศิษย์จึงเลือกใช้คำลับทั้งหมด และสืบทอดไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นระบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
พิธีการรับศิษย์โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเท่านี้ แต่เพราะลำดับศักดิ์ของเยี่ยเทียนค่อนข้างสูง และทางหงเหมินเกรงว่าถ้าหากประกอบขั้นตอนไม่ครบถ้วนจะถูกเยี่ยเทียนดูถูกเอาได้ ทางหงเหมินจึงต้องเลือกใช้พิธีแบบโบราณสมัยหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน
“เปิดประตู!” หลังจากถามตอบกันเสร็จ ในที่สุดประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออก สายตากว่าร้อยคู่จ้องมองเยี่ยเทียนที่สวมใส่ชุดจีนคลุมยาว(ฉางเผา)
“เยี่ยเทียน เดินไปจุดธูปให้กับบรรพจารย์ ไขว้ดาบใหญ่และหอกยาว! ” เมื่อมองเห็นเยี่ยเทียนปรากฏตัวขึ้นตรงประตู เจ้าตำหนักคุ้มกฎตะโกนเสียงดังออกมา
ชายร่างใหญ่เปลือยท่อนบนหนึ่งร้อยกว่าคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนพร้อมๆ กับเสียงตะโกนของเจ้าตำหนักคุ้มกฎ ในมือของพวกเขาถือดาบใหญ่และหอกยาว ไขว้กันไว้ ตั้งแต่ทางเข้าประตูจนถึงบริเวณโต๊ะบูชา จนกลายเป็นเป็นภูเขาดาบและป่าหอก
“ใครเป็นคนจัดพิธีการส่วนนี้?”
หลังจากเห็นฉากนี้สีหน้าของถังเหวินหย่วนที่ยืนอยู่หน้าห้องไหว้และคนอื่นๆ หม่นหมองไปพร้อมๆ กัน
………………………………………………………….