“นั่นสิ ใครเป็นคนโทรมาน่ะ? ทำไมทำหน้าแบบนี้?” ตอนแรกเยี่ยตงผิงกำลังสนทนากับโจวเซี่ยวเทียนอยู่ที่ห้องด้านข้างฝั่งซ้าย พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็เดินออกมาบ้าง
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ พ่อ อยู่ที่นี่คุยกันไปเถอะนะครับ ผมจะไปข้างนอกสักสามสี่วัน เซี่ยวเทียน นายก็ไปกับฉันด้วยนะ”
ใกล้จะถึงช่วงสิ้นปีแล้ว หูหงเต๋อก็กลับไปภูเขาฉางไป๋ซานตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว ส่วนโจวเซี่ยวเทียนนั้นอาศัยอยู่ในบ้านซื่อเหอย่วนมาตลอด แต่เขาอยู่ที่เรือนด้านหน้า ถ้าไม่มีใครเรียกปกติก็จะไม่ไปที่เรือนด้านหลังทั้งสองเรือนนั้น
“อ้าว เจ้าลูกคนนี้นี่ ทำไมถึงได้ไม่รู้ความแบบนี้นะ?”
เยี่ยตงผิงได้ยินลูกชายว่าอย่างนั้นก็กังวลขึ้นมาทันที “อีกไม่กี่วันก็จะฉลองตรุษแล้ว แล้วแกจะแห่ไปทำอะไรเอาตอนนี้เล่า?”
การที่เยี่ยตงผิงสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับภรรยาที่ห่างเหินไปเพราะกาลเวลาได้นั้น ส่วนใหญ่เพราะลูกชายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ เยี่ยเทียนจึงกลายเป็นสายใยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาไปแล้ว
“พ่อ ผมมีธุระจริงๆ ครับ…” เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ “อย่างช้าที่สุดก็หนึ่งอาทิตย์ อย่างเร็วที่สุดก็สามสี่วันนี่แหละผมจะกลับมา”
“เสี่ยวเทียน ธุระอะไรกันน่ะ? ให้คนอื่นไปทำแทนได้ไหม? ถ้าไม่ได้จริงๆ ลองไปถามคุณตาดูก็ได้นี่!”
ช่วงที่ได้อยู่กับลูกชายในหลายวันมานี้ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของซ่งเวยหลันในรอบยี่สิบปี เธอไม่ต้องไปกังวลถึงการวางอุบายต่อสู้ชิงชัยกันในโลกธุรกิจ และก็ไม่ต้องไปวิ่งวุ่นเจรจาโปรเจกต์ต่างๆ ไปทั่ว ความอบอุ่นของครอบครัวนั้น ทำให้เธอไม่อยากจะแยกจากลูกชายเลยจริงๆ
“ให้เขาไปจัดการน่ะรึ?”
เยี่ยเทียนคิดดูแล้วส่ายหน้า “ก็ได้อยู่หรอกครับ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่มากอะไร อย่าไปยุ่งกับคุณตาแกเลยครับ เดี๋ยวแกจะมาว่าผมอีก…”
“ตกลงมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมแกถึงได้กลายเป็นคนอมพะนำแบบนี้? ถ้ายังไม่พูดกันให้รู้เรื่องก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ!”
เยี่ยตงผิงชักจะหมดความอดทนแล้ว เวลาเยี่ยเทียนอยู่ไม่ติดบ้านปกติก็ยังพอจะปล่อยผ่านไปได้ แต่นี่ภรรยาอุตส่าห์กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าแล้วแท้ๆ นะ? ทำไมยังอยากจะแห่ไปข้างนอกอีก เยี่ยตงผิงจึงไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา
“พ่ออยากจะรู้จริงๆ หรือครับ?” เยี่ยเทียนหันหน้ากลับมามองพ่อตัวเอง
“ไม่เห็นต้องถาม เรื่องที่พูดกันไม่ได้น่ะจะไปมีอะไรล่ะ เซี่ยวเทียนเองก็ไม่ใช่คนนอก” เยี่ยตงผิงขึงตาใส่
“ได้ครับ แต่พ่อเป็นคนให้ผมพูดเองนะ?”
