“อะแฮ่ม” จี๋เหล่าต้ากระแอมหนึ่งที แล้วตอบว่า “ท่านเยี่ย เจ้านี่มันเป็นลูกน้องผมคนหนึ่งที่ทำความผิดไป ก็เลยลงโทษมันเสียหน่อยเท่านั้นเองครับ”
“แกนี่ชอบเข้มงวดกับคนอื่น แต่ใจกว้างกับตัวเองอย่างนั้นสินะ?” เยี่ยเทียนพูดเสียดสีจี๋เหล่าต้า แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจชายคนที่อยู่ตรงหน้าอีก
ควรทราบว่า ไม่ว่าจะสมัยไหน ยุทธภพก็เป็นแวดวงหนึ่งที่แยกตัวออกจากสังคมปกติ คุณจึงไม่สามารถใช้มาตรฐานทางกฎหมายมาตัดสินการกระทำของคนเหล่านี้ได้
อย่าว่าแต่การลงโทษกันเองอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เลย ต่อให้มีคนตายไปสักสามสี่คนก็ยังถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มาตรการโหดของรัฐหลายครั้งก็มีเป้าหมายที่จะจัดการกับกลุ่มสังคมประเภทนี้นี่เอง
“ห้องทำพิธีของแกนี่ติดตั้งอุปกรณ์ไว้พร้อมเชียวนะ”
เยี่ยเทียนเหลือบมองไปบนผนังห้องใต้ดินทั้งสี่ด้าน แล้วก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดูท่าจี๋เหล่าต้านี่คงจะเป็นคนหัวอนุรักษ์นิยมสุดๆ ถึงได้รวบรวมเครื่องมือลงทัณฑ์สมัยโบราณไว้ได้มากมายปานนี้
“ท่านเยี่ย พวกลูกน้องในพรรคชอบทำผิดอยู่บ่อยๆ ผมก็เลยจำเป็นต้องทำแบบนี้แหละครับ”
จี๋เหล่าต้ามองหลิวเหล่าเอ้อร์ที่อยู่บนเสาไม้แวบหนึ่งอย่างกังวลใจ กลัวว่ามันจะฟื้นขึ้นมา หลังจากอธิบายแล้วเขาจึงพูดต่อไปว่า “ท่านเยี่ยรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปนำเงินมาให้…”
จี๋เหล่าต้าพูดพลางเดินไปคลำหาบนชั้นไม้ที่วางเครื่องมือลงโทษไว้ เขาไปขยับกลไกอะไรก็ไม่ทราบ ที่ผนังทางด้านขวาของเสาไม้จึงเผยตู้นิรภัยตู้หนึ่งออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
“ท่านเยี่ยครับ เงินพวกนั้นผมฝากไว้ในธนาคารทั้งหมดเลย เป็นบัตรแบบไม่ลงนาม รหัสคือ 219892”
จี๋เหล่าต้าสองมือเปิดตู้นิรภัยซึ่งมีความสูงพอๆ กับคนหนึ่งคน ปากก็พูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ในหลายปีที่ผ่านมากระผมก็ยังมีสังหาริมทรัพย์อยู่อีกนิดหน่อย ยินดีมอบให้ท่านเยี่ยทั้งหมดเลย ต้องขอให้ท่านเยี่ยโปรดละเว้นกระผมด้วย โทษตัดมือเท้านี่ละเว้นไปเถอะนะครับ?”
จี๋เหล่าต้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง แต่บนใบหน้าซึ่งกำลังหันหลังให้เยี่ยเทียนอยู่นั้น กลับปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมดุร้าย ทรัพย์สมบัติที่เขาสะสมมาตั้งหลายสิบปีและมือเท้าของเขานั้น จะยกให้คนอื่นไปง่ายๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน?
