เมื่อต้องจัดการกับคนอย่างแอนนา เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องใช้วิชาอาคมเลยด้วยซ้ำ อาศัยเพียงจิตสังหารบนร่าง พุ่งโถมเข้าไปหาแอนนาราวกับลมหนาวอันกรีดแทงถึงกระดูกในวันที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว
จิตสังหารนั้นแตกต่างจากกระแสพลังพิฆาต นี่เป็นประสาทสัมผัสที่หกซึ่งอยู่นอกเหนือจากประสาทสัมผัสทั้งห้า หมายความว่า เป็นสัญญาณบางอย่างที่ไม่อาจรับรู้ผ่านทางหู จมูก หรือดวงตาได้ และสัญญาณนี้ก็สามารถเรียกได้ว่า “จิตสังหาร”
อย่างในการเดินทัพเคลื่อนพลสมัยโบราณ บรรดาทหารที่ผ่านศึกมานับร้อยเหล่านั้น บนร่างก็จะเกิดจิตสังหารชนิดหนึ่งขึ้นมาโดยธรรมชาติ ตู้ฝู่เคยประพันธ์บทกวีไว้ว่า “เมฆเดียวดายคล้อยตามจิตสังหาร หมู่ปักษามิกล้ากล้ำกราย” ซึ่งบรรยายได้อย่างแจ่มชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าจิตสังหารนั้นเป็นอย่างไร
แต่เมื่อมนุษย์แยกตัวออกห่างจากธรรมชาติมาเป็นเวลานาน ประสาทสัมผัสนี้จึงค่อยๆ เสื่อมลงไป แต่ก็ไม่ได้สูญสิ้นไปทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น บรรดาหทารผ่านศึกในสนามรบเหล่านั้นมักจะสัมผัสได้ว่า ตรงหน้ามีกองกำลังของฝ่ายศัตรูคอยซุ่มโจมตีอยู่หรือไม่ หรือพวกนายพรานที่ใช้ชีวิตล่าสัตว์อยู่ในป่ามาทั้งชีวิตก็เช่นกัน คนที่ต้องผ่านความเป็นความตายมาเป็นระยะเวลานานเหล่านี้ ก็จะทำให้ประสาทสัมผัสนี้ค่อยๆ ถูกปลุกขึ้นมา
แอนนาก็เป็นเช่นเดียวกัน ในชั่วขณะที่เยี่ยเทียนยืดเอวและหลังตั้งตรงขึ้นมา ทันใดนั้นเธอก็ขนลุกชันไปทั่วร่าง ความรู้สึกตื่นตระหนกอย่างหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจ ราวกับว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องจะกลืนกินเหยื่อก็ไม่ปาน
แรงกดดันที่มองไม่เห็นนั้น ทำให้แอนนาเริ่มหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา ทรวงอกก็กระเพื่อมไม่หยุด หยาดเหงื่อบนหลังไหลรินลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง ขณะที่เผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนนั้น เธอถึงกับไม่มีความกล้าที่จะเริ่มเคลื่อนไหวโจมตีเลยแม้แต่น้อย
พลังของเยี่ยเทียนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันอันมหาศาลทำให้หลังของแอนนาเริ่มโก่งงอไปเล็กน้อย ผมหน้าม้าที่ปรกหน้าผากอยู่ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในใจรู้สึกคับขันอันตรายขึ้นมา
ต่อให้เป็นตอนที่ต้องเผชิญกับพวกครูฝึกที่ค่ายฝึกไซบีเรียในสมัยก่อน แอนนาก็ยังไม่รู้สึกหวาดหวั่นถึงขนาดนี้ แต่ความดื้อรั้นที่อยู่ในใจทำให้เธอพยายามยืดกายตรงอย่างสุดชีวิต เพื่อต้านทานแรงกดดันดั่งขุนเขาจากทางเยี่ยเทียน
“พอเถอะ ถ้าฝืนทนต่อไปเดี๋ยวคุณจะบาดเจ็บเอานะ”
เมื่อเห็นหญิงสาวต่างชาติผู้ดันทุรังคนนี้ เยี่ยเทียนก็ชักจะรู้สึกนับถือขึ้นมา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนฝึกวิชายุทธคนอื่นละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกเขากดดันจนตัวอ่อนลงไปกองกับพื้นแล้วก็ได้
ควรทราบว่า จิตสังหารของเยี่ยเทียนนี้ หากใช้กับคนธรรมดาก็อาจจะไม่ได้ผล แต่หากใช้กับผู้ที่มีวิทยายุทธซึ่งมีประสาทสัมผัสไวต่อพลังปราณละก็ กลับจะกลายเป็นที่น่ายำเกรงอย่างยิ่ง นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมขณะที่แอนนากำลังทรมานจนพูดไม่ออก แต่เยี่ยตงผิงและซ่งเวยหลันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
ขณะที่พูดไป เยี่ยเทียนก็เก็บพลังลง จิตสังหารนั้นสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยในฉับพลัน แอนนาซึ่งกำลังออกแรงต้านสุดพลังจึงจะล้มคำมำไปข้างหน้า
“ระวังนะ!”
