แน่นอนว่าการมาถึงของซ่งเฮ่าเทียนจะถูกสมาชิกในตระกูลเยี่ยออกอาการเมินเฉยใส่ นอกจากเยี่ยตงผิงแล้ว พี่น้องสามสาวตระกูลเยี่ยไม่มีใครลุกขึ้นต้อนรับเลย
สองตระกูลที่ไม่เคยไปหามาสู่กันตลอดกว่าครึ่งศตรวรรษ แม้ว่าตระกูลซ่งจะลงโฆษณาขอขมาทางหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในฮ่องกงแล้ว แต่ปมในใจมันไม่อาจคลี่คลายได้ง่ายๆ
“เยี่ยเทียน ฉันขอมอบขอขวัญให้แก ขอให้แกกับชิงหย่ารักกันตลอดไป จนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร!”
สำหรับปฏิกิริยาของคนตระกูลซ่งที่มีต่อเขานั้น ซ่งเฮ่าเทียนได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว บุตรสาวทั้งสองของเขานั่งลงขนาบข้างบิดา เขาหยิบเอากล่องผ้ากำมะหยี่ที่ฝากไว้กับซ่งอิงหลันออกมา
“ขอบพระคุณครับ!”
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปรับไว้อย่างไม่เกรงใจ แต่ในใจลึกๆแอบตำหนิซ่งเฮ่าเทียน ที่ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนมียศมีตำแหน่ง ทำไมให้ของขวัญแค่ภาพวาดชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“เยี่ยเทียน ห้ามเสียมารยาทนะ เปิดของขวัญออกดูสิ”
เห็นท่าทางไม่สนใจของบุตรชายแล้ว เยี่ยตงผิงอดเอ็ดเบาๆไม่ได้ แม้ว่าเขาเองจะไม่ค่อยพอใจคนตระกูลซ่ง แต่วันนี้เป็นวันแต่งงานของลูกชาย จะทำให้เสียพิธีไม่ได้
เยี่ยตงผิงมีความสงสัยอยู่ในใจว่า ภาพวาด “นกเป็ดน้ำเคียงคู่ในบึงบัว” ของฉีไป๋สือที่จั่วเจียจวิ้นมอบให้นั้น ไม่ทราบว่าตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนจะมอบภาพวาดอะไรให้อีก
“ครับ ถ้างั้นก็ดูเสียหน่อย”
เยี่ยเทียนฟังคำเตือนของบิดาแล้วก็คว้ากล่องนั้นกลับมาจากมือลูกศิษย์ของเขา ความจริงแล้วเยี่ยเทียนไม่ได้มีความสนใจในภาพวาดโบราณพวกนี้ แต่ถ้าเป็นภาพดันหลังของหนานไหวจิ่นยังพอว่าไปอย่าง
“รักกันตลอดไป อืม ขอบคุณท่านมาก ความหมายดีจริง!”
พอเปิดกล่องออกดู ในนั้นมีม้วนกระดาษอยู่ม้วนหนึ่ง เป็นกระดาษภาพอักษรขนาดกว้างสามสิบเซนติเมตร ยาวประมาณหนึ่งเมตร บนนั้นเขียนว่า “รักกันตลอดไป”
จากการพิจารณาดูด้วยสายตาของเยี่ยเทียน อักษรสี่คำนี้นอกจากผู้เขียนจะมีน้ำหนักมือหนักแน่น ตอนที่ลงพู่กันได้กดฝีแปรงจนหมึกซึมลงในเนื้อกระดาษ จนทุกเส้นเท่ากันหมด อย่างน้อยถ้าเยี่ยเทียนเขียนเอง น้ำหนักมือของเขาน่าจะยังหนักแน่นมากกว่า
ประโยค “รักกันตลอดไป” นี้ ด้านข้างมีตัวอักษรเล็กๆอยู่อีก เยี่ยเทียนคิดว่าเป็นแค่คำอวยพรที่ซ่งเฮ่าเทียนเขียนขึ้นเองกับมือเพื่ออวยพรให้เขากับอวี๋ชิงหย่า
“นี่…นี่ใครเป็นคนเขียน?” เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจตัวอักษรตัวเล็กพวกนั้น ในใจยังนึกตำหนิซ่งเฮ่าเทียน แต่ก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไรมาก
ตอนที่เยี่ยเทียนคลี่กระดาษแผ่นนี้ออกนั้น สายตาของจู้เหวยเฟิงมองเห็นบางสิ่งจนตาเบิ่งค้าง สบถลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
“คนนั้น? ใครเหรอ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างไป? รีบมองดูทางส่วนท้ายของอักษรภาพ แล้วก็เห็นตัวอักษรสามตัวที่ทำให้เขาขมวดคิ้วมองแล้วสะดุ้ง