เรื่องที่จี๋เหล่าต้าขี้ขลาดนั้นเป็นข้อเท็จจริง แต่กระต่ายเวลาคลั่งขึ้นมามันก็กัดคนได้เหมือนกัน เงื่อนไขที่เยี่ยเทียนเสนอมานั้น เกินกว่าขีดจำกัดในใจของเขาไปแล้ว การที่จี๋เหล่าต้าชักนำเยี่ยเทียนมาที่ห้องใต้ดินนี้ ก็เพื่อที่จะต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย
เยี่ยเทียนมองไปที่หลังของจี๋เหล่าต้าอย่างตรึกตรอง “เออ ปล่อยแกไปสักครั้งมันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้นะ อยู่ที่ว่าแกจะจริงใจสักแค่ไหนนั่นแหละ!”
ร่างกายของแต่ละคนนั้น ต่างก็มีสนามพลังปราณของตัวเองอยู่ และระหว่างสนามพลังกับสนามพลังด้วยกัน ก็มักจะสามารถรับรู้สัมผัสถึงกันและกันได้
เราทุกคนก็อาจจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้กันมาแล้ว อย่างเช่นสมมติเวลาที่คุณจับจ้องไปที่ใครสักคนหนึ่งในบรรดาผู้คน ถ้าคนผู้นั้นมีการตอบสนองที่ปกติ ไม่นานก็จะรู้สึกถึงสายตาของคุณได้และมองตอบมาทางคุณ นี่ก็คือความสามารถในการตอบสนองต่อสนามพลังอย่างหนึ่งนั่นเอง
จิตสังหารก็เป็นสนามพลังอย่างหนึ่งเช่นกัน เหมือนอย่างเวลาที่คนอื่นจ้องมาที่คุณ คุณก็จะสามารถดูจากแววตาของเขาได้อย่างง่ายดายว่ามีจุดประสงค์ดีหรือร้าย
นักฆ่าอับดับต้นๆ ที่แท้จริงนั้น ต่อให้ไปยืนอยู่ตรงหน้าคนที่เป็นเป้าหมาย ก็จะไม่มีจิตสังหารแผ่ออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนั่นจะทำให้โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในการสังหารลดลงอย่างมากทีเดียว
อดีตเมื่อครั้งที่จิงเคอสังหารฉินอ๋องนั้น หากเขาแผ่จิตสังหารออกมาแม้แต่น้อย ก็จะไม่มีทางดำเนินตามแผนการไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายได้เลย และคงจะถูกพวกองครักษ์จับกุมตัวไปเสียก่อน
ส่วนจี๋เหล่าต้าถึงจะรู้ศาสตร์การเสี่ยงทายอยู่บ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจในประเด็นนี้ เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่า ความคิดในใจของเขาได้ปรากฏแก่สายตาของเยี่ยเทียนอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋มาตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากใส่รหัสอันมากมายซับซ้อนเข้าไป เสียง “กริ๊ก” ก็ดังขึ้นเบาๆ ประตูตู้นิรภัยเคลื่อนไหวเล็กน้อย ขณะที่จี๋เหล่าต้าเปิดตู้นิรภัยออกมา บนฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเหงื่อแล้ว
เนื่องจากร่างของเขาบดบังตู้นิรภัยไปทั้งหมด จี๋เหล่าต้าจึงไม่ห่วงเลยว่าเยี่ยเทียนที่อยู่ข้างหลังจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของเขา หลังจากเปิดตู้นิรภัยแล้ว มือขวาก็คลำหาปืนพกกระบอกหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นที่สาม
ภาษิตว่า กระต่ายเจ้าเล่ห์มักมีหลายโพรง แต่ต่อให้เป็นกระต่ายที่เจ้าเล่ห์สักขนาดไหน ก็ต้องมีวันที่จะถูกต้อนจนมุมอยู่ในรังเหมือนกัน ปืนพกที่อยู่ในตู้นิรภัยนี้ ก็คือทางหนีสุดท้ายของจี๋เหล่าต้านั่นเอง
ทุกครั้งที่จี๋เหล่าต้าจะอยู่อาศัยที่ไหนเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะต้องเช็ดทำความสะอาดอาวุธปืนที่ซ่อนไว้ที่นั่นเป็นประจำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกกระสุนในกระบอกสามารถที่จะยิงออกไปได้ทุกเมื่อ
“ท่านเยี่ยครับ นอกจากเงินสามสิบล้านนั่น นี่ผมยังมีทองคำแท่งเล็กอยู่อีกห้าสิบแท่ง เป็นของท่านหมดเลยครับ หรือไม่ ท่านจะตรวจดูก่อนไหมล่ะครับ?”
