“ร่างกายผมอ่อนแอจนโดนลมพัดก็ปลิวแล้วเหรอ?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น ในเวลาเดียวกันก็ได้เตือนสติของตัวเองอยู่ภายในใจ วันหน้าจะเล่นมากเกินไปแบบนี้ไม่ได้อีก เขาคงไม่ได้โชคดีทุกครั้ง เพราะพลังแห่งสวรรค์ยากจะคาดเดา ไม่แน่วันไหนเขาอาจจะหกล้มลงตีลังกาก็เป็นได้
ถูกจั่วเจียจวิ้นประคองอยู่ เมื่อกี้ตอนที่เดินไปถึงห้องรับแขก เสียงเบรกของรถก็ดังขึ้นมาจากประตูของบ้าน สองมือของโจวเซี่ยวเทียนถือกระติกน้ำร้อนไว้สามขวด และรีบเปิดประตูเดินเข้ามา
หลังจากที่เห็นข้างหลังของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนจึงแอบโอดครวญ เพราะตัวเองลืมกับชำกับเขา และเจ้าหนุ่มนี้ก็เรียกพ่อแม่มาด้วย
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนค่อยๆ เดินไปข้างหน้าของเขาแล้วพูดว่า “อาจารย์ พวกเขาจะมาให้ได้ ผมไม่รู้จะห้ามยังไงครับ”
“ช่างเถอะ เข้าไปข้างในก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา ใบหน้าแสดงรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมา พูดกับคนที่อยู่ด้านหลังของโจวเซี่ยวเทียนว่า “พ่อครับ ท่านทั้งสองมาได้ยังไงครับ? บ้านของผมยังจัดไม่เสร็จเลย”
เหตุผลที่เยี่ยเทียนไม่อยากให้พ่อแม่มานั้นก็เพราะว่า หนึ่งกลัวว่าพวกเขาจะเป็นห่วงสุขภาพของตัวเอง สองพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่ภายในบ้านนี้รุนแรงเกินไป กลัวว่าพวกเขาทั้งสองจะทนไม่ไหว
ต้องรู้ว่า พลังเหนือธรรมชาติมีประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังมีขอบเขตที่จำกัด
ก็เหมือนกับโสมที่สามารถบำรุงและรักษาผู้ป่วยที่มีไตอ่อนแอ แต่หากคุณปราศจากโรคภัยเป็นคนที่มีสุขภาพดีและกลืนกินโสมเข้าไป อาจจะทำให้ร่างกายของคุณจะมีหยางมากเกินไป ทำให้ปากและจมูกเลือดออก
พลังเหนือธรรมชาติก็เช่นกัน เหมือนกับตอนนี้ภายในบ้านพักตากอากาศพลังเหนือธรรมชาติที่ปริมาณและคุณภาพ มันเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับพวกเยี่ยเทียนสองสามคน แต่สำหรับเยี่ยตงผิงคู่สามีภรรยา กลับไม่ใช่เรื่องดีอะไรมากนัก
“เยี่ยเทียน ทำไม…ทำไมลูกถึงมีสภาพเป็นแบบนี้?”
หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้าน ซ่งเวยหลันก็จ้องมองไปที่ตัวของลูกชาย และตะลึงกับเลือดที่ตรงหน้าอกเสื้อเช่นนี้
ซ่งเวยหลันพยายามเก็บความรู้สึกของตัวเอง ไม่ได้โผเข้าไปหาก่อนเป็นอย่างแรก แต่ดางตากลับมีน้ำตาเต็มเบ้าตาแล้ว
“ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องเป็นห่วงครับ…”
เมื่อเห็นแม่เบ้าตาแดง ในใจของเยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เหมือนกับในตอนนั้นที่ช่วยท่านนักพรตฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาชีวิต ล้มสลบลงไปในพื้นหิมะ แต่ไม่มีใครที่เข้ามาหามให้ลุกขึ้นเลยสักคน
“ยังจะบอกว่าไม่เป็นอะไร ลูกอาเจียนออกมาเป็นเลือดกี่ครั้งแล้ว?”
ซ่งเวยหลันคว้าข้อมือของลูกชาย พูดว่า “ไม่ได้แล้ว ไปโรงพยาบาลกับแม่ แบบนี้จะรอดได้ยังไง?”
“เอ่อ ไม่เป็นไรจริงๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมให้โจวเซี่ยวเทียนต้มยาจีนให้แล้ว บำรุงนิดหน่อยก็ดีขึ้นแล้วครับ!”