แม้จะเป็นชื่อสามพยางค์ แต่การที่ชื่อนี้ได้อยู่บนอักษรภาพชิ้นนี้ มีคุณค่ายิ่งกว่าอำนาจบารมีของซ่งเฮ่าเทียนเสียอีก
ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของปี 90 นามนี้เป็นตัวแทนแห่งผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลที่สุดคนหนึ่งของประเทศจีน อีกทั้งในสองปีถัดมา เขาก็เป็นผู้นำที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ
แม้แต่เยี่ยเทียนที่มีจิตใจหนักแน่น พอได้เห็นชื่อๆนี้ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ ถ้าเทียบกับยุคโบราณ ภาพอักษรนี้เปรียบเสมือนภาพอักษรที่ฮ่องเต้พระราชทาน เปรียบได้กับของอาญาสิทธิ์ที่ละเว้นโทษตายได้
“ท่านผู้เฒ่า ท่านมีน้ำใจมากจริง” เยี่ยเทียนค่อยๆม้วนเก็บภาพขึ้นแล้วพยักหน้าขอบคุณซ่งเฮ่าเทียนอย่างหนักแน่น
แม้เขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเจตนาในการมองภาพอักษรนี้ให้เยี่ยเทียน แต่ซ่งเฮ่าเทียนสามารถขอให้คนผู้นั้นเขียนอักษรภาพนี้ให้ตนเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานแล้ว เขาก็รู้สึกสำนึกบุญคุณคนผู้นั้นมาก
“แกนิสัยซุกซน ทั้งยังมีวิชาอาคมแปลกประหลาดออีก ต่อไปวันหน้าอาจจะได้ใช้” ซ่งเฮ่าเทียนเห็นท่าทางเยี่ยเทียนที่เข้าใจความหมายของตนแล้ว ก็ยิ้มอย่างอุ่นใจ
ถ้าหลายปีมานี้ไม่ได้ซ่งเฮ่าเทียนคอยช่วยเหลือสนับสนุนคนๆนั้น หรือแม้แต่นายทหารในกองทัพเขาคนหนึ่ง ที่พอเกษียณปลดประจำการออกมาแล้วตอนนี้ ยังไม่อาจทำให้ท่านผู้นั้นเขียนภาพอักษรมอบเป็นของขวัญได้
ซ่งเฮ่าเทียนรู้ดีว่าเยี่ยเทียนเป็นคนใจกล้าไม่กลัวฟ้าดิน ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันหนึ่งที่กระทำล่วงเกินไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเข้า จึงออกหน้าขอให้ท่านผู้นั้นเขียนภาพอักษรให้ เพื่อถือเป็นยันต์คุ้มภัยให้เยี่ยเทียน
“เด็กน้อย เป็นลายมือของท่านXXX”
“ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไป ล้ำค่ามากจริงๆ!”
เหล่าหวา ของขวัญของพวกเรามันดูด้อยค่าไปหน่อยหรือเปล่า?”
ชื่อของบุคคลสำคัญบนอักษรภาพแพร่สะพัดไปทั้งเรือนสี่ประสาน ตอนแรกบรรยากาศในงานยังคงคึกคักกลับเงียบสงบลงฉับพลัน คนอื่นๆต่างซุบซิบวิจารณ์กันไปต่างๆนานา
แขกที่มาร่วมงานนั้นถึงจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ก็มีฐานะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีกันเสียมาก นามของท่านผู้มีอำนาจท่านนี้ทำให้พวกเขาต่างต้องหยุดชะงัก
แม้แต่สามสาวตระกูลเยี่ย พอเห็นภาพอักษรนี้แล้วความรู้สึกที่มีต่อซ่งเฮ่าเทียนได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะว่าการให้ของขวัญแบบนี้ แม้แต่คนในตระกูลซ่งเองยังไม่เคยมีใครได้รับ
“เยี่ยเทียน คุณตาให้เกียรตินายมากเลย” อวี๋ชิงหย่ามองดูเยี่ยเทียนม้วนเก็บภาพวาดขึ้น ก็อดกระซิบบอกที่หูของสามีไม่ได้
“อะไรกัน นี่ยังเขียนสวยสู้ฉันไม่ได้เลย”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก เก็บเอาภาพอักษรลงกล่องแล้วส่งให้โจวเซี่ยวเทียน ว่ากันตามจริงแล้ว อำนาจอิทธิพลสำหรับเยี่ยเทียนแล้วเปรียบเหมือนเมฆหมอกที่ลอยผ่านตาไปเท่านั้น
“เด็กบ้านี่ พูดไม่เข้าหูเอาเสียเลย”