เยี่ยเทียนพูดขึ้นว่า “เปาเฟิงหลิงโทรศัพท์มาน่ะครับ เขาบอกว่า จี๋เหล่าต้าแอบกลับเข้ามาในประเทศแล้ว น่าจะมาเพื่อฉลองวันตรุษ ผมไม่รู้ว่ามันจะหลบหนีไปอีกเมื่อไหร่ ก็เลยจะรีบพาเซี่ยวเทียนไปด้วยสักหน่อย!”
“เปา…เปาเฟิงหลิง?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ โทสะของเยี่ยตงผิงก็ปะทุขึ้นมาอย่างสุดจะข่มกลั้น และก่นด่าออกมาโดยที่ไม่สนใจแล้วว่าภรรยายังอยู่ข้างๆ “ไอ้…ไอ้ระยำนั่น ในที่สุดก็มีข่าวมาแล้วเรอะ?”
เยี่ยตงผิงอุตส่าห์สร้างตัวสร้างฐานะอย่างยากลำบากมาสิบกว่าปี กลับถูกเปาเฟิงหลิงหลอกไปจนหมดเกลี้ยง ถึงลูกชายจะบอกว่าเรื่องนี้เขาจะจัดการเอง แต่เมื่อเยี่ยตงผิงคิดดูแล้ว ก็ยังอดนึกโมโหขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้
“ตงผิง ห้ามพูดจาแบบนี้ต่อหน้าลูกนะ”
ซ่งเวยหลันมองสามีอย่างขุ่นเคือง แล้วถามว่า “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ล่ะ? ทำไมพวกคุณสองพ่อลูกต้องเครียดกันขนาดนี้ด้วย?”
“คือ…คือ ไม่…ไม่มีอะไรหรอก”
หลังจากได้ยินภรรยาถาม เยี่ยตงผิงก็ได้สติกลับมาทันที ที่แท้เมื่อครู่นี้เป็นเพราะลูกชายเห็นแก่หน้าเขานั่นเอง ถึงได้ไม่พูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา แต่เขาดันไปบังคับให้ลูกชายพูด
“ทำไม พวกคุณสองพ่อลูกยังมีความลับอะไรกันอีกงั้นรึ?” ซ่งเวยหลันมองสามีอย่างนึกขัน นี่ผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่เขาก็ยังโกหกไม่เป็นอยู่เหมือนเดิม เวลาพูดโกหกทีไรเป็นต้องหน้าแดงตั้งแต่ต้นคอขึ้นมาเลย
“พูดก็พูดสิเอ้า มันจะมีอะไรแย่นักหนา”
เมื่อถูกภรรยายั่วยุแบบนั้น เยี่ยตงผิงก็ไม่สนใจอะไรแล้ว “ช่วงก่อนหน้านี้ฉันรับซื้อของโบราณมาได้อย่างหนึ่ง แล้วโดนคนอื่นหลอกไปสามสิบล้าน นี่เยี่ยเทียนก็หาตัวการเจอแล้ว!”
ในช่วงหลายวันที่ได้อยู่กับภรรยานี้ เยี่ยตงผิงไม่ได้รู้สึกว่าความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองคนจะทำให้เกิดความเหินห่างอะไรขึ้นมาเลย เขาเชื่อว่า ซ่งเวยหลันไม่ใช่คนที่มองอะไรแต่เพียงผิวเผินแบบนั้น
นอกจากนี้หลังจากที่ภรรยากลับมาอยู่บ้าน เยี่ยตงผิงก็ตัดสินใจว่าจะทำตามคำแนะนำของลูกชาย วันหน้าเขาจะไม่ทำธุรกิจอีกแล้ว แต่จะทุ่มเทกับการศึกษาช่วงยุคสมัยของวัตถุโบราณ เพื่อเป็นนักวิชาการให้ได้ แบบนี้เขาก็จะมีเวลาได้อยู่กับภรรยามากขึ้น
ตอนนี้ธุรกิจร้านขายวัตถุโบราณและโรงน้ำชานั้น เยี่ยตงผิงได้ส่งต่อให้อาเขยของเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนไปดูแลแล้ว เมื่อครู่นี้เขาก็กำลังชี้แจงเรื่องต่างๆ ที่ปกติจะต้องใส่ใจให้โจวเซี่ยวเทียนรู้ไว้
“คุณเนี่ย เป็นคนซื่อออกอย่างนี้ แต่ดันจะไปทำธุรกิจเนี่ยนะ?”