เวลานี้เยี่ยเทียนก็ไม่มีแม้แต่แรง เมื่อถูกแม่ช่วยพยุง ทันใดนั้นเขาก็โซเซ อีกนิดเดียวก็เกือบล้มลงไปกับพื้น ทำให้ซ่งเวยหลันตกใจจนต้องปล่อยมือ
“เวยหลัน ฟังที่ลูกชายพูดเถอะ คราวที่แล้วเขาลุงหลี่ฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาชีวิต ยังอาเจียนเป็นเลือดเยอะกว่าครั้งนี้อีก”
เยี่ยตงผิงดึงภรรยาเอาไว้ แม้ว่าภายในใจของเขาก็ยังคงเป็นห่วงมากเช่นกัน แต่ว่าเรื่องของเยี่ยเทียน เยี่ยตงผิงที่เห็นจนชินแล้ว เมื่อเห็นว่าลูกชายยังสามารถลุกขึ้นยืนแล้วพูดได้ นั้นก็หมายความว่าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรมาก
“เยี่ยตงผิง มีใครเป็นพ่อแบบคุณบ้าง?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนที่สภาพดูน่าเวทนา ซ่งเวยหลันรู้สึกโมโหในใจไม่มีที่ระบาย ทันใดนั้นก็ส่งเสียงโวยวายใส่สามี “ลูกชายกลายเป็นสภาพแบบนี้แล้ว เธอยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก? ถ้ารู้แต่แรก ตอนนั้นฉันคงพาเยี่ยเทียนกลับไปอยู่อเมริกาแล้ว!”
“ผม…ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนี่นา?” เยี่ยตงผิงมองไปที่ลูกชายสีหน้าที่ซ่อนความขมขื่น ตอนนี้เขารู้สึกว่าฐานะของตัวเองที่อยู่ในบ้านยิ่งลดลงเรื่อยๆ
“ผมว่า พวกท่านทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลยดีไหมครับ?”
เยี่ยเทียนมองไปที่พ่อแม่อย่างร้องไม่ได้หัวเราะไม่ออก พลางพูดออกมาด้วยเสียงที่เหนื่อยล้า “ผมยังต้องทานยาอีกนะ เมื่อวานก็ยุ่งทั้งคืนเลย ได้โปรดให้ผมได้พักผ่อนสักหน่อยเถอะครับ”
พูดความจริง เยี่ยเทียนก็สงสารพ่อมากๆ พวกเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมากว่ายี่สิบปี ความสัมพันธ์เป็นเหมือนพี่น้องมากกว่า ปกติเวลาพูดคุยกันก็ไม่ค่อยได้ระวังอะไรมากมาย
แต่ว่าหลังจากที่ซ่งเวยหลันเข้ามาในชีวิตของทั้งสองคน มีเรื่องมากมายเกิดความเปลี่ยนแปลง ขอเพียงพ่อพูดประโยคหนักนิดเดียว แม่ก็จะไม่ตอบ ทั้งสองคนทะเลาะกันทุกครั้ง สาเหตุหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เพราะเยี่ยเทียนลูกชายคนนี้
“ได้ เยี่ยเทียน เร็ว รีบทานยาเร็วๆ ถูกพ่อของลูกทำให้โกรธจนสับสนไปหมดแล้ว!”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของลูกชาย ซ่งเวยหลันหยุดทะเลาะทันที ยื่นมือประคองเยี่ยเทียน พาเขาไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก
ต่อหน้าลูกชายและสามี ซ่งเวยหลันไม่เคยแสดงท่าทีที่น่าเกรงขามในฐานะเจ้าของบริษัทข้ามชาติเลย ถ้าหากไม่ได้ออกไปทานข้าวนอกบ้าน เรื่องล้างผักทำกับข้าวก็คือหน้าที่ของเธอ จากจุดนี้ ซ่งเวยหลันถือว่าเป็นทั้งแม่ที่ดีและภรรยาที่ดีเลยทีเดียว
“ศิษย์พี่ ทานสามครั้งทุกวัน และอาการบาดเจ็บของพวกพี่ก็จะดีขึ้นภายในสามวันครับ!” หลังจากที่ถามถึงยาต้มตามใบสั่งยาทั้งสามขวดในกระติกน้ำร้อนกับโจวเซี่ยวเทียนอย่างละเอียดแล้ว เยี่ยเทียนก็เลื่อนกระติกน้ำร้อนทั้งสองขวดไปที่หน้าของโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น
สรรพคุณของยาจีนทั้งสองอย่างที่เขาเอามาผสมเข้าด้วยกันมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ลักษณะยาที่ให้โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นจะค่อนข้างอ่อนกว่านิดหน่อย ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับเส้นลมปราณ แต่ยาของเขานั้น เอาไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอวัยวะที่อยู่ภายใน
โจวเซี่ยวเทียนทำงานละเอียดมาก ซื้อกระติกน้ำร้อนสามขวนมาใส่ยาที่ต้มเสร็จโดยเฉพาะ หลังจากที่เปิดกระติกน้ำร้อน ไอร้อนก็ลอยขึ้นมา ห้องรับแขกอวบอวลไปด้วยกลิ่นยาจีน
หลังจากที่ดื่มยาจีนเข้าไปในท้องแล้ว ร่างกายของเยี่ยเทียนก็มีเหงื่อไหลออกมาเยอะมาก ใบหน้าสีเหลืองของเขาก็กลับมาดีขึ้นกว่าเดิม แต่ว่าก็ยังมีสภาพที่ป่วยและอ่อนแรงอยู่
“เฮ้ พ่อว่านะ แกอยู่ที่นี่แตกต่างจากเมื่อสองสามก่อนมากหรือเปล่า?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังดื่มยา เยี่ยตงผิงก็เดินไปปิดประตูของบ้าน พอตอนที่เดินกลับมาสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความงามในสวน
“ที่ผมเป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่เพราะค่ายกลนี้หรือ?”
