“ไม่…ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้!”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบตู้เฟยตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบโบกมือปฏิเสธ “คุณชายน้อย ถึงผมอยากจะได้ตำแหน่ง แต่การเข่นฆ่าพี่น้องด้วยกันผมทำไม่ได้!”
ถ้าว่าด้วยเรื่องความรู้สึกส่วนตัวกับความผูกพันนั้นตู้เฟยเอนเอียงไปทางตระกูลซ่งมากกว่า แต่ลุงเหลยเป็นเพื่อนพ่อที่เห็นเขามาตั้งแต่เล็ก วิธีการโหดเหี้ยมสามารถทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำแต่ตู้เฟยไม่มีทางยอมรับได้
อีกอย่างถ้าจู่ๆเหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกเกิดเสียชีวิตลง จะต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในสมาคมหงเหมิน ไม่ว่าใครได้ครองตำแหน่งผู้นำก็ต้องสืบหาเบาะแสการตายของพ่อลูกคู่นี้เป็นงานหลัก ตู้เฟยทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้
“คุณเห็นแก่ความผูกพันมากขนาดนั้นเลย?”
เยี่ยเทียนมองตู้เฟยแล้วเลิกคิ้วตั้งคำถาม สหายของซ่งเสี่ยวหลงแน่นอนว่าต้องเป็นศัตรูของตัวเอง แต่ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากตู้เฟยแล้ว ถึงจะกำจัดเหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกไปได้ ซ่งเสี่ยวหลงยังสามารถหาสหายคนอื่นมาร่วมมือได้ ซึ่งจะเป็นภัยต่อมารดาของเยี่ยเทียนในภายหลัง
เยี่ยเทียนจึงคิดจะกำจัดซ่งเสี่ยวหลงเสียให้สิ้นซาก แต่เจ้านี่เจ้าเล่ห์เพทุบาย ก่อนที่เยี่ยเทียนและมารดาจะมาถึงอเมริกาเขาก็ได้หลบหนีกลับแอฟริกาไปแล้วทำให้เยี่ยเทียนทำอะไรเขาไม่ได้
“คุณชายน้อย ผมว่าเอาตามที่คุณบอกตอนแรก ให้คุณเข้าร่วมในสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่า”
ดูจากสีหน้าของเยี่ยเทียนแล้ว ตู้เฟยถามอย่างระมัดระวัง “ขอแค่แน่ใจว่าคุณมีตำแหน่งในสมาคมหงเหมิน ลุงเหลยกับเหลยหู่ต่อให้ใจกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำอันตรายพวกคุณแม่ลูกแน่นอน เพราะกฎข้อห้ามอันดับแรกของสมาคมหงเหมิน….”
สมาชิกของสมาคมหงเหมินกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก จากการติดตามของตู้เฟย การกระทำของเยี่ยเทียนในไต้หวันและพม่านั้นตู้เฟยพอได้ทราบเรื่อง เขารู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไม่ได้พูดเล่นสนุกปาก หากแต่มีใจอยากจะสังหารจริงๆ
ถ้าเยี่ยเทียนเป็นแค่คนธรรมดา ตู้เฟยยังกล้าล้อเล่นกับเขา แต่เยี่ยเทียนเป็นถึงเจ้าสำนักวิชา ทำให้ตู้เฟยเกิดเคร่งเครียดขึ้นมา ไม่มีใครกล้ามองข้ามการข่มขู่จากสำนักวิชาหรอก
“เอาเถอะ ถ้างั้นก็เข้าร่วมในสมาคมหงเหมินก่อน”
เยี่ยเทียนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม พูดต่อว่า “ในสมาคมหงเหมินมีกฎข้อห้ามไม่ให้ล่วงเกินผู้ที่สูงกว่า ถ้าเหลยเจิ้นเยวี่ยไม่เคารพผู้อาวุโส ผมลงมือสั่งสอนเขาได้ใช่ไหม?”
“แน่นอน ได้แน่นอน คุณชายน้อย คุณวางเรื่องนี้ไว้ก่อนไม่ได้เลยเหรอ?”