เยี่ยเทียนยื่นมือทั้งคู่ออกไประคองที่ชายโครงทั้งสองข้างของแอนนา ความรู้สึกเด้งหยุ่นที่สัมผัสถูกมือนั้น ทำให้เขารีบชักมือกลับไปราวกับถูกไฟดูด นี่สายตากะผิดไปหรอกรึเนี่ย?
“พวก…พวกเธอทำอะไรกันเนี่ย?”
เยี่ยตงผิงและซ่งเวยหลันที่อยู่ข้างๆ เห็นกระกระทำของทั้งสองแล้วรู้สึกฉงนใจ ไหนว่าจะลองประชันวิทยายุทธกันไม่ใช่หรือ? ทำไมหลังจากยืนอยู่เฉยๆ ไปครู่หนึ่ง แอนนาก็โถมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยเทียนซะแล้วล่ะ?
“นาย…นายท่านคะ ฉัน…ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย!”
ตอนนี้ลมหายใจของแอนนายังไม่สงบลง หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็มองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึง เธอนึกไม่ถึงเลยว่า ชายหนุ่มที่หน้าตาดูเหมือนไร้พิษสงคนนี้ จะกลับมีจิตสังหารที่รุนแรงถึงขนาดนี้
แอนนาเองก็เคยสังหารคนมาเหมือนกัน ตั้งแต่ตอนที่อายุสิบสองปีที่ค่ายฝึกไซบีเรีย เธอก็เคยใช้แปรงสีฟันแทงนักเรียนชายที่คิดจะล่วงเกินเธอตายไปคนหนึ่งแล้ว
ในช่วงเวลาหกปีที่อยู่ในไซบีเรียนั้น คนที่เสียชีวิตไปด้วยน้ำมือของแอนนาอย่างน้อยที่สุดก็มีถึงเจ็ดแปดคน จนมีฉายาในหมู่นักเรียนรุ่นเดียวกันว่า นางแม่ม่ายพิษ ซึ่งก็เป็นการเปรียบเปรยว่าเธอเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงสุดเปรียบปานและไม่ควรเข้าไปตอแยด้วย
ด้วยสาเหตุนี้เอง แอนนาจึงสัมผัสรับรู้ถึงจิตสังหารได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวเธอเองหรือว่าครูฝึกที่เคยเข้าร่วมรบราฆ่าฟันมาแล้วหลายครั้งคนนั้น ก็มีจิตสังหารสู้ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้เลย
“พวกเธอประมือกันแล้วหรือ?”
