“อาจารย์ ท่านมาแล้ว?”
อี้เวินเม่าเห็นชายชรา จึงรีบเดินไปรับทันที เวลานี้เขาถูกจั่วเจียจวิ้นพูดใส่จนเป็นใบ้กิน และการมาของชายชราจึงเป็นการช่วยชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“รีบร้อนอะไรนัก ปกติฉันสอนนายว่ายังไง? ไม่มีมากเอาเสียเลย!”
น้ำเสียงของชายชราค่อนข้างดัง ไม่เพียงแต่แสดงท่าทีเป็นผู้อาวุโสกับจั่วเจียจวิ้นแล้ว ยังตำหนิลูกศิษย์อายุราวหกสิบกว่าของตัวเอง อย่างไม่มีความเมตตาเลยแม้แต่น้อย
“นี่คืออาจารย์ของประธานอี้? ทำไมไม่เคยเจอมาก่อน?”
“ว่ากันว่าคือยอดฝีมือในประเทศจีนเมื่อสิบปีก่อน แต่เขาไม่เคยดูฮวงจุ้ยให้ใครมาก่อน”
“น่าจะเป็นคนเก่งแหละ? ดูประธานอี้อยู่ต่อหน้าเขาเป็นเหมือนเด็กน้อยเลย”
ชายชราที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เดิมทีที่ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์จั่วเจียจวิ้น ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
แต่ก็โทษพวกนกสองหัวไม่ได้ ประเด็นคือฮวงจุ้ยนั้นเป็นอภิปรัชญาที่ลึกลับเกินไป พวกเขาก็แยกไม่ออกว่าใครพูดความจริง ใครพูดโกหกกันแน่
หลังจากที่ตำหนิลูกศิษย์แล้ว ชายชราคนนั้นก็หันไปหาจั่วเจียจวิ้น พูดว่า “ถึงแม้เธอไม่เคยพูดการถ่ายทอดของตัวเองมาก่อน แต่ฉันก็มองออก ว่าเธอน่าจะได้รับการถ่ายทอดวิชามาอาจารย์สำนักเสื้อป่านในที่ราบกลาง ดูเหมือนว่าสำนักนี้จะไม่ชำนาญเรื่องค่ายกลฮวงจุ้ยนะ?”
ไช่หยางชิวมองจั่วเจียจวิ้น หรี่ตาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกเกิดความสงสัยในใจไม่หยุด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่คุกรุ่นของจั่วเจียจวิ้น ซึ่งเหมือนกับสิบปีที่แล้วเพียงแต่วันเวลาไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ต้องรู้ว่า เมื่อสิบปีที่ก่อนจั่วเจียจวิ้นได้เข้าถึงพลังแฝงขั้นแรก ตอนนั้นไช่หยางชิวได้เข้าถึงขั้นสุดยอดของพลังแฝงแล้วแล้ว เพียงแค่ปล่อยพลังออกมา ก็ทำให้จั่วเจียจวิ้นยอมแพ้ด้วยใจจริง
แต่วันนี้ที่ทั้งสองคนได้เจอกัน ไช่หยางชิวกลับพบว่า พลังของจั่วเจียจวิ้นนั้นแรงมาก กระทั่งยังมากกว่าตัวเอง ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อ พร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“เป็นคนแก่ที่ไร้ยางอายจริงๆ สำนักฉีเหมินใหญ่ขนาดนี้ นายรู้จักดีแค่ไหน?”
ขณะที่จั่วเจียจวิ้นยังไม่ทันพูดออกไป ก็มีเสียงดังออกมาจากมุมหนึ่ง เมื่อไช่หยางชิวกับอี้เวินเม่าได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนทันที เพราะว่าเสียงนั้น เป็นเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา
แต่ยังไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยปากถาม เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก “ศิษย์พี่ใหญ่ ผม…ผมไม่ได้หมายถึงพี่นะ พี่ดูปากผมสิ มันน่าโดนตบจริงๆ”
“ก็ไม่ได้พูดผิดอะไร ศิษย์พี่ใหญ่อายุขนาดนี้แล้ว ก็หน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ” โก่วซินเจียยิ้มเจื่อนมองไปที่ศิษย์น้องเล็ก จะด่าคนก็ด่าไป จะเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวทำไม?
ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็มองตามไป เดิมทีบรรยากาศในงานที่ดูอึมครึมเล็กน้อย กลับมีเสียงหัวเราะดังออกมา เพราะว่าคนที่พูดอยู่ตรงมุมนั้น นอกจากจะเป็นเด็กหนุ่มหนึ่งคนกับชายวันกลางคนแล้ว ยังมีนักพรตเต๋า ที่ดูแล้วอายุก็น่าจะไม่น้อยเลย
“เจ้าเด็กคนนี้ ปากไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ?”