เห็นเยี่ยเทียนยังคิดถึงการสังหารไม่คลายลง ตู้เฟยเลยได้แต่ยิ้มแหย รอให้ส่งเทียบเชิญเยี่ยเทียนเข้าสมาคมหงเหมินเสร็จเรียบร้อย เขาจะต้องไปคุยกับลุงเหลยให้รู้เรื่อง ว่าการมีปัญหากับคนอย่างเยี่ยเทียนจะทำให้เกิดเป็นฝันร้ายของตระกูลเหลย
“ได้ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว คุณรอผมครู่หนึ่ง…”
“เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบเอานามบัตรออกมาจากกระเป๋าเดินกลับเข้าไปที่ห้องรับแขกบอกกับตู้เฟยว่า “นี่เป็นเทียบเชิญเข้าสมาคมหงเหมินที่อาจารย์ของผมเขียนขึ้นด้วยตัวเอง คุณต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด รอให้พิธีการเข้าสมาคมหงเหมินสิ้นสุดลงแล้วบัตรเชิญใบนี้จะต้องเป็นของผมเหมือนเดิม”
พิธีเข้าร่วมสมาคมหงเหมินในยุคนี้ดัดแปลงให้เรียบง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก เพียงแค่มีคนแนะนำมา เข้าพิธีเคารพบรรพบุรุษแล้วก็ได้เป็นสมาชิกสมาคมหงเหมินเต็มตัว
แต่เมื่อก่อนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม หากอยากเข้าร่วมในสมาคมหงเหมินนี้จะต้องผ่านกระบวนการวุ่นวายหลายอย่าง ผู้ที่ไม่มีอาจารย์ พอเข้าสมาคมหงเหมินแล้วก็เป็นได้เพียงสมาชิกชั้นสามัญ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใด
ถ้าอยากจะเข้าพิธีเคารพอาจารย์เพื่อเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมิน มีกฎเกณฑ์มากมายที่ต้องปฏิบัติ ประการแรกต้องผ่านการทดสอบที่จะจัดขึ้นในสามปีครั้ง รอจนครบกำหนดแล้วค่อยให้ผู้เป็นอาจารย์เขียนบัตรเชิญเข้าร่วมสมาคมหงเหมิน จึงจะได้ชื่อว่าเข้าร่วมสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการ
สมาชิกประเภทนี้ เมื่อเข้าสู่สมาคมหงเหมินแล้วจะได้สืบทอดตำแหน่งเดิมของอาจารย์ได้โดยตรง เช่นกรณีของตู้เยวี่ยเซิงและหวงจินหรงก็ทำแบบนี้เช่นกัน พวกเขาอยู่ในตำแหน่งระดับสูงได้ก็ด้วยเหตุนี้
บัตรเชิญเข้าสมาคมหงเหมินใบนี้เป็นลายมือของหลี่ซั่นหยวนที่เขียนชื่อของตนและศิษย์ร่วมสำนักในสมัยนั้นขึ้นไปสามรุ่น ด้านล่างเป็นชื่อเยี่ยเทียน นอกจากนี้ในบัตรเชิญยังมีภาษาลับที่เป็นตัวแทนของหลี่ซั่นหยวน เป็นการยืนยันว่าเป็นของจริงซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด
สมาคมหงเหมินแห่งนี้ในยุคแรกเริ่มก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิงฟื้นฟูราชวงศ์หมิง เมื่อราชวงศ์ชิงครอบครองใต้หล้า การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงเป็นความลับ เพื่อป้องกันไม่ให้ทางการรู้ตัวตนของพวกเขา เหล่าบัณฑิตในสมาคม หงเหมินจึงตั้งภาษาลับเอาไว้ใช้ในหมู่พวกเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ครั้งแรกที่เข้าพบสมาชิกในสมาคมหงเหมิน ต้องใช้สัญลักษณ์มือ ต้องมีภาษาลับ และต้องกราบไหว้สาบานเป็นพี่น้อง จึงจะได้เป็นพี่น้องร่วมสาบาน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน หากมีเหตุขุ่นข้องหมองใจก็จะเปลี่ยนเป็นความรักใคร่สามัคคี
ทั้งถ้อยคำภาษาลับและสัญลักษณ์มือแบบต่างๆกลายเป็นระบบธรรมเนียม กลุ่มองค์กรลับในโลกใบนี้ต่างไม่ยอมรับการปลอมแปลง ในสมาคมหงเหมินยิ่งต้องรัดกุมดังที่เป็นอยู่ตอนนี้
หลี่ซั่นหยวนเป็นสมาชิกอาวุโสในยุคแรกเริ่ม ทุกคนต้องมีภาษาลับยืนยันตัวตน ภาษาลับเหล่านี้จะถูกบันทึกลงในทำเนียบจดหมายเหตุ มีแค่ผู้ใหญ่ตำแหน่งสูงเท่านั้นถึงจะรู้จัก พวกเขาสามารถใช้ภาษาลับนี้ไปสืบสวนว่าเทียบเชิญนี้เป็นของจริง
“คุณชายน้อย วางใจเถอะ ผมจะจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี!”
