คิตะมิยะ ฮิเดโอะเหลือไว้เพียงแค่สามสิบกว่าคน นอกจากศพที่อยู่ในป่านี้แล้ว มีศพอีกแปดศพถูกโยนทิ้งไว้ในพุ่มไม้ไปในป่ารอบหมู่บ้านบนภูเขา ตอนที่มาราไกย์และคนอื่นลอบสังหารพวกคนเหล่านี้ ใช้เพียงอาวุธเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ก่อให้เกิดร่องรอยของการเคลื่อนไหว
วิธีการแบบนี้ก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่าเขาไม่สามารถสู้กับศัตรูได้ และถ้าพูดถึงการโจมตีอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งของทหาร ตัวของเยี่ยเทียนก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่การลอบสังหารในเขตพื้นที่กว้างโลงแบบนี้ เขาสู้พวกมาราไกย์ไม่ได้ อย่างน้อยห้าร้อยเมตรจากที่นี่ไปยังตำแหน่งที่ยามยืนรักษาการณ์อยู่ เยี่ยเทียนก็ยากที่จะคลานเคลื่อนไหวอย่างลับๆ
“บอส หรือพวกเราจะพาคนฝ่าเข้าไปฆ่าดีไหมครับ?”
เพียงแค่มาราไกย์คนเดียว เมื่อครู่ก็จัดการคนญี่ปุ่นไปสิบกว่าคนแล้ว เวลานี้พลังพิฆาตได้แพร่ไปทั่วทั้งตัวของเขา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำดุจสายเลือด มีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เขาอยากจะใช้ดาบจริงปืนจริงไปสู้อีกครั้งอย่างอดใจไม่ไหว ถือว่าเป็นการอำลาการและปิดฉากชีวิตการเป็นทหารรับจ้างของตัวเองที่ผ่านเผชิญมาอย่างโชกโชน
มาราไกย์เป็นทหารรับจ้างอาชีพ เขาเคยนำทีมทหารรับจ้างเล็กๆ ของเขาไปสู้สงครามอิรัก และฆ่าทหารอิรักด้วยมือตัวเองมากกว่าสิบนาย แต่ครั้งนั้นไม่ได้ทำสำเร็จในภารกิจเดียว เหมือนกับการสังหารในวันนี้ จึงทำให้ปีศาจในหัวใจของเขาลุกขึ้นมากะทันหัน
เมื่อจ้องมองทางขึ้นภูเขารูปตัวเอสที่อยู่ไม่ไกล เยี่ยเทียนจึงส่ายหัวไปมา พูดว่า “เหล่ามา อีกฝั่งมีร้อยกว่าคน พวกเราแค่สิบกว่าคน ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับพวกเขา และสุภาษิตจีนเคยกล่าวไว้ว่า ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง เอาแต่มองผลประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้าโดยรู้ว่ามีภัยอยู่ข้างหลัง รอให้พวกเขาออกมาจากเขาก่อน นั่นถึงจะเป็นโอกาสและจังหวะที่ดีในการลงมือ!”