หลังจากได้ฟังสามีเล่า ซ่งเวยหลันก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยตงผิงเป็นคนซื่อตรง เมื่อก่อนเธอก็คงไม่ไปหลงชอบเขาหรอก แต่คนแบบนี้กลับดูจะไม่เหมาะกับโลกยุคปัจจุบันสักเท่าไร
“สามสิบล้านก็ไม่ได้ถือว่าเยอะนะ เอาอย่างนี้สิตงผิง ฉันจะออกเงินตั้งกองทุนเกี่ยวกับด้านวัตถุโบราณขึ้นมา แล้วให้คุณไปบริหารก็แล้วกัน ส่วนเงินสามสิบล้านนั่นก็ช่างมันเถอะ”
ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านซื่อเหอย่วน ซ่งเวยหลันก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเรื่องเงินทองต่อหน้าเยี่ยตงผิง เพราะเธอกลัวสามีจะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าเธอ หากกล่าวถึงเฉพาะประเด็นนี้แล้ว ก็ถือว่าซ่งเวยหลันทำได้ดีมากเลยทีเดียว
แต่ซ่งเวยหลันก็ไม่อยากให้ลูกชายต้องไปอยู่ห่างจากเธอเพราะเงินสามสิบล้านนี่ ในสายตาของเธอ เงินสามสิบล้านยังแลกกับการที่ให้ลูกชายอยู่เป็นเพื่อนเธอต่ออีกสักหลายๆ วันไม่ได้เลย
“อย่าเลยเวยหลัน ฉันจะไม่ทำธุรกิจแล้วละ เธอก็ไม่ต้องไปลงทุนหรอก”
เยี่ยตงผิงส่ายหน้า แล้วหันไปพูดกับเยี่ยเทียน “หรือไม่เราก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ ถึงยังไงแกก็ได้ทองคำพวกนั้นมาแล้ว ก็ไม่น่าจะขาดแคลนเงินใช้สอยแล้วนี่?”
เยี่ยตงผิงเองก็ได้คิดแล้วว่า ในเรื่องการหาเงินนั้น เขาไม่มีพรสวรรค์เลยจริงๆ อย่าว่าแต่จะสู้ภรรยาไม่ได้เลย แม้แต่ลูกชายก็ยังเหนือชั้นกว่าเขามากนัก ถ้าเขายังดันทุรังจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการหาเงินอีกละก็ อย่างนั้นสมองเขาคงจะป่วยแล้วละ
“ไม่ได้หรอกพ่อ เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์บางอย่างในยุทธภพอยู่ พวกพ่อไม่เข้าใจหรอก ยังไงผมก็ต้องไปจัดการอยู่ดี”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอนนี้เขาก็ไม่ได้เห็นว่าเงินไม่กี่สิบล้านนั่นมีความสำคัญอะไรแล้ว แต่การกระทำอันไร้สัจจะของจี๋เหล่าต้าในตอนนั้น ถือว่าเป็นความผิดมหันต์ในยุทธภพ
นอกจากนี้ ตามที่เปาเฟิงหลิงบอกมา จี๋เหล่าต้าอาจจะใช้วิชาอาคมบางอย่างเป็น เรื่องนี้จึงเกี่ยวพันไปถึงวงการศาสตร์ลี้ลับด้วย
และเยี่ยเทียนก็อยากจะไปสืบดูเสียหน่อยว่า จี๋เหล่าต้าซึ่งมีฉายาว่าพหูสูตคนนั้น ตกลงใช่ทายาทของเครือญาติอีกสายหนึ่งของตระกูลโจวที่แย่งชิงมรดกวิชาจากบรรพบุรุษของโจวเซี่ยวเทียนไปเมื่อครั้งกระโน้นหรือไม่
“เสี่ยวเทียน เรื่องรบราฆ่าฟันในยุทธภพนี่น่ะ มันอันตรายออกนะ…”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชาย ซ่งเวยหลันก็พูดอย่างจนปัญญา “ลูก…ลูกทำไมไม่ยอมฟังคำแนะนำของแม่เลยล่ะ ที่ว่าให้ไปดูแลธุรกิจพวกนั้นน่ะ?”