มือขวากุมด้ามปืน .45 อันเย็นเยียบไว้ บนใบหน้าของจี๋เหล่าต้าปรากฏรอยยิ้มร้าย ยอดฝีมือแห่งยุทธภพแล้วยังไงล่ะ? เป็นคนในวงการศาสตร์ลับแล้วจะทำจะไรได้ล่ะ? แม้แต่มือดาบใหญ่หวังอู่ก็ยังต้องตายเพราะปืน เขาไม่เชื่อหรอกว่า ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเขาคนนี้จะคงกระพันฟันแทงไม่เข้า
จี๋เหล่าต้าแนบปืนพกไว้กับหน้าอก แล้วค่อยๆ ขยับกายเคลื่อนไปข้างๆ เขาจะรอให้เยี่ยเทียนเข้ามาตรวจดูตู้นิรภัย จากนั้นก็จะปลิดชีวิตเขาด้วยปืนนัดเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้จี๋เหล่าต้ารู้สึกประหลาดใจคือ เยี่ยเทียนกลับไม่เดินเข้ามา ในใจเริ่มตึงเครียด จี๋เหล่าต้าหันขวับไปโดยพลัน แล้วยกมือขึ้นมายิงปืนไปทางเยี่ยเทียนหนึ่งนัด
ขณะเดียวกันกับที่จี๋เหล่าต้าหันกายมา ประกายสีดำดุดันสายหนึ่งก็พุ่งออกไปจากฝ่ามือของเยี่ยเทียน ตรงเข้าไปปักที่ข้อมือข้างขวาของจี๋เหล่าต้าแทบจะเป็นเวลาเดียวกับตอนที่เขาลั่นไกปืน
“ปัง!”
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ยิ่งเมื่ออยู่ในห้องใต้ดินที่ปิดอย่างมิดชิดแบบนี้แล้ว เสียงก็ยิ่งดังสะเทือนกึกก้องจนทำให้ปวดแก้วหูไปวูบหนึ่ง
ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น หลิวเหล่าเอ้อร์ที่ถูกมัดติดกับเสาก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างสั่นสะท้าน เพราะตอนที่จี๋เหล่าต้ายิงปืนไปเมื่อครู่นั้น กลับกลายเป็นยิงไปที่ต้นขาของเขาแทน
เมื่อเห็นว่าตัวเองยิงพลาดเป้าไป จี๋เหล่าต้าก็ฝืนทนความเจ็บปวดที่มือขวา แล้วก้มลงไปหมายจะใช้มือซ้ายเก็บปืนพกที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา
แต่ขณะที่มือซ้ายของจี๋เหล่าต้าจับด้ามปืนไว้แล้วนั้น เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบลงไปบนหลังมือของเขา เกิดเสียงดัง “กร๊อบ” เอ็นและกระดูกมือซ้ายของจี๋เหล่าต้าแตกหักไปทั้งมือ
“อ๊าก…อ๊าก!”
ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทำให้จี๋เหล่าต้าร้องโหยหวนออกมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น แต่ห้องลับของเขานี้มีคุณสมบัติในการเก็บเสียงอย่างดีเยี่ยม ถึงเขาจะตะโกนจนคอแตก ก็อย่านึกเลยว่าเสียงจะดังเล็ดรอดออกไปได้
“คิดจะเล่นสกปรกกับข้า เอ็งน่ะยังมีความสามารถไม่พอหรอก!”
ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนอายุสิบขวบต้นๆ ก็ได้ท่องไปตามที่ต่างๆ ในยุทธภพแล้ว เคยเห็นพวกที่เรียกตัวเองเป็นเจ้าพ่อที่ชอบซ่อนมีดไว้ใต้มือมานักต่อนักแล้ว แล้วลูกไม้นี้ของจี๋เหล่าต้าจะรอดสายตาเขาไปได้อย่างไรกัน?
ในใจนึกชังความชั่วร้ายของจี๋เหล่าต้า หลังจากเหยียบมือของเขาหักไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลย ขณะที่จี๋เหล่าต้ากำลังกลิ้งไปกับพื้น เท้าซ้ายและเท้าขวาก็ก้าวออกไปพร้อมกัน กระทืบลงไปที่ตำแหน่งโคนขาทั้งสองข้างของจี๋เหล่าต้า
เมื่อเท้าสองข้างกระทืบลงไป จี๋เหล่าต้าที่ตอนแรกยังร้องโหยหวนอยู่ก็เหมือนกับไก่โต้งที่ถูกบีบคอ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดหยุดชะงักไปทันที แล้วเขาก็สลบเหมือดไปเลย
“รนหาที่ตายนัก!”
กับคนประเภทอย่างจี๋เหล่าต้านี้ เยี่ยเทียนไม่มีความรู้สึกสงสารให้เลยแม้แต่น้อย เขาใช้ส้นเท้าเตะร่างอีกฝ่ายกระเด็นไปอยู่ข้างเสา เปิดทางให้เยี่ยเทียนเดินเข้าไปตรวจดูตู้นิรภัย
“ก็ไม่ได้พูดโกหกนี่หว่า?”
เยี่ยเทียนมองแวบแรกก็เห็นทองคำที่กองเรียงอยู่ในตู้นิรภัยแล้ว แต่ละแท่งหนักประมาาณสามร้อยกรัม เป็นทองคำแท่งเล็กชนิดที่นิยมกันในสมัยก่อนสถาปนาประเทศนั่นเอง
ทองคำแท่งเล็กห้าสิบแท่งนั้น จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อยเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีมูลค่าถึงหนึ่งล้านกว่าๆ
นอกจากทองคำแท่งเล็กเหล่านี้ ที่ชั้นบนของตู้นิรภัยยังมีเครื่องประดับจำพวกสร้อยคอทองคำวางอยู่อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินหยวนอีกเป็นปึกๆ เยี่ยเทียนกะดูด้วยสายตาแล้วน่าจะมีอยู่หลายแสน
หลังจากตรวจดูชั้นบนๆ ของตู้นิรภัยเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็ยื่นมือลงไปเปิดลิ้นชักที่อยู่ข้างล่าง ในตู้นิรภัยขนาดใหญ่แบบนี้ ปกติมักจะซ่อนของที่มีมูลค่ามากที่สุดไว้ข้างล่าง
“ช่วย…ช่วยด้วย!”
ขณะที่กำลังจะเปิดลิ้นชักเหล็กนั้นออกมา เสียงอ่อนระโหยเสียงหนึ่งก็ดังมาเข้าหูเยี่ยเทียน พอหันหน้าไปดูก็เห็นว่า ชายคนที่ตอนแรกสลบอยู่กับเสานั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว
“แกเป็นใคร?” การที่เยี่ยเทียนลงโทษจี๋เหล่าต้าไปนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีอารมณ์อยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน คนที่อยู่บนเสานี่จะเป็นจะตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ?
“ท่านครับ ผม…หลิว…หลิว เหล่าเอ้อร์ไง!”
หลิวเหล่าเอ้อร์ตอนแรกก็คิดจะเรียกเขาว่าท่านเยี่ย แต่ลำคออันแห้งผากนั้นทำให้เสียงที่เปล่งออกมาเพี้ยนไป หลังจากพยายามอย่างสุดกำลัง สุดท้ายหลิวเหล่าเอ้อร์ก็พูดชื่อของตัวเองออกมาได้
“แก…แกคือหลิวเหล่าเอ้อร์งั้นรึ?”