ในฝั่งของตัวเอง มีเพียงแค่เยี่ยเทียน หูหงเต๋อและมาราไกย์กับพรรคพวกที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าโรมรันในสนามรบ อู่เฉินที่และคนอื่นพอที่จะต่อสู้ชกต่อยได้ แต่ถ้าจะให้ใช้ดาบจริงปืนจริงขึ้นมา พวกเขาก็คงดูไม่ได้เลยทีเดียว ต่อให้เยี่ยเทียนมีความมั่นใจมากว่านี้ ก็ไม่กล้าที่จะให้คนเพียงห้าหกคนไปสู้กับอีกฝ่ายที่มีร้อยกว่าคน
อีกอย่างตอนที่อยู่ที่ไต้หวัน สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูง สามารถหลบซ่อนตัวการเดินทางได้ เพราะเยี่ยเทียนไม่ได้กลัวอีกฝ่ายที่มีจำนวนเยอะ แต่ในภูเขาปีศาจมีพุ่มไม้เตี้ยเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายใช้ปืนยิงกราดเข้ามา ต่อให้เยี่ยเทียนคือเทพเซียนก็คงถูกยิงเป็นเหมือนรังตัวต่อเช่นกัน
ตอนนี้ขอเพียงเยี่ยเทียนเฝ้าตรงทางเข้าของภูเขาปีศาจ ก็เท่ากับตัวเองยืนอยู่จุดที่ไม่มีทางแพ้แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อละทิ้งข้อได้เปรียบของตัวเองไปกับคิตะมิยะ ฮิเดโอะอย่างสุดชีวิต
ขณะที่กำลังพูดอยู่ เยี่ยเทียนก็ตบไหล่ของมาราไกย์หนึ่งที พลังชีวิตกลุ่มหนึ่งได้ล้นออกมาจากฝ่ามือของเขา แล้วซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อของมาราไกย์เพียงชั่วพริบตาเดียว มาราไกย์ที่มีเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงในตอนแรกจึงสะดุ้งตกใจอย่างรุนแรง ทำให้เขากระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว
เมื่อนึกถึงกิริยาท่าทางของตัวเองเมื่อครู่ เหงื่อเย็นบนหน้าผากของมาราไกย์ก็ไหลออกมาไม่หยุด พยักหน้าพลางพูด “บอสพูดถูกแล้วครับ พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กับพวกมันจริงๆ”
“ท่านเยี่ย ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
ขณะที่เยี่ยเทียนกับมาราไกย์กำลังปรึกษาหารือหาวิธีการปิดล็อคทางเข้าภูเขาปีศาจนั้น จู่ๆ เสียงของอู่เฉินก็ตะโกนออกมาจากป่าด้านนอก
“เรื่องอะไร? เข้ามาพูดตรงนี้สิ”
เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง เมื่อครู่เขาสั่งให้อู่เฉินดักซุ่มอยู่นอกภูเขาปีศาจ ทำจุดตาข่ายกันไฟเพื่อป้องกันไม่ให้คนญี่ปุ่นหนีออกไป เขาคงไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งตัวเองหนีออกมาโดยพลการใช่ไหม?
“ท่านเยี่ย คือ… คือเฮ่าจึอยากคุยกับท่านครับ!” หลังจากเข้าไปในป่าแล้ว อู่เฉินกับเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังเขามองเห็นศพที่นอนกองกันอยู่บนพื้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าหอศิลปะการต่อสู้อันเต๋อจะมีชื่อเสียงมากในวงการยุทธจักรของปักกิ่ง แต่ว่าในวันธรรมดาก็แค่ประลองฝีมือกันแบบชาวยุทธภพ มีการออกมืออย่างมีขีดจำกัด อย่าว่าแต่เอาชีวิตคนเลย แม้แต่เรื่องบาดเจ็บก็มีน้อยมาก
สามารถพูดได้ว่า คนพวกนี้ที่ติดตามเยี่ยเทียนมาที่พม่า ถึงแม้ว่าจะเป็นนักสู้คนหนึ่ง แต่ว่าตำแหน่งและฐานะของแต่ละคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์อย่างมาก ไม่เคยมีประวัติก่ออาญชญากรรมอยู่ในสถานีตำรวจเลย หลังจากที่ได้เปิดหูเปิดตากับวิธีการของชาวต่างชาติ อู่เฉินจึงนิ่งและสุขุมมาตลอดแม้แต่การพูดจาของเขาก็ไม่ค่อยคล่องแคล่วเลย
“ไปกันเถอะ พวกเราออกไปคุยกันข้างนอก”
เยี่ยเทียนพูดกับอู่เฉินหนึ่งที แล้วจึงหันกลับไปมองมาราไกย์แล้