เมื่อซ่งเวยหลันเห็นแอนนาเปียกเหงื่อชุ่มโชกไปทั้งร่างราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ ก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจกระจ่างขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีเธอคงจะยังรู้จักลูกชายตัวเองน้อยเกินไป
“ใช่ค่ะนายท่าน เวลาฉันอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ถึงกับไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้เลยด้วยซ้ำไป!” ลมหายใจของแอนนาสงบคงที่ลงแล้ว แต่ในดวงตากลับเปี่ยมด้วยความละอาย
“ฮ่ะๆ อย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดอันเดรวิชตอนอยู่ที่จีน ก็ต้องกลับไปอย่างล้มเหลวเหมือนกันไม่ใช่รึ?” เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางหัวเราะขึ้นมา แม่สาวต่างชาติคนนี้ก็ถือว่าแกร่งไม่เบาอยู่
“อันเดรวิช? ที่คุณพูดอยู่น่ะหมายถึงอันเดรวิชที่มีฉายาว่าหมีขั้วโลกใช่รึเปล่า?”
แอนนาพลันเงยหน้ามองไปที่เยี่ยเทียน แม้ว่าตอนที่เธอเข้าสู่ค่ายฝึกนั้น อันเดรวิชจะไม่อยู่ที่นั่นแล้ว แต่เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเขาก็มักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ
อันเดรวิชในเรื่องที่เล่าลือกันนั้น ในสภาพอดข้าวอดน้ำ เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้นานถึงสี่สิบวัน และยังสังหารกองกำลังพิเศษของอัฟกานิสถานได้ด้วยตัวคนเดียวอีกด้วย และสร้างชื่อเสียงในการศึกครั้งนั้นจนโดดเด่น
บรรดาครูฝึกแต่ละคนในค่ายฝึกนั้นต่างไม่เห็นคนอื่นบนโลกอยู่ในสายตา มีเพียงตอนที่เอ่ยถึงอันเดรวิชเท่านั้น พวกนี้ถึงจะมีสีหน้ายกย่องนับถือขึ้นมาได้ จึงทำให้เหล่านักเรียนแต่ละรุ่นต่างจดจำชื่อนี้ได้เป็นอย่างดี
“หมีขั้วโลก?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ฉายานี้เหมาะมากเลยนะเนี่ย เจ้าหมอนั่นก็หน้าตาเหมือนหมีขั้วโลกจริงๆ นั่นแหละ”
แอนนามีนิสัยตรงไปตรงมา หลังจากตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับเยี่ยเทียนแล้ว ก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ ขอคุณโปรดชี้แนะด้วยเถอะค่ะ!”
“สภาพร่างกายของผู้หญิงถึงจะสู้ผู้ชายไม่ได้ แต่ก็มีความใจเด็ด ไว้คุณมาหาผมนะ แล้วผมจะสอนวิธีการหายใจเข้าออกให้ ซึ่งจะช่วยรักษาโรคภายในกายของคุณได้”
เยี่ยเทียนมองไปที่แอนนา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นดุขึ้นมา “แต่ต้องจำไว้นะว่า สิ่งที่ผมจะถ่ายทอดให้คุณน่ะ ห้ามเผยแพร่ให้คนอื่นเด็ดขาด!”
สำนักเสื้อป่านมีมาตรฐานการรับศิษย์ที่เคร่งครัดอย่างยิ่ง วิธีการหายใจเข้าออกนี้ปกติจะไม่ถ่ายทอดให้คนนอกโดยง่าย เรื่องจะถ่ายทอดให้คนต่างชาตินั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่แอนนาเป็นผู้คุ้มกันของมารดา เยี่ยเทียนก็คงไม่มีทางถ่ายทอดให้เธอเด็ดขาด