ซ่งเฮ่าเทียนอุตส่าห์ไปขอร้องท่านผู้นั้นให้เขียนภาพอักษรนี้ให้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเยี่ยเทียนวิจารณ์ขนาดนี้ ซ่งเฮ่าเทียนถึงกับเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นที่ขมับด้วยความขุ่นเคือง ยังดีที่เยี่ยเทียนพูดเสียงเบาๆ ไม่อย่างนั้นถ้าได้ยินไปถึงหูท่านผู้นั้นแล้วไม่รู้ว่าท่านจะมองว่าอย่างไร
“น้องเหวินซวนเยี่ยเทียนนิสัยเหมือนฉัน สิ่งของในโลกนั้นเป็นของนอกกาย อย่าไปถือสาเขาเลย”
โก่วซินเจียเห็นสีหน้าซ่งเฮ่าเทียนแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาเองพอใจกับการแสดงออกของเยี่ยเทียน ถ้าหากไม่สามารถมองข้ามสิ่งของมีค่า อำนาจเงินทองไปได้ ชีวิตนี้เยี่ยเทียนจะไม่มีทางบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
“ครับ พี่หยวนหยาง เป็นผมที่ไม่ดีเอง”
ซ่งเฮ่าเทียนได้ฟังคำของโก่วซินเจียแล้วอดกลั้นไว้ในใจ เขาเพิ่งนึกได้ถึงสถานะอีกอย่างของเยี่ยเทียนคือ เป็นคนในสำนักวิชาที่ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งสอนธรรมดาทั่วไป แล้วจะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาที่ไหน?
“ได้ฤกษ์แล้ว เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวก้าวออกมา….”
ถึงเวลาตามฤกษ์แล้ว พิธีกรของงานในวันนี้อย่างเว่ยหงจวินก็ตะโกนออกมา เพียงแต่การมาถึงของซ่งเฮ่าเทียนก็ทำให้เขารู้สึกประหม่า เสียงจึงฟังดูแปร่งหูไปเล็กน้อย
“วันนี้เป็นพิธีมงคลสมรสของคุณเยี่ยเทียนและคุณอวี๋ชิงหย่า พวกเรามาร่วมกันอวยพรให้พวกเขา รักกันมั่นคง ตราบชั่วฟ้าดินสลาย เจ้าบ่าวเจ้าสาวไหว้ฟ้าดิน!”
เว่ยหงจวินเพื่องานในวันนี้ เขาท่องบทพูดอยู่หลายวัน จึงกล่าวออกมาได้คล่องแคล่วไม่ติดขัด
“คำนับฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์สลักชื่อคู่รักไว้บนศิลาสามภพ คำนับหนึ่ง!
คำนับสุริยันจันทราผู้หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตบนโลก คำนับสอง!
คำนับฤดูทั้งสี่ผู้มอบลมฝนและอาหารอันอุดม คำนับสาม!”
เยี่ยเทียนและอวี๋ชิงหย่าไหว้ฟ้าดินเสร็จ เว่ยหงจวินประกาศต่อว่า “โบราณกล่าวไว้สายธารต้องมีต้นน้ำ ต้นไม้ต้องมีรากใหญ่ การสมรสจะลืมบุญคุณของบิดามารดาไม่ได้ ต่อไปคำนับบุพการี!
คำนับบิดามารดาที่ผู้ให้กำเนิด คำนับหนึ่ง!
คำนับพ่อแม่ที่อบรมสั่งสอน คำนับสอง!
บ่าวสาวคารวะน้ำชา คำนับสาม!”
พิธีคารวะบุพการีจบลงแล้ว โจวเซี่ยวเทียนถือเอาถาดน้ำชาเข้ามา ในถาดมีถ้วยชาสี่ใบ คือให้เยี่ยเทียนและอวี๋ชิงหย่ายกน้ำชาให้พ่อแม่ของทั้งสอง
“พ่อ เชิญดื่มชา!”
เยี่ยเทียนสองมือประคองถ้วยชาส่งให้ผู้เป็นบิดา พ่อลูกคู่นี้พึ่งพาอาศัยกันมาตลอดยี่สิบกว่าปี ตอนนี้เห็นบิดาเริ่มมีผมขาวที่จอนทั้งสองข้าง เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกขึ้นมาในลำคอ
“ลูกรัก ลูกเป็นลูกที่พ่อภูมิใจ!”
เยี่ยตงผิงที่ปกติชอบทำท่าข่มขู่ใช้อำนาจกับเยี่ยเทียน ตอนนี้เห็นบุตรชายเติบใหญ่เป็นฝังเป็นฝาแล้ว คิดว่าหลายปีที่ทนลำบากมานี้ไม่เสียเปล่าเลย เยี่ยตงผิงพยักหน้ารับถ้วยน้ำชา หยาดน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่กลิ้งไหลลงไปผสมอยู่กับน้ำชาในถ้วย
“คุณ…คุณ….”