ซ่งเวยหลันมีความสัมพันธ์กับสมาคมหงเหมินในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด จึงเข้าใจว่ายุทธภพที่ลูกชายพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ในฐานะคนเป็นแม่ เธอก็ย่อมจะไม่อยากเห็นลูกชายเดินทางสายนี้ลึกขึ้นเรื่อยๆ
“ฮ่ะๆ ตั้งแต่ผมเกิดมาก็เดินสายนี้ไปแล้วละครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ “ก้างขวางคออย่างผมอยู่ในบ้านทั้งวันก็คงไม่เหมาะ ออกไปสักสามสี่วันพวกพ่อจะได้อยู่กันตามลำพังสองคนบ้างไงครับ?”
“เจ้าลูกบ้า แม้แต่พ่อแม่ก็ยังกล้าล้อเลียนเรอะ?”
เยี่ยตงผิงแม้จะขึงตาอยู่ แต่ในใจกลับเป็นสุขยิ่งนัก ส่วนซ่งเวยหลันพอได้ยินลูกชายพูดอย่างนั้นก็หน้าแดงวาบ มือขวาหยิกบั้นเอวของสามีอย่างแรงหนึ่งที
เยี่ยเทียนเตรียมเสื้อผ้าธรรมดาๆ สำหรับเปลี่ยนใส่ไม่กี่ชุด แล้วพาโจวเซี่ยวเทียนมุ่งตรงไปที่สนามบินปักกิ่ง เปาเฟิงหลิงกำลังรอพวกเขาอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในมณฑลเจียงซี
พวกเขานั่งเที่ยวบินเที่ยวที่เร็วที่สุดไปที่เมืองหนานชาง เมื่อถึงเวลาบ่ายสี่โมงกว่าๆ เครื่องบินก็ลงจอด เยี่ยเทียนเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งเร่งรุดไปที่เมืองเฟิงเฉิงซึ่งอยู่ห่างจากหนานชางไปประมาณ 60 กว่ากิโลเมตร
หนานชางในเดือนมกราคมเพิ่งจะมีหิมะตก พื้นถนนค่อนข้างลื่น รถจึงขับเร็วมากไม่ได้ จนกระทั่งตกกลางคืนแล้ว เยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนจึงเพิ่งจะไปถึงที่พักแห่งหนึ่งที่นัดกับเปาเฟิงหลิงไว้
“อาชีพนักต้มตุ๋นนี่มันก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะ?”
เมื่อเห็นม่านประตูหนาทึบซึ่งเต็มไปด้วยคราบสกปรกตรงทางเข้าที่พักแล้ว เยี่ยเทียนก็อดส่ายหน้าไม่ได้ จำได้ว่าตอนที่จับเปาเฟิงหลิงและหลิวเหล่าเอ้อร์ได้คราวก่อน เจ้าสองคนนี้ยังเสพสุขอยู่ที่โรงแรมระดับสูงอยู่เลย
ตรงทางเข้าที่พักมีหญิงสูงวัยกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่ เมื่อม่านประตูเลิกขึ้น พาลมหนาวพัดหอบเข้ามา ทำให้เธอหดคอย่น แล้วถามขึ้นอย่างหงุดหงิด “จะพักห้องแบบไหน? ห้องสองคนราคาแปดสิบ สามคนหกสิบ เหลือแต่ห้องสองแบบนี้แหละ!”