ตู้เฟยก้มลงมองเทียบเชิญของเยี่ยเทียนซึ่งมีตราประทับส่วนตัวและภาษาลับของหลี่ซั่นหยวน เขาจึงวางใจลงได้ ของสิ่งนี้ถ้าเกิดถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง เขายังสามารถนำมันออกมาเป็นหลักฐานยืนยัน อีกทั้งคนในตำหนักพิธียังเป็นพวกเดียวกัน เหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกไม่มีทางทำอะไรได้
“ต้องใช้เวลาเตรียมตัวกี่วัน?” เยี่ยเทียนถาม เขาไม่ชอบความรู้สึกที่เหตุการณ์อยู่เหนือการควบคุมสักเท่าไหร่
“คุณชายน้อย อย่างเร็วต้องหนึ่งสัปดาห์…”
ตู้เฟยหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “สมาชิกใหม่จะเข้าร่วมสมาคมหงเหมินแบบนี้จะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เกรงว่าสมาชิกที่อยู่รอบโลกจะต้องส่งคนมาร่วมงานครั้งนี้”
ถ้าเป็นสมาชิกธรรมดา งานพิธีจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย แค่อ่านกฎของสำนักแล้วจุดธูปก้มกราบเป็นอันเสร็จพิธี แต่เยี่ยเทียนต่างออกไป การเข้าร่วมครั้งนี้ เขาจะได้เป็นถึงสมาชิกที่มีสถานะสูงที่สุดคนหนึ่ง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะต้องดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อาวุโสที่แม้อยากจะให้ความเคารพยำเกรงยังทำไม่ได้
“หนึ่งสัปดาห์?” เยี่ยเทียนนิ่งไป ตอบว่า “ผมหวังว่าในหนึ่งสัปดาห์นี้จะไม่มีใครมารบกวนพวกเรานะ!”
เยี่ยเทียนรู้ถึงวิธีการของคนพวกนี้ดี สถานะของซ่งเวยหลันแม้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมหงเหมินอย่างลึกซึ้ง แต่เธอก็ไม่ได้เป็นสมาชิก ถ้าเกิดเหลยหู่คิดจะทำเรื่องเลวร้ายแล้วละก็ อาจจะ “เชิญ”ตัวซ่งเวยหลันไปกักบริเวณไว้
ฟังถึงความกังวลของเยี่ยเทียนแล้วตู้เฟยรีบรับปาก “คุณชายน้อยโปรดวางใจ ลูกน้องของผมยังมีคนที่พอใช้ได้อยู่ ผมจะไม่ให้ใครเข้ามารบกวนถึงที่นี่อย่างแน่นอน!”
ในสมาคมหงเหมินแม้จะมีตำหนักอาญา แต่ตั้งขึ้นเพื่อฟ้องร้องคดีกับบุคลลภายนอกและเพื่อลงโทษคนในที่ทำผิดกฎ แต่คนอย่างตู้เฟยที่เป็นผู้อาวุโสในนั้น ก็วางลูกน้องของตัวเองทำงานอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ลูกน้องที่เข้มแข็งกล้าหาญมีจำนวนไม่น้อย ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขาคงถูกห้ำหั่นจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
“ได้ คุณไปจัดการเถอะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ลำพังเขาตัวคนเดียวคงจะไม่ต้องคิดมากกังวลขนาดนี้ แต่มารดาของเขาอยู่ด้วยทำให้เยี่ยเทียนต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ก่อนที่จะจัดการพวกเหลยเจิ้นเยวี่ยได้ เขาไม่อยากจะขัดแย้งกับสมาคมหงเหมิน
“ครับ คุณชายน้อย ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ!”