เหมือนกับหลี่เชาเหรินเศรษฐีผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ก็ยังส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น แต่เมื่อรู้ว่าเยี่ยเทียนคือลูกชายของซ่งเวยหลัน พวกเขาก็ทำได้เพียงแต่เก็บคำวิจารณ์ไว้ในใจ ว่าเยี่ยเทียนไม่มีพ่อแม่สั่งสอน ที่กล้าพูดจาไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ในงานแบบนี้
“เจ้าหนู มากับผู้ใหญ่บ้านไหนเหรอ? รู้จักหลักของปลาหมอตายเพราะปากไหม?”
พวกมหาเศรษฐีที่เข้ามาในงานก่อนหน้านี้ต่างก็รู้จักฐานะของเยี่ยเทียน แต่ไช่หยางชิวทั้งสองอาจารย์ยังไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนเป็นใคร เมื่อเห็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักนอบน้อม สีหน้าของไช่หยางชิวก็หม่นลงทันที
อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าวรยุทธของจั่วเจียจวิ้นเหมือนจะพัฒนาขึ้นแล้ว ตอนนี้จึงไม่กล้าที่จะหาเรื่องจั่วเจียจวิ้น แล้วจึงใช้เยี่ยเทียนเด็กหนุ่มมาเป็นที่ดึงดูดสายตาของทุกคนมาแทน
“ศิษย์พี่ใหญ่ เขา…เขาตะโกนว่าผมเป็นเด็กน้อย?”
เยี่ยเทียนมองไปที่ไช่หยางชิวด้วยความรู้สึกตลก พูดว่า “คุณรับหน้าที่เจ้าสำนักชีซิงมาที่สมัยแล้ว? อาจารย์เป็นใคร พวกเราลองมาคุยกันหน่อยไหม มาดูว่าเธออาวุโสกว่า หรือว่าระดับผู้อาวุโสของฉันที่สูงส่งกว่า?”
“เธอเป็นคนในสำนักฉีเหมินหรือ?” ไช่หยางชิวรู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่ออี้เวินเม่าเพิ่งจะได้ยินที่จั่วเจียจวิ้นแนะนำเยี่ยเทียน รีบกระซิบข้างหูของอาจารย์ว่า “อาจารย์ เขาเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้น”
“หืม? เป็นศิษย์น้องของเขา? ทำไมเด็กขนาดนี้ ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์เหรอ?”
ไช่หยางชิวรู้สึกลังเลขึ้นมา เดิมที่เขาต้องการที่จะตำหนิสั่งสอนเยี่ยเทียนสักหน่อย ไม่คิดว่าจะดึงจั่วเจียจวิ้นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
หลังจาที่คิดอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ไช่หยางชิวก็ไม่ได้ทำอะไรเยี่ยเทียน แต่ว่ามองไปเที่ยวจั่วเจียจวิ้น พูดว่า “เสี่ยวจั่ว ฉันกับเธอพูดกันอยู่ ศิษย์น้องของเธอมาพูดแทรกแบบนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไรกระมัง?”
ความสามารถในการสัมผัสความรู้สึกอันตรายของคนสำนักฉีเหมิน ไกลเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อไช่หยางชิวสังเกตว่าพลังของจั่วเจียจวิ้นนั้นมีการพัฒนามากขึ้น ในใจจึงเกิดความรู้สึกผิดปกติ จึงเปลี่ยนท่าทีขึ้นมา ไม่พูดจาฉอดๆ เหมือนก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกหน้า จั่วเจียจวิ้นจึงมีความมั่นใจมากขึ้น และเอ่ยปากพูดว่า “เจ้าสำนักไช่ ถึงศิษย์น้องของฉันจะดูเด็ก แต่ก็เป็นเจ้าของสำนักเสื้อป่าน สถานะไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าพวกคุณเลย จึงไม่รู้ว่าทำไมถึงจะพูดแทรกไม่ได้?”
“เจ้าสำนัก? นี้มันอะไรกัน?”
“เรื่องของยุทธภพ ดูได้อย่างเดียวห้ามต้องพูด”
“คงไม่ใช่พวกสำนักหงเหมินนะ? แต่เคยได้ยินว่าสำนักใหญ่ของหงเหมินอยู่ที่อเมริกานี่?”
“พูดยากนะ ตอนนี้พวกสมาคมที่อยู่ในฮ่องกง เป็นไปได้ที่ยังมีพรรคหงเหมินแก้งชิงปังหลงเหลืออยู่ก็ได้!”