เยี่ยเทียนอึ้งไปทันทีที่ได้ยิน เขานึกไม่ถึงเลยว่า ตาคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนี้ จะกลายเป็นหลิวเหล่าเอ้อร์ที่เป็นคนจัดฉากร่วมกับเปาเฟิงหลิงไปได้
เยี่ยเทียนไม่สนใจคราบโลหิตที่มีอยู่ทั่วร่างของหลิวเหล่าเอ้อร์ ทาบมือขวาไปที่ท้องน้อยของเขา พลังปราณแผ่ออกมา เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงพลังพิฆาตที่ตนปล่อยไว้ในร่างของอีกฝ่ายได้ทันที
“เวรกรรม มันไม่ใช่คนแล้วนะเนี่ย กับพวกเดียวกันยังโหดขนาดนี้เลยรึ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ควบคุมจิตดูดพลังพิฆาตในร่างกายของหลิวเหล่าเอ้อร์ออกมา มือซ้ายปาดไปข้างตัวหนึ่งที แล้วเชือกป่านที่ชุ่มน้ำนั้นก็ขาดสะบั้น
แต่ขาทั้งสองข้างของหลิวเหล่าเอ้อร์ไม่สามารถรับน้ำหนักของเขาไว้ได้แล้ว เมื่อเชือกคลายออก ทั้งร่างก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นทันที โดยฟุบลงไปบนร่างของจี๋เหล่าต้าที่สลบไปแล้วพอดี
“ฮื่อ…ฮื่อๆ” ผ่านดวงตาอันหรี่เล็กเพราะถูกทุบตีนั้น หลิวเหล่าเอ้อร์มองเห็นคนที่อยู่ข้างใต้อย่างชัดเจน แล้วลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมาทันที
เมื่อนึกถึงการทรมานที่ตนได้รับในหลายวันที่ผ่านมานี้ หลิวเหล่าเอ้อร์ก็ได้แรงมาจากไหนไม่ทราบ ปากเปล่งเสียงคำรามออกมาราวกับสัตว์ป่า แล้วกัดไปที่คอของจี๋เหล่าต้า
“ปล่อย…ปล่อยฉัน!”
จี๋เหล่าต้าซึ่งกำลังสลบอยู่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นมาจากลำคอ หลังจากฟื้นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า กลับพบว่ามีเจ้าตัวที่คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงกำลังหมอบอยู่บนร่าง จึงแตกตื่นขวัญกระเจิงไปทันที และคิดจะยกมือขึ้นมาผลักเจ้าคนนี้ออกไป
แต่เมื่อจี๋เหล่าต้ายกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วถึงจะพบว่า มือทั้งสองข้างที่อ่อนปวกเปียกนั้นไม่ขยับตามคำสั่งของเขาเลย และเจ้าคนนั้นก็กัดอย่างดุเดือดมากขึ้น ขณะเดียวกันยังดูดเลือดเขาไปอึกใหญ่อีกด้วย
จี๋เหล่าต้ารู้สึกร้อนที่ลำคอ เบื้องหน้าสายตากลายเป็นสีแดงไปหมด เรี่ยวแรงทั้งร่างก็เหือดหายไปเหมือนกับเวลาน้ำลง เพราะเส้นเลือดใหญ่ที่คอถูกฝ่ายตรงข้ามกัดทะลุไปแล้วนั่นเอง
ยามนั้นจี๋เหล่าต้าจำได้แล้วว่าเจ้าคนนี้เป็นใคร บนใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขมขื่น ปากกระอักฟองเลือดออกมา แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “กรรมสนอง โดน…กรรมสนองแท้ๆ เลย!”
หลิวเหล่าเอ้อร์ที่หมอบอยู่บนร่างของจี๋เหล่าต้านั้นขาดสติไปนานแล้ว กลืนโลหิตของคนที่ตนแค้นลงไปอึกใหญ่ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอย่างพึงพอใจแบบหนึ่ง สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้ว ทำให้บรรยากาศดูพิสดารอย่างบอกไม่ถูก
…………………………………