“มาหาคนเฉยๆ เดี๋ยวก็จะไปแล้วละ!” พอได้ยินว่าไม่ได้มาเข้าพัก หญิงสูงวัยคนนั้นก็หย่อนก้นนั่งกลับลงไป แล้วแทะเมล็ดแตงโมต่ออย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น
สมัยก่อนช่วงที่เยี่ยเทียนออกท่องยุทธภพกับพรตเฒ่า ก็ไปพักอยู่ตามสถานที่แบบนี้เหมือนกัน ส่วนโจวเซี่ยวเทียนสมัยที่ลักลอบปล้นสุสานอยู่ โดยปกติก็พักในที่พักลักษณะนี้เช่นกัน ทั้งสองจึงค้นหาไปจนถึงหน้าห้องห้องหนึ่งบนชั้นสองได้อย่างคล่องแคล่ว
“ใครน่ะ?” เสียงเคาะประตูของโจวเซี่ยวเทียนเพิ่งจะดังขึ้น ก็มีเสียงถามดังออกมาจากในห้อง น้ำเสียงฟังดูอ่อนแอและงุนงง
“เปิดประตูสิ ฉันเอง!” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาได้ยินเสียงลมหายใจของคนเพียงคนเดียวภายในห้องนั้น หรือว่าหลิวเหล่าเอ้อร์จะแยกทางกับเปาเฟิงหลิง?
“ท่าน…ท่านเยี่ย?”
ในฐานะที่เป็นนักต้มตุ๋น ความสามารถในการจดจำจึงสำคัญอย่างยิ่ง ทันทีที่เยี่ยเทียนเปล่งเสียงออกมา ก็มีเสียงปลดกลอนประตูดังเล็ดออกมาจากข้างใน จากนั้นประตูห้องก็เปิดออกทันที
“แก…แกคือเจ้าคนแซ่เปานั่นน่ะรึ?” หลังจากประตูห้องเปิดออก โจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไปทันที และเบิกตาโพลงมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เปาเฟิงหลิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้น มีใบหน้าผอมซูบจนแทบไม่เหลือเนื้อเลย เหมือนมีเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น สัดส่วนลำตัวก็ยิ่งแทบจะเหลือแต่โครงกระดูก เสื้อนวมตัวหนาที่สวมอยู่บนร่างก็ดูหลวมโคร่ง
โจวเซี่ยวเทียนเคยติดตามเยี่ยตงผิงไปเจรจากับเปาเฟิงหลิงมาหลายครั้งแล้ว แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ กลับแตกต่างจากผู้ชายหยาบช้าในความทรงจำคนนั้นราวกับเป็นคนละคน สงสัยต่อให้เปลี่ยนเป็นแม่แท้ๆ ของพี่แกมายืนอยู่ตรงนี้ ก็คงจะจำเขาไม่ได้อยู่ดี
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ถ้าเปาเฟิงหลิงกล้าออกจากที่พักแห่งนี้ไปเดินตามถนนตอนดึกดื่นค่อนคืน ก็จะต้องทำให้พวกคนขวัญอ่อนตกใจจนกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่อยู่แน่นอน
“ท่านเยี่ย ท่าน…ท่านมาแล้วหรือครับ!”
เมื่อเห็นสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู เปาเฟิงหลิงก็เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างกับได้เจอญาติสนิท แล้วยังยื่นมือทั้งสองข้างออกไปกอดต้นขาของเยี่ยเทียนไว้อีกด้วย น้ำตาน้ำมูกก็ไหลรินลงมาเป็นทาง
“พอแล้ว จะร้องไห้ทำไมเล่า?” เยี่ยเทียนยื่นมือขวาไปคว้าอกเสื้อของเปาเฟิงหลิงไว้ แล้วหิ้วตัวเขาเข้าไปในห้อง
……………………………………