คราวนี้จั่วเจียจวิ้นก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนในงานจนส่งเสียงดังเกรียวกราวขึ้นมา พวกมหาเศรษฐีพวกนี้ต่างก็มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่กลับไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของสำนักฉีเหมิน ทุกคนต่างก็คาดเดากันต่างๆ นานา และอีกหลายคนที่เพ่งมองไปที่หวาเหล่าป่านของสมาคมของหวาเซิ่ง
“เยี่ยเทียน วันนี้มาเพื่อฉลองความสำเร็จให้กับศิษย์พี่ พยายามอย่าสร้างปัญหาเลยนะ?”
ตอนที่ทุกคนกำลังส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ถังเหวินหย่วนก็เดินออกมาทันที เขากับอี้เวินเม่าค่อนข้างสนิทสนมกัน จึงรู้ว่าเทียนเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยม จึงอยากออกมาเป็นคนช่วยไกล่เกลี่ย
“เหล่าถัง จะมาฉลองความสำเร็จให้ศิษย์พี่ใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนโบกมือไปมา สายตามองไปที่อาจารย์ไช่หยางชิวและลูกศิษย์ แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “แมวสามหมาสี่กระโดดออกมาหมดแล้ว คิดว่าสำนักเสื้อป่านของแนไม่มีคนแล้วใช่ไหม?!”
พวกมหาเศรษฐีที่นั่งกันอยู่นั้น ให้ความสำคัญที่สุดคือความสงบและความมั่งคั่ง มีคำพูดหนึ่งเรียกว่าการถอยออกมาหนึ่งก้าวจะทำให้เรื่องรบรื่นขึ้น แต่สำหรับเรื่องนี้ ไม่สามารถใช้ได้กับสำนักฉีเหมินและยุทธภพ
ในเมื่อมีคำว่า “ยุทธภพ” สองคำนี้ อย่างนั้นก็ต้องสะสางบุญคุณความแค้น โดยเฉพาะการดึงเรื่องการต่อสู้ของสำนักเข้ามาเกี่ยวข้อง เยี่ยเทียนในฐานะหัวหน้าสำนักเสื้อป่าน จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องถอยอยู่แล้ว
“เหล่าถัง เรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ขอเพียงพวกเขายอมขอโทษศิษย์พี่ของผม ยอมรับว่าเรียนวิชาไม่แตกฉาน ก็จะถือว่าเรื่องนี้จบไป!”
เรื่องมาถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่สนใจสายตาคนรอบข้างแล้ว พระพุทธศาสนาสอนความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน ทฤษฎีลัทธิเต๋าเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรม ให้สรรพสิ่งเป็นเหมือนสุนัขเคี้ยวเอื้อง ความหมายก็เหมือนกับพระพุทธศาสนา สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนเหมือนกันหมด
ดังนั้นที่เรียกกันว่ามหาเศรษฐีอยู่เหนือระดับทั่วไป ในสายตาของเยี่ยเทียนไม่มีความแตกต่างระหว่างสามัญชนที่ขายไข่ปลาบนถนน และจากการฝึกวรยุทธของเขาในตอนนี้ ในเมื่อถูกปล่อยออกมา วันนี้ก็ต้องกระพือข่าวให้คนรู้ไปทั่ว
แต่พอเยี่ยเทียนพูดออกไป ทำให้เกิดความโกลาหลในงาน ถังเหวินหย่วนกับหลี่เชาเหรินเป็นผู้อาวุโสในโลกธุรกิจเศรษฐีผู้มีอิทธิพล
อีกทั้งตระกูลของถังเหวินหย่วนก็ไม่เหมือนกับพวกเขาสองคนนั้น แต่คนมากมายต่างรู้กันว่า เบื้องหลังของเขามีความซับซ้อนมาก อิทธิพลในฮ่องกงนั้นจึงไม่น้อยไปกว่าผู้นำในธุรกิจจีนสองคนนั้น
แต่เยี่ยเทียนกลับเรียกเขาว่าเหล่าถัง ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการตำหนิ ทำให้ทุกคนยากที่จะยอมรับได้ มีหลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับถังเหวินหย่วน ลุกขึ้นเดินออกมาเตรียมที่จะตำหนิเยี่ยเทียน
“ได้ ผมไม่ยุ่ง ถือว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้พูดอะไรนะ…”
ถังเหวินหย่วนกับเยี่ยเทียนคบหากันนานพอสมควร หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จึงรู้ว่าเรื่องนี้ยากที่จะจัดการแล้ว ถึงแม้ว่าเขากับอี้เวินเม่าจะมีความสนิทสนมกัน แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งพอที่จะทำให้เขาผิดใจกับเยี่ยเทียนได้
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
พวกคนที่ยืนขึ้นมาพยายามที่จะส่งเสียงช่วยเหลือถังเหวินหย่วน เมื่อเห็นว่าชายชราคนนี้ถอยหลังกลับ ทุกคนต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก รู้สึกสับสนอยู่ในใจ
แต่คนที่สามารถทำธุรกิจได้ในระดับนี้ อีคิวจะไม่ต่ำ หลังจากได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วน ในใจจึงเข้าใจขึ้นมาทันที สงสัยฐานของเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่ใช่แค่เป็นลูกชายของซ่งเงยหลันง่ายๆ ขนาดนั้น
อย่าบอกว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักเยี่ยเทียนเลย แม้แต่ซ่งเวยหลันก็ยังตกใจจนต้องเอามือปิดปากไว้ เธอกับถังเหวินหย่วนสนิทกันมาหลายปี อีกทั้งยังเคารพนับถือต่อกันอีกฝ่ายมาก เรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับคุณอา
แต่ซ่งเลยหลันคิดไม่ถึงว่า ลูกชายตัวเองกลับเรียกเขาว่าเหล่าถัง และถังเหวินหย่วนก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดีมาก แต่กลับถูกเรียกขานแบบนี้
“ตงผิง ลูก…ลูกชายของพวกเราทำอะไรกันแน่?”