ตู้เฟยออกมาจากห้องชุดแล้ว พบว่าเสื้อด้านหลังของตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาอายุปูนนี้ยังไม่เคยรู้สึกเครียดเกร็งเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มาก่อนเลย
“อาปิ่ง เรียกลูกน้องของแกออกมาให้หมด เฝ้าที่หน้าประตูโรงแรมไว้ ถ้าเป็นแขกธรรมดาไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมินมา ห้ามพวกเขาเข้าไปเด็ดขาด”
ตู้เฟยเดินลงไปถึงล็อบบี้โรงแรม นั่งลงบนโซฟากวักมือเรียกชายวันกลางคนที่รออยู่แล้วเข้าไป แววตาปรากฏความเหี้ยม แล้วเสริมต่อว่า “ถ้ามีคนจะใช้กำลังบุกเข้าไป ต้องหยุดเอาไว้ให้ได้ ขอแค่อย่าให้ถึงกับฆ่าคน ซ้อมให้หนักก็พอ!”
“ท่านตู้ครับ เราซ้อมคนกันเองได้หรือครับ?” ชายวัยกลางคนถามอย่างตกใจ ในซานฟรานซิสโกนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางสมาคมหงเหมินสาขาใหญ่ หากตู้เฟยทำแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะโดนเด้งออกจากเก้าอี้เหรอ?
ตู้เฟยถอนใจออกมา ตบบ่าชายคนนั้นเบาๆ ตอบว่า “อย่าลงมือก่อน แค่คุยกันด้วยเหตุผลก็พอ อาปิ่ง ในสมาคม หงเหมินเกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว!”
“ครับ ท่านตู้” อาปิ่งพยักหน้ารับคำ สำหรับอาปิ่งแล้วคำสั่งของตู้เฟยมาเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องสมาคมหงเหมินยังสำคัญน้อยกว่าอุดมการณ์ของตู้เฟยเลย
…………
“เยี่ยเทียน ลูกคิดอยากจะจัดการลุงเหลยใช่หรือเปล่า?” ตู้เฟยจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันกับแอนนาเดินออกมาจากห้อง
“ตอนนี้ยังครับ รอให้ผมเข้าสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการก่อน ถ้าเขายังกล้าคิดไม่ซื่ออีก ผมก็ไม่รังเกียจจะใช้กฎของสมาคมมาจัดการกับพวกเขา เหลยหู่เป็นเจ้าตำหนักอาญาไม่ใช่เหรอ? ผมจะดูว่าเขาจะทำอย่างไร?”
เยี่ยเทียนยิ้มเย็น มุมมองของเขาต่อเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้นยังไม่แย่มาก แต่สำหรับเหลยหู่เขาจะไม่เกรงใจเลย คนๆนี้ต้องการกอบโกยทรัพย์สินทั้งหมดของแม่ของเขา ไม่รู้ว่าความโลภของเหลยหู่มีมากแค่ไหน?
“งั้นก็ดี ความจริงพวกเราออกไปจากซานฟรานซิสโกแล้วไปนิวยอร์คก็ได้ พวกลุงเหลยทำอะไรเราไม่ได้แล้ว” หากรู้ว่าเหลยหู่กับซ่งเสี่ยวหลงรวมหัวกันทำร้ายเธอ ซ่งเวยหลันจะไม่มาที่ซานฟรานซิสโกก่อน ที่นิวยอร์คยังมีเรื่องวุ่นวายให้เธอต้องจัดการอีก
ฟังมารดาพูดจบเยี่ยเทียนนึกถึงคำพูดของแอนนา จึงอดถามไม่ได้ว่า “ใช่แล้ว แม่ครับ แม่ยังมีลูกน้องอีกหลายคนเลย? พวกเขาเป็นใครกันหรือครับ?”
“ลูกรู้ได้ยังไง?”
ซ่งเวยหลันมองลูกชายด้วยสายตาแปลกๆ แต่ในเมื่อไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้แล้ว เธอตอบว่า “แม่มีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทมืดในอเมริกา ทั้งยังใช้ชื่อของบริษัทก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา ในนั้นมีแต่ทหารปลดประจำการจากนานาประเทศ พวกเขาจะรับผิดชอบในความปลอดภัยของแม่คนเดียว!”
ตอนปี 90 ซ่งเวยหลันได้ลงทุนเปิดบริษัทหนึ่งขึ้นมา โดยมีนายทหารราชนาวีปลดประจำการของสหรัฐเป็นพนักงานซึ่งเป็นทั้งกำลังรบและหน่วยรักษาความปลอดภัย ตั้งแต่ตั้งบริษัทมา นอกจากซ่งเวยหลันที่เป็นเถ้าแก่อยู่เบื้องหลังแล้ว ทั้งบริษัทมีพนักงานทั้งหมดหกคนเท่านั้น
………………………………………………………….