เรื่องของค่ายกลรวมรวมพลังเหนือธรรมชาติในเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่ง พ่อก็รู้ เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้คิดปิดบังพวกเขา และอธิบายให้ฟังอย่างง่าย
“มหัศจรรย์ขนาดนี้เชียว?”
หลังจากที่ได้ยินลูกชายพูดเสร็จ ซ่งเวยหลันก็รีบวิ่งไปที่ประตูแล้วมองดูด้วยความแปลกใจมาก ถึงเธอจะมีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่อดตกตระลึงกับความสวยงามของวิวที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้
ปุยเมฆเป็นสายที่ไม่กระจัดกระจายอยู่กันเป็นกลุ่ม พระอาทิตย์ที่ส่องแสงลงมากระทบ ทำให้เกิดสีสันสวยงามมากมาย พลิ้วไหวอยู่กลางสวนดอกไม้พืชพรรณ มองดูแล้วคล้ายกับอยู่ในสวรรค์วิมาน
“ทำไมฉัน…ทำไมฉันถึงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา?” ขณะที่หันกลับมาที่ห้องรับแขก ร่างกายของซ่งเวยหลันก็เซไปเซมา ถ้าหากไม่ได้เยี่ยตงผิงประคองไว้ อีกนิดเดียวก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้นแล้ว
“บ้าจริง ทำไมถึงลืมเรื่องที่พูดเมื่อครู่นะ?”
หลังจากที่ได้เห็นท่าทางของแม่แล้ว เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะด่าตัวเอง เมื่อครู่ตอนที่เข้าไปห้ามพ่อแม่ทะเลาะกัน บวกกับตัวเองทานยาแล้ว แต่ดันลืมเรื่องที่คนธรรมดาไม่ควรอยู่ที่นี่นาน
ยังดีที่พ่อแม่อยู่ที่นี่ไม่นานเท่าไร เยี่ยเทียนจึงรีบพูด “พ่อ พวกคุณรีบขึ้นไปที่ห้องที่สามของชั้นสอง และห้ามออกมา ถ้าผมไม่ได้เรียกห้ามออกมานะครับ!”
เยี่ยเทียนได้สร้างค่ายกลภายในห้องนอนสองสามห้องของชั้นสอง เพื่อแยกพลังเหนือธรรมชาติไม่ให้เข้ามา อีกอย่างหนึ่งคือสามารถให้คนปกติทั่วไปอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวก่อน
เยี่ยเทียนมอบหยกสีแดงชั้นสูงชิ้นนั้นให้กับจั่วเจียจวิ้น นอกจากกำไลหยกเลือดที่แกะสลักแล้ว ยังเหลือพวกวัสดุที่แตกเป็นเศษจำนวนหนึ่ง ได้ถูกเยี่ยเทียนขอกลับมาทั้งหมด
จากขนาดของวัสดุชิ้นใหญ่ชิ้นน้อยนี้ ถูกแบ่งออกมาเพื่อดัดแปลงและแกะสลักให้กลายเป็นจี้ ต่างหูกับเครื่องแขวนเครื่องประดับชิ้นเล็ก และเตรียมที่จะใช้วิธีการแกะสลักขนาดเล็กแกะสลักบนค่ายกล
ซึ่งแตกต่างจากค่ายกลรวบรวมพลังวิญญาณที่เยี่ยเทียนแกะสลักเป็นปกติ ที่เขาแกะสลักในครั้งนี้กลับเป็นค่ายกลแยกพลังวิญญาณ หากคนธรรมดาทั่วไปใส่เครื่องประดับเหล่านี้ ก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ปกติในบ้านหลังนี้
แต่เวลากระชั้นชิดมากเกินไป เยี่ยเทียนแค่แกะสลักพวกเครื่องประดับหยกแดงชั้นดีเหล่านั้น แต่ยังไม่ทันได้สลักฝังค่ายกลลงไป พ่อกับแม่ก็มาถึงเสียก่อน
หลังจากที่เห็นว่าแม่เดินไปถึงห้องที่อยู่ชั้นสอง อาการเวียนหัวก็ลดลงทันที เยี่ยเทียนจึงถอนหายใจโล่งอก ค่ายกลแยกพลังวิญญาณนั้นเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ดูแล้วประสิทธิภาพของมันก็ถือว่าใช้ได้เลย
ตอนนี้ชี่แท้ของเยี่ยเทียนเหมือนกับถูกโจรขโมยไปจนหมด อีกทั้งยังไม่มีความสามารถไปแกะสลักเครื่องประดับค่ายกล ด้วยความจนใจเยี่ยตงผิงสามีภรรยาทั้งสองจึงได้แต่ออกไปจากคฤหาสน์ และพักที่บ้านของจั่วเจียจวิ้นต่อ