หลังจากที่ซ่งเวยหลันตกใจแล้ว ก็ดึงมือของสามี พร้อมกับทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสงสัย ว่าลูกชายมีความสามารถ ดังนั้นคนเป็นแม่จึงต้องดีใจเป็นธรรมดา
“ลูกน่ะเหรอ? ลูกก็คือจอมปีศาจที่ปะปนอยู่ในโลกมนุษย์”
เยี่ยตงผิงยิ้มเจื่อนๆ เพราะเยี่ยเทียนอยู่ที่ปักกิ่งยังอวดดีไม่พอ แถมยังมามีเรื่องที่ฮ่องกงโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด จึงรีบพูดกระซิบกับภรรยาทันที “หลานสาวที่ป่วยของถังเหวินหย่วน ก็ได้เยี่ยเทียนช่วยรักษาให้หาย ดูเหมือนว่าไอ้ลูกคนนี้จะมีระดับอาวุโสในแก๊งอะไร ซึ่งตำแหน่งยังสูงกว่ากว่าถังเหวินหย่วนเสียอีก”
“สูงกว่าถังเหวินหย่วนเหรอ? อย่างนั้นก็อยู่ในพรรคหงเหมินน่ะสิ?”
ครั้งนี้ซ่งเวยหลันตกใจจริงๆ หลายปีมานี้เธอคบค้าสมาคมกับหงเหมินมาตลอด จึงรู้อิทธิพลของสมาคมชาวจีนต่างประเทศนี้ว่ามีมากแค่ไหน และรู้อีกว่าภายในสมาคมนี้ให้ความสำคัญกับระดับอาวุโสมาก
เยี่ยเทียนมีลำดับศักดิ์สูง แน่นอนว่ามีคุณสมบัติที่จะปฏิบัติต่อถังเหวินหย่วนอย่างนี้
อย่าว่าแต่คนพวกนี้ที่ให้ตำแหน่งใหม่กับเยี่ยเทียนเลย ตอนที่เยี่ยเทียนพูดประโยคนั้นออกมา สีหน้าของอาจารย์ไช่หยางชิวและลูกศิษย์ก็แขวนไว้ไม่อยู่แล้ว
ให้พวกเขาก้มศีรษะและยอมรับความผิดพลาดของพวกเขา แบบนี้ต่อไปพวกเขายังจะมีหน้ามีตาทำธุรกิจฮวงจุ้ยในฮ่องกงได้อย่างไร? มันเหมือนเป็นการขับไล่พวกเขาออกจากเกาะฮ่องกง
ไช่หยางชิวก่อนหน้านี้ก็มีความคิดที่ยอมอ่อนข้อเพื่อให้จบเรื่อง แต่ตอนนี้ไม่สามารถถอยกลับได้อีกแล้ว เขาจึงเดินไปหาเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าหม่นหมอง พูดว่า “ถึงแม้ว่าอายุของเธอยังน้อย แต่ว่าการพูดการจาของเธอนั้นไม่ได้น้อยเลยนะ?
อยากให้สำนักชีซิงของฉันออกไปจากฮ่องกงก็ได้ อย่างนั้นก็ต้องเอาความสามารถออกมาสู้กัน!”
ถ้าหากไช่หย่างชิวกับจั่วเจียจวิ้นประลองฝีมือกัน เขาก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ไม่แน่ยังพอจะหาทางให้ตัวเองลงจากเวทีได้
แต่ว่าสีหน้าของเยี่ยเทียนที่เหมือนกเด็กหนุ่มที่กำลังป่วยนั้น เหมือนจะทำให้เจ้าสำนักไช่มองเห็นลูกพลับนุ่ม ถึงอย่างไรก็ต้องบดขยี้เสียหน่อย?
…………………………………………………………