แอนนาพยักหน้า “ค่ะ ฉันไม่เผยแพร่ให้คนอื่นแน่นอน แต่…แต่ฉันต้องกราบคุณเป็นอาจารย์ไหมคะ?” เธอรู้จักคนในสมาคมหงเหมินมาไม่น้อย จึงรู้ว่าเวลาคนจีนเหล่านี้จะถ่ายทอดศิลปวิทยาใดๆ ก็จะต้องมีการคารวะน้ำชาโขกศีรษะกราบกรานเสียก่อน
เยี่ยเทียนโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องหรอก ถ้าผมรับคนต่างชาติเป็นลูกศิษย์ละก็ อาจารย์คงได้โมโหจนคลานออกมาจากสุสานแน่ๆ”
หลี่ซั่นหยวนเคยผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ของประเทศจีนยุคใกล้สมัยใหม่มาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพวกญี่ปุ่นตัวกระจ้อยที่มาบุกรุกจีนในช่วงหลัง หรือพวกผีฝรั่งกองทัพพันธมิตรแปดชาติเมื่อครั้งอดีต ก็ไม่ได้ดูดีในสายตาของท่านเลยสักนิด
ดังนั้นหากเยี่ยเทียนกล้ารับแอนนาเป็นลูกศิยษ์จริงๆ พรตเฒ่าคงได้ก่นด่าอยู่ในปรโลกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ไม่รักดีแน่ๆ และสงสัยว่าแม้แต่โก่วซินเจียก็คงไม่ยอมเหมือนกัน
“เอาละ มา ทานข้าวกันเถอะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว”
ฟังจากบทสนทนาของทั้งสอง ซ่งเวยหลันก็พอจะเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่งแล้ว ซึ่งก็คือลูกชายของเธอนั้นเก่งกาจมาก แม้จะไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็พอที่จะทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกยินดีอย่างเต็มหัวใจแล้ว
“ดีครับ ทานข้าว!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดกับแอนนาว่า “คุณก็มานั่งกินด้วยกันสิ เมื่อกี้คุณก็เสียพลังไปไม่น้อยเลยนี่ กำลังต้องการเติมพลังอยู่พอดีเลย”
“เรื่องนี้…”
แอนนาลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อถูกเยี่ยเทียนขึงตาใส่ ก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารอย่างว่านอนสอนง่าย เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้ว เธอรู้สึกอย่างกับกำลังเผชิญหน้ากับครูฝึกสมัยอยู่ที่ค่ายฝึกก็ไม่ปาน
พฤติกรรมของแอนนาทำให้ซ่งเวยหลันที่นั่งอยู่บนโซฟาตะลึงอึ้งไปเล็กน้อย เธอให้แม่สาวคนนี้ติดตามอยู่ด้วยมาตั้งหลายปี ยังทำให้แอนนามานั่งทานข้าวร่วมโต๊ะเดียวกับเธอไม่ได้เลย แต่เยี่ยเทียนพูดไปแค่คำเดียวกลับทำสำเร็จได้
ซ่งเวยหลันใจเต้นแรง กระซิบที่ข้างหูเยี่ยตงผิงว่า “ตงผิง คุณ…คุณว่า หาสะใภ้ฝรั่งให้ลูกชายเราสักคนดีไหมล่ะ?”
“ดี…ดีสิ!”
ท่าทีสนิทชิดเชื้อของภรรยาทำให้เยี่ยตงผิงความคิดสับสนปนเป แต่หลังจากอ้าปากตอบไปแล้ว ก็ได้สติกลับมาทันที จึงรีบคัดค้านว่า “ไม่ได้ ไม่ได้หรอก เยี่ยเทียนน่ะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แล้วทางโน้นก็เป็นลูกสาวของเพื่อนเก่าฉันด้วยนะ เรื่องนี้น่ะไม่ได้เด็ดขาด!”
ซ่งเวยหลันค้อนใส่เยี่ยตงผิง “ฉัน…ฉันก็ไม่ได้ว่าจะให้ลูกชายตบแต่งเป็นเรื่องเป็นราวนี่ ให้อยู่เป็นอนุเฉยๆ ก็ไม่ได้รึไง?”
“แบบ…แบบนี้ก็ได้หรือ?”