ตอนที่เยี่ยเทียนยกน้ำชาให้มารดานั้น คำพูดติดอยู่ที่ปากไม่กล้าพูดออกไป มองดูแววตาของมารดาแล้ว เยี่ยเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปล่งเสียงออกมาเต็มปากเต็มคำว่า “แม่ เชิญดื่มชา!”
“จ้ะ แม่….แม่ดื่ม!”
ความรู้สึกของผู้หญิงนั้นไม่อาจปิดบังได้ ซ่งเวยหลันรอคอยคำนี้มาตลอดยี่สิบกว่าปี ได้ยินบุตรชายเรียกแม่ออกมาได้ น้ำตาไหลเป็นสายไม่ขาด ตื้นตันใจจนร้องไห้ออกมา
ณ ตอนนี้ ซ่งเวยหลันไม่ใช่นักธุรกิจหญิงแกร่งอีกต่อไป เธอเป็นเพียงแม่คนหนึ่งที่สมหวังดั่งใจเมื่อได้รู้ว่าบุตรชายยอมรับเธอเป็นแม่แล้ว
“แม่ เชิญดื่มชาค่ะ!”
อวี๋ชิงหย่ายกถ้วยน้ำชาให้ซ่งเวยหลันเช่นเดียวกัน ทำให้ความตื่นตันใจของซ่งเวยหลันสงบลงเล็กน้อย เธอรีบรับคำแล้วหยิบเอากล่องเครื่องประดับบนโต๊ะขึ้นมา พูดว่า “ชิงหย่า นี่เป็นของขวัญจากพ่อกับแม่”
ในกล่องเครื่องประดับนั้นเป็นชุดสร้อยเพชรชุดหนึ่งที่ซ่งเวยหลันไปจ้างให้ช่างเจียระไนเพชรฝีมือระดับโลกเป็นผู้รังสรรค์ผลงานให้
เพชรแต่ละเม็ดบนเครื่องประดับชุดนี้ถูกเจียระไนกว่าร้อยเหลี่ยมอย่างประณีต แสงที่สะท้อนจากน้ำเพชรทั้งเจิดจรัสวับแวม แม้แต่ต่างหูเพชรที่ดูเล็กที่สุดนั้นก็เช่นเดียวกัน
เพื่อเครื่องประดับชุดนี้แล้ว ซ่งเวยหลันจ่ายเงินไปทั้งหมดสามร้อยกว่าล้านดอลล่าร์ ที่ได้ราคาเพชรเท่านั้น ยังไม่รวมค่าจ้างช่างเจียระไน ซึ่งถ้ารวมแล้วราคาสูงเกินสามร้อยห้าสิบล้านดอลล่าร์
“ขอบคุณค่ะแม่” อวี๋ชิงหย่ารับกล่องเครื่องประดับไปอย่างว่าง่าย จากนั้นเยี่ยเทียนกับเธอก็หันไปคารวะพ่อแม่ของเธอเอง
เยี่ยเทียนเริ่มมีประสบการณ์การเรียกแม่แล้ว ครั้งต่อมาจึงไม่เคอะเขิน ทำเอาแม่ยายยิ้มไม่หุบ อวี๋เฮ่าหรานเองก็พึงพอใจในตัวลูกเขยคนนี้มาก แอบดีใจที่ไม่ได้ขัดขวางความรักของสองคนนี้ในตอนแรก
กราบไหว้บุพการีเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนได้อัญเชิญภาพของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนออกมาด้วย เขากับอวี๋ชิงหย่าก้มลงกราบรูปของอาจารย์สามครั้ง
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว ผู้ให้กำเนิดคือบิดามารดา แต่ผู้ที่สั่งสอนสรรพสิทธิ์วิทยาคืออาจารย์คนนี้
การกระทำของเยี่ยเทียนเทียนทำให้ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นน้ำตาคลอ ทำให้ทั้งสองคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตนกับอาจารย์
กราบไหว้อาจารย์แล้ว ถือเป็นอันเสร็จพิธี เยี่ยเทียนนำกำไลสองวงสวมเข้าที่ข้อมือของอวี๋ชิงหย่า
กำไลวงหนึ่งเป็นหยกมรกตจักรพรรดิ อีกวงเป็นหยกสีแดงเลือดมังกรเนื้อดี กำไลคู่นี้พออยู่บนข้อมือขาวนวลของอวี๋ชิงหย่าแล้ว ยิ่งดูโดดเด่นสวยงามดึงดูดสายตา
………………………………………………….