สำหรับวรยุทธของโจวเซี่ยวเทียนนั้นได้ฝึกถึงขั้นพลังแฝงแล้ว ตอนกลางวันฝึกวรยุทธที่ในบ้าน ตอนกลางคืนก็ไปนอนในห้องที่มีค่ายกลอยู่ จึงไม่รู้สึกคาดไม่ถึงกับพลังวิญญาณที่มากเกินไป
เวลาผ่านไปห้าวัน จากการดื่มยาบำรุงร่างกายทุกวัน บาดแผลของโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นก็กลับมาดีขึ้นแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกวรยุทธได้มีการพัฒนาเล็กน้อย
เยี่ยเทียนยังหนุ่มกว่าพวกเขาทั้งสองคน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บหนักกว่า แต่ก็ฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมได้สามสี่ส่วน ใบหน้าซีดเหลืองของเขากลายเป็นขาวซีด มองดูแล้วก็ยังเหมือนคนป่วย แต่ไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเขา
อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็เริ่มยุ่งงานขึ้นมา ถึงแม้สำนักฮวงจุ้ยจะสร้างเสร็จแล้ว แต่เรื่องที่ตามมาทีหลังก็มีไม่น้อยเลย อีกทั้งเขายังต้องเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำเพื่อฟังคำอธิบายคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้อง อธิบายบทบาทของสำนักฮวงจุ้ยให้สมาชิกรัฐสภา
แท้จริงแล้ว จั่วเจียจวิ้นไม่ต้องพูดอะไรมากมายก็ได้ เพราะสำนักฮวงจุ้ยนี้มีประโยชน์ที่เด่นชัดอยู่แล้ว
ฤดูร้อนที่ผ่านมา สวนสนุกใกล้ทะเลที่ถูกทิ้งร้างอย่างผิดปกติ แต่ปีนี้กลับเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว นำผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมาสู่หมู่บ้านชาวประมงที่อยู่โดยรอบ สิ่งเหล่านี้มีสาเหตุมาจากสำนักฮวงจุ้ย
……
“ศิษย์น้องเล็ก ทิศตะวันออกประชิดทะเล พลังเหนือธรรมชาติที่มีอย่างต่อเนื่อง สถานที่นี้สามารถใช้เป็นแท่นบูชาของสำนักเสื้อป่านของพวกเราได้แล้ว!”
เมื่อยืนอยู่ที่จุดชมวิว โก่วซินเจียจึงอารมณ์ดีมาก เขาไม่เคยคิดว่าหลังจากที่ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ในป่ามาสี่ห้าสิบปี คาดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้ชีวิตบั้นปลายโลกที่มีที่เป็นดั่งสวรรค์อย่างมีความสุขเช่นนี้
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกับศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ผมยังต้องไปๆ มาๆ ระหว่างปักกิ่งกับฮ่องกงอยู่”
ที่เยี่ยเทียนสร้างค่ายกลนี้สาเหตุก็มาจากสิ่งแวดล้อม แต่ว่ารากฐานของเขายังอยู่ในประเทศจีน มีคู่หมั้นที่กำลังรอเขาอยู่ที่บ้านในที่ปักกิ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องเล็ก พวกนายทั้งสองนี้ว่างจริงๆ เลยนะ!”
เยี่ยเทียนที่กำลังพูดอยู่กับโก่วซินเจีย จั่วเจียนจวิ้นก็เดินเข้ามาจากด้านนอก พูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก มีพิธีเสร็จสิ้นในการวางเสา ฮวงจุ้ยในวันพรุ่งนี้ นายอยากจะมาร่วมงานไหม?”
การสรรเสริญจากโลกภายนอกในทุกวันนี้ ผลักดันให้จั่วเจียจวิ้นไปอยู่บนบัลลังก์ของซินแสฮวงจุ้ยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ว่าคนในครอบครัวก็รู้เรื่องในครอบครัว จั่วเจียจวิ้นไม่กล้าใช้คุณงามความดีนี้มาเป็นของตัวเอง
………………………………………………