เยี่ยตงผิงตะลึงอึ้งไป สมองขบคิดจนยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที ความหมายแฝงของภรรยาก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ? ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก หลายปีมานี้เขาก็คงจะเลี้ยงบ้านเล็กไปแล้วละ ถึงอย่างไรภรรยาก็ใจกว้างออกขนาดนี้นี่นา
“คิดอะไรอยู่น่ะ? ถ้ากล้าคิดตุกติกละก็ ฉันจะกลับไปอเมริกาเดี๋ยวนี้แหละ!” ซ่งเวยหลันทิ่มนิ้วใส่หน้าผากเยี่ยตงผิงไปหนึ่งที แล้วลุกไปกินข้าวกับลูกชาย
หากจะกล่าวถึงเรื่องที่ไม่มีเหตุผลที่สุดของผู้หญิง ก็คือลักษณะการคิดแบบนี้ของซ่งเวยหลันนั่นเอง แปดในสิบของผู้ที่เป็นแม่นั้นต่างก็หวังให้ลูกชายมีภรรยาและอนุเป็นฝูง มีลูกหลานเต็มบ้าน แต่หากเปลี่ยนมาเป็นตัวเอง ก็คงจะให้สามีรักษาตัวให้บริสุทธิ์ดั่งหยกแน่นอน
“นี่…นี่แหละแม่แท้ๆ ของเราจริงๆ!”
เยี่ยเทียนหูดีระดับไหนแล้ว ถึงซ่งเวยหลันกับเยี่ยตงผิงจะสนทนากันเสียงเบามาก แต่หูของเขาก็ได้ยินครบถ้วนทุกพยางค์ จึงหัวเราะเจื่อนๆ อยู่ในใจ และได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวไป
แล้วอาหารมื้อแรกหลังจากครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากันนี้ก็ผ่านไปโดยที่ซ่งเวยหลันยิ้มจางๆ ขึ้นมาเป็นครั้งคราว ขณะที่เพิ่งจะรับประทานกันเสร็จ ซ่งเฮ่าเทียนก็มา ทำให้เยี่ยเทียนหายเกร็งไปได้เสียที
“ฉันอุตส่าห์ช่วยแกไว้ตั้งเยอะ แต่พอแกเสร็จเรื่องแล้วก็ไม่มีโทรศัพท์มาบอกข่าวคราวฉันสักคำเลยนะ” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนอยู่ที่นี่ ซ่งเฮ่าเทียนก็โมโหฮึดฮัดขึ้นมาทันที
เจ้าเด็กบ้านี่นอกจากตอนที่ไประเบิดโทสะใส่เขาที่พม่าแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย จนเขาห่วงแทบแย่ว่าเยี่ยเทียนจะปลอดภัยไหม เมื่อสอบถามข่าวคราวอยู่ตั้งนานถึงรู้ว่า มันไปอยู่อย่างอิสระเสรีมีความสุขที่เกาะฮ่องกงโน่น
“อ้าว ผมว่าเรื่องของผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตานี่ครับ ก็ตาเป็นคนรับปากกับศิษย์พี่ใหญ่ผมเอง อย่านึกเลยว่าผมจะซาบซึ้งบุญคุณน่ะ!”
เยี่ยเทียนฟังน้ำเสียงของซ่งเฮ่าเทียนออก จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยิ่งกว่านั้นนะ ทองคำสิบห้าตันนั่นอย่างน้อยๆ ก็มีมูลค่าถึงพันสองร้อยพันสามร้อยล้านแล้วมั้ง? ตาให้มาแค่พันล้าน คิดดูแล้วผมยังขาดทุนด้วยซ้ำไปนะ!”
“แก…แกนี่เอาเปรียบคนอื่นไปแล้วยังแกล้งว่าขาดทุนอีกเรอะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนฟังเยี่ยเทียนพูดแล้วโมโหจนแทบจะเซล้มไป สวรรค์ก็รู้กันว่าเขาต้องใช้หน้าตามากขนาดไหนถึงจะขนย้ายทองคำพวกนั้นออกจากพม่าได้ แต่พอเยี่ยเทียนพูดออกมาแล้ว กลับกลายว่าเขาเป็นฝ่ายเอาเปรียบไปเสียนี่
บทสนทนาระหว่างเยี่ยเทียนกับพ่อของเธอ ทำให้ซ่งเวยหลันชักจะสงสัยขึ้นมา จึงก้าวออกไปพยุงบิดาไว้ แล้วถามว่า “พ่อ ทองคำสิบห้าตันนี่มันเรื่องอะไรกันคะ?”
………………………………..