สำหรับเมืองที่ไม่มีทิวทัศน์ท้องทะเลแล้ว บ้านที่มีทิวทัศน์แม่น้ำหรืออยู่ใกล้กับภูเขาโดยปกติจึงเป็นถิ่นของคนรวย
รถของจี๋เหล่าต้าขับเข้าสู่หมู่บ้านริมแม่น้ำในเมืองอย่างช้าๆ ที่นี่สร้างขึ้นเลียนแบบหมู่บ้านจัดสรรตามมาตรฐานอย่างที่ฮ่องกงและไต้หวัน เวลารถยนต์จะเข้าออกหมู่บ้านก็ต้องรูดบัตรก่อน และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างรัดกุมมาก
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า เมื่อสองวันก่อนหน้านี้เอง หลิวเหล่าเอ้อร์ถูกมัดอย่างกับลูกบะจ่าง และถูกปิดปากยัดไว้ในกระโปรงหลังรถพาเข้าหมู่บ้านมา
ในหมู่บ้านแห่งนี้ จี๋เหล่าต้ามีสถานะเป็นเถ้าแก่ของบริษัทลงทุนการค้าระหว่างประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางเข้าออกด้วยรถเบนซ์เสมอ บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนต่างก็เห็นเขาเป็นแบบอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครคาดเดาถึงตัวตนที่แท้จริงของจี๋เหล่าต้าได้เลย
ดังนั้นจึงไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยมากไปกว่าที่นี่อีกแล้ว สโลแกนรักษาความเป็นส่วนตัวที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยึดถืออยู่นี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ดำเนินธุรกิจดำมืดต่างๆ ของจี๋เหล่าต้า
“ลูกพี่ มาแล้วหรือครับ?”
เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ข้างนอก ประตูใหญ่ของบ้านก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างบึกบึนสองคนเดินออกมาจากในบ้าน แล้วช่วยเปิดประตูรถให้จี๋เหล่าต้า
“นี่พวกแกน่ะอย่าเอาแต่แต่งตัวอย่างกับพวกองค์กรใต้ดินสิ พวกแกเป็นพนักงานบริษัทนะ เวรเอ๊ย มีแต่พวกหน้าไม่ให้ แต่งตัวไม่ขึ้นทั้งนั้นเลย”
เมื่อเห็นลูกน้องใส่เสื้อกล้ามรัดรูปทั้งๆ ที่เป็นฤดูหนาว เผยให้เห็นรอยสักบนแขน จี๋เหล่าต้าก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แล้วถามขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดี “เป็นไงบ้าง? ไอ้หมอนั่นมันพูดความจริงหรือเปล่า?”
ระหว่างที่เปิดทางให้จี๋เหล่าต้าเข้าไปในบ้าน ชายร่างบึกคนหนึ่งก็ตอบอย่างระมัดระวังว่า “ลูกพี่ครับ ผมว่าหลิวเอ้อร์ไม่น่าจะพูดโกหก ตอนที่พวกเราไปที่โรงแรมนั่น ไอ้แซ่เปาน่าจะเพิ่งหนีไปได้ไม่นาน น้ำชาในห้องก็ยังร้อนๆ อยู่เลยครับ”
“พวกแกนี่มันทำอะไรไม่ได้เลยรึไงวะ? หนานชางก็ใหญ่อยู่แค่นั้น จะสามวันแล้วยังหาตัวไม่เจออีก แกยังจะมีหน้ามาพูดอีกเรอะ?”
จี๋เหล่าต้าตบด้านหลังศีรษะของชายร่างบึกที่อยู่ข้างหน้าไปหนึ่งฉาด แล้วพูดว่า “ฉันจะไปถามหลิวเหล่าเอ้อร์ดูอีก ไอ้คนที่ปักกิ่งนั่นมันต้องไม่ใช่พวกธรรมดาๆ แน่ ถ้าข่าวที่ฉันกลับมาเกิดแพร่ออกไปละก็เป็นเรื่องยุ่งกันใหญ่ละทีนี้!”
เวลาอยู่ข้างนอกถึงจี๋เหล่าต้าจะทำตัวหยาบช้าสุดๆ แต่บ้านหลังนี้กลับจัดแต่งอย่างเรียบง่ายงดงาม บ้านทั้งหลังไม่มีของประดับที่หรูหราแพรวพราวเลยสักชิ้น บนผนังก็แขวนภาพเขียนอักษรของศิลปินที่มีชื่อเสียงไว้หลายภาพ
ที่มุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่ของบ้านยังปลูกต้นไผ่ไว้กอหนึ่งด้วย คนที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของจี๋เหล่าต้ามาก่อน ก็คงจะนึกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนที่หลงใหลในวัฒนธรรมไปเสียอีก
แต่ถ้าเยี่ยเทียนมาอยู่ที่นี่ละก็ เขาก็คงจะดูออกว่า การตกแต่งภายในบ้านหลังนี้แฝงหลักการฮวงจุ้ยอยู่ น้ำเต้า ฮวงจุ้ยที่แขวนอยู่ตรงประตูใบนั้น ก็มีไว้สำหรับขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัยนั่นเอง
หลังจากเข้าไปในห้องรับแขก จี๋เหล่าต้าก็เดินตรงไปที่ผนังกั้นปลายบันไดซึ่งแขวนภาพเขียนอักษรไว้ ชายร่างบึกที่อยู่ข้างหน้าเขาก้าวออกไปก่อน เมื่อปลดภาพเขียนอักษรลงมา ก็ปรากฏปุ่มหน้าตาคล้ายสวิตช์ไฟปุ่มหนึ่งบนผนัง
เมื่อยื่นมือไปกดปุ่มสวิตช์นั้น บันไดที่ทอดลงสู่เบื้องล่างก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบเชียบบนพื้นด้านหน้าผนัง ดวงไฟบนผนังในโถงบันไดนั้นเปิดด้วยเสียง ขณะเดียวกับประตูลับนั้นเปิดออก แสงไฟก็สว่างขึ้นมาด้วย
“ลูกพี่ เชิญครับ…” ชายร่างบึกขยับร่างเปิดทางให้
“ไอ้เวร เรียกท่านประธานสิวะ บอกตั้งกี่หนแล้วเนี่ย?” จี๋เหล่าต้าขึงตาใส่ลูกน้อง แล้วถึงจะเข้าไปในห้องใต้ดิน
ห้องใต้ดินนั้นมีความลึกเกินกว่าที่จะใช้เป็นห้องเก็บของธรรมดาทั่วไป โดยต้องเดินลงไปลึกถึงเจ็ดแปดเมตร หลังจากเปิดประตูลับออกแล้ว ห้องนั่งเล่นที่มีพื้นที่กว้างถึงสิบเจ็ดสิบแปดตารางเมตรห้องหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา
บนผนังสี่ด้านของห้องนั่งเล่นนี้ มีแส้หนังและเครื่องทรมานต่างๆ นานาแขวนอยู่เต็มไปหมด จี๋เหล่าต้าซึมซับสิ่งไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก จึงลอกเลียนแบบสิ่งของที่พ่อซึ่งตายไปแล้วเคยใช้มาก่อน
ตรงกลางห้องนั่งเล่นมีเสาไม้สูงประมาณสองเมตรอยู่ต้นหนึ่ง ตั้งแต่ยอดลงไปจนถึงโคน ล้วนเต็มไปด้วยคราบโลหิตสีแดงคล้ำแห้งเกรอะ ไม่รู้ว่ามีคนถูกทรมานกับเสาต้นนี้ไปกี่คนแล้ว
และผู้ที่ถูกมัดติดกับเสาอยู่ในขณะนี้ ก็คือหลิวเหล่าเอ้อร์ที่เยี่ยเทียนปล่อยตัวไปนั่นเอง
อาจเพราะปกติก็มีรูปร่างค่อนข้างท้วมอยู่แล้ว ดังนั้นแม้จะประสบกับความทุกข์เข็ญเช่นเดียวกับเปาเฟิงหลิง แต่หลิวเหล่าเอ้อร์ก็ไม่ได้ผอมลงขนาดเปาเฟิงหลิง นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่เขาสะกดรอยตามจี๋เหล่าต้าไปแล้วถูกจับได้
“เหล่าเอ้อร์ แกก็ตามฉันมาตั้งหลายปีแล้ว แกคงจะรู้จักฉันดีอยู่นะ”
จี๋เหล่าต้าเดินอย่างเชื่องช้าไปจนถึงตรงหน้าเสาไม้ต้นนั้น กระแอมหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ลูกพี่ทำอะไรมีเมตตามาตลอด ตอนแรกก็นึกว่าจะพาบรรดาพี่น้องขึ้นเหนือไปช่วยพวกแก แต่พอไปถึงเมืองหลวงก็ถึงจะรู้ว่า พวกแกโดนเจ้านั่นปล่อยตัวไปแล้ว
แต่ว่านะเหล่าเอ้อร์ ตรงนี้แหละที่แกกับเสี่ยวเปาทำไม่ถูก ลูกพี่เคยทำเรื่องอะไรไม่เหมาะไม่ควรกับพวกแกรึไง? พวกแกถึงได้ไม่ไปหาฉัน ขนาดมาหนานชางแล้วก็ยังหลบลูกพี่อีก?”
จี๋เหล่าต้าแสดงสีหน้าเศร้าเสียใจ ใช้มือเชยคางของหลิวเหล่าเอ้อร์ขึ้นมา “จิ๊ๆ เหล่าเอ้อร์ ถ้าแกยอมหาตัวเสี่ยวเปาออกมา ก็คงไม่ต้องกลายเป็นสภาพนี้หรอกใช่ไหมล่ะ?”
ใบหน้าของหลิวเหล่าเอ้อร์นั้น ตอนนี้บวมฉุจนเหมือนกับแป้งหมั่นโถวที่หมักไว้จนฟูขึ้นมา ดวงตาที่ปกติโตมากก็กลายเป็นตี่เล็ก ถ้าจะหาคำบรรยายที่ทำให้เห็นภาพได้มากที่สุด ก็คงต้องเรียกว่าเหมือนหัวหมูนั่นเอง
“ฉัน…ฉันก็บอกไปหมดแล้ว เหล่า…เหล่าต้า ฆ่าฉันให้หมดเรื่องหมดราวไปเถอะนะ!” เสียงอันอ่อนระโหยของหลิวเหล่าเอ้อร์พูดขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่เพราะหลายเดือนมานี้ต้องผ่านการทรมานเคี่ยวเข็ญจากเยี่ยเทียนมาก่อน ตอนนี้หลิวเหล่าเอ้อร์ก็คงหมดความอดทนไปนานแล้ว ยามนี้ตลอดร่างของเขาไม่มีเนื้อส่วนไหนเลยที่ยังดีอยู่ แม้กระทั่งเล็บมือทั้งสิบนิ้วก็ยังถูกถอนออกไปหมด
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจี๋เหล่าต้าเอง ตั้งแต่เพิ่งจะรู้ความเขาก็ชอบฟังเสียงคนกรีดร้องเอามากๆ การที่สร้างห้องทรมานไว้ใต้ดินเช่นนี้ โดยหลักๆ แล้วก็เพื่อตอบสนองความต้องการอันวิปริตของจี๋เหล่าต้านั่นเอง
“อยากจะตายเร็วๆ รึ? ได้สิ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจี๋เหล่าต้ากลายเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้นมา หยิบคีมอันหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะข้างๆ เสา แล้วยกมือขวาของหลิวเหล่าเอ้อร์ขึ้นมา หนีบคีมลงไปที่นิ้วก้อยอย่างแรง
“อ๊าก…”
เมื่อเสียงกระดูกถูกบดแตกดังขึ้น เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับไม่ใช่มนุษย์ก็ดังออกมาจากปากของหลิวเหล่าเอ้อร์ทันที แล้วกระอักโลหิตออกมาจากปาก สาดไปที่หน้าของจี๋เหล่าต้าเต็มๆ
“รสชาตินี้มันช่างดีจริงๆ เลยนะ!”
จี๋เหล่าต้าใช้มือซ้ายปาดเช็ดใบหน้า แล้วยื่นใส่ปากเลียด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม จนชายร่างบึกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นแล้วขนลุกชัน “นี่มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่าวะ?”
เมื่อเห็นหลิวเหล่าเอ้อร์คอตกลงไปอีก จี๋เหล่าต้าก็ลงมือเอง ไปหิ้วถังน้ำเย็นๆ ที่วางอยู่มุมห้องมา แล้วสาดรดลงไปบนศีรษะของหลิวเหล่าเอ้อร์ น้ำอันเย็นเฉียบทำให้หลิวเหล่าเอ้อร์ฟื้นสติขึ้นมาอย่างสั่นเทา
“เหล่าเอ้อร์ ให้โอกาสแกอีกครั้ง จะพูดไม่พูด?”
ที่จริงจี๋เหล่าต้าก็รู้อยู่ว่า หลิวเหล่าเอ้อร์พูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาหมดแล้ว แต่เขาเพลิดเพลินกับการทรมานคนแบบนี้มาก เขายังนึกอยากให้หลิวเหล่าเอ้อร์กัดฟันยืนกรานว่า ‘ถึงฆ่าให้ตายก็ไม่บอก!’ เสียอีก
หลิวเหล่าเอ้อร์กัดลิ้นตัวเองจนขาดครึ่งไปแล้ว เสียงพูดอันแหบแห้งนั้นแทบจะฟังไม่ออกว่าพูดอะไรอยู่ “ลูก…ลูกพี่ ฉัน…ฉันก็บอกที่รู้ไปหมดแล้ว ให้…ให้ฉันตายซะทีเถอะนะ?”
หลังจากติดตามจี๋เหล่าต้ามาสิบกว่าปี หลิวเหล่าเอ้อร์จึงรู้สันดานของลูกพี่คนนี้ดี เขาเป็นผลลัพธ์จากความรู้สึกอันขัดแย้งสองอย่าง คือความรู้สึกต่ำต้อยและหลงตัวเอง เป็นทั้งคนขี้ขลาดตาขาวและโหดเหี้ยมอำมหิตในเวลาเดียวกัน
หลิวเหล่าเอ้อร์เคยเห็นจี๋เหล่าต้าทรมานคนติดต่อกันยี่สิบวันมากับตาแล้ว เพื่อที่จะทดลองแปดวิธีทรมานสมัยราชวงศ์ชิง จี๋เหล่าต้าถึงขั้นไปซื้อแหจับปลามาผืนหนึ่ง และในวันที่สิบแปดก็ใช้วิธีเชือดเฉือนทรมานคนผู้นั้นอย่างช้าๆ
แต่ระดับของจี๋เหล่าต้ายังไม่ถึงขั้น ขณะที่กำลังเล่นสนุกอยู่ ก็เผลอไปฟันเส้นเลือดของคนผู้นั้นขาด จากนั้นทรมานเล่นเพียงสองวันก็ตายแล้ว
“ถ้าอยากตาย ก็รอพี่ใหญ่เล่นจนหนำใจก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ!”
จี๋เหล่าต้าหัวเราะฮี่ๆ เดินวนรอบหลิวเหล่าเอ้อร์ สายตาราวกับกำลังมองดูผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน จนชายสองคนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นเห็นแล้วขนลุกชันไปทั้งร่าง
“ไป ขึ้นไปข้างบน!”
จี๋เหล่าต้าตบมือ แล้วพูดกับชายคนหนึ่ง “ฉีดเฮโรอีนให้มันหน่อย อย่าให้มันตายไปซะล่ะไอ้เวร ถ้าตายไปเดี๋ยวก็หมดสนุกกันพอดี”
เมื่อได้ยินคำสั่งของจี๋เหล่าต้า ชายร่างบึกคนนั้นก็สั่นระริกไปทั้งร่าง รีบตอบว่า “ค…ครับ ลูกพี่ ผม…ผมรับรองว่ามันไม่ตายแน่!”
พอเห็นสีหน้าอันหวาดผวาของลูกน้อง จี๋เหล่าต้าก็พยักหน้าอย่างพอใจ การที่เขาจงใจทำเรื่องโหดเหี้ยมแบบนี้กับลูกน้องนั้น จะเรียกว่าเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูก็ว่าได้
จี๋เหล่าต้าปีนป่ายขึ้นมาจากชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคมแบบนี้ เขาจึงรู้ดีว่า ไม่ว่าจะพูดเรื่องศีลธรรมจรรยากับลูกน้องพวกนี้อย่างไรก็มีแต่จะไร้ประโยชน์ มีแต่ต้องทำให้พวกมันกลัวเขาจากก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้น พวกมันถึงจะไม่กล้าทำเรื่องทรยศหักหลัง
หลังจากกลับมาถึงห้องรับแขกในบ้าน ชายหนุ่มที่เป็นคนขับรถให้จี๋เหล่าต้าก็พูดขึ้นว่า “ลูกพี่ครับ เรายังหาตัวเปาเฟิงหลิงกลับมาไม่ได้ ถ้ามันทำข่าวที่พี่กลับประเทศแพร่ออกไป แล้วคนทางเมืองหลวงนั่นมาตามหาจะทำยังไงครับ?”
ชายคนนี้แซ่หลิน ชื่อว่าหลินเซวียนโย่ว เป็นเด็กกำพร้าที่จี๋เหล่าต้ารับมาเลี้ยง แม้จะอายุไม่มาก แต่กลับมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างเหลือร้าย จึงมีตำแหน่งเป็นฝ่ายกุนซือในกลุ่มแก๊งของจี๋เหล่าต้า
“อืม เซวียนโย่ว เรื่องที่แกพูดมานี่น่ะจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน ฉันจะทำนายดูสักตาแล้วกัน!”
จี๋เหล่าต้าในขณะนี้ ไม่ได้คลุ้มคลั่งอย่างตอนที่อยู่ในห้องใต้ดินแล้ว แต่กลับมีท่าทางระแวงรอบคอบ หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง ก็หยิบกระดองเต่าขนาดเท่าฝ่ามือทารกแผ่นหนึ่งและเหรียญทองแดงสามเหรียญออกมาจากกระเป๋าถือบนโซฟา
ศาสตร์ตระกูลโจวนั้นสืบทอดมาจากโจวตุนอี๋สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ศาสตร์สายนี้เน้นการรู้รอบในหลักแห่งหยินหยางและธาตุทั้งห้า เป็นผู้รู้แจ้งในฟ้าและเข้าใจในธรรมชาติของคน เชี่ยวชาญศาสตร์การพยากรณ์โดยใช้กว้าเสี่ยงทายเป็นที่สุด
ตอนที่จี๋เหล่าต้าได้ตำราลับศาสตร์พยากรณ์มานั้นโครงสร้างกระดูกก่อขึ้นไปแล้ว แม้จะไม่สามารถฝึกวิชายุทธที่สนับสนุนกับวิชาพยากรณ์นี้ได้ แต่เฉพาะด้านวิชาเสี่ยงทายนี้ เขาก็ฝึกฝนจนได้ทักษะมาบ้าง
จี๋เหล่าต้าวางกระดองเต่าคว่ำไว้บนโต๊ะน้ำชา ปากสวดท่องพึมพำออกมาชุดหนึ่ง แล้วโปรยเหรียญทองแดงสามเหรียญนั้นลงไป
“เก้าสอง ต้นหก หกสาม เก้าห้า ข่าน…ข่านกว้า?”
เมื่อเห็นลักษณะกว้า จี๋เหล่าต้าก็เปลี่ยนสีหน้าไปเลย ข่านเป็นน้ำ น้ำเป็นหยิน กว้านี้หมายความว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานะอันตราย ถือเป็นลักษณะกว้าที่ย่ำแย่แบบหนึ่ง
“ตึง!” ขณะที่ผลกว้าแสดงปรากฏออกมา น้ำเต้าฮวงจุ้ยที่แขวนอยู่ที่ประตูใบนั้นก็ตกลงไปบนพื้นอย่างกะทันหัน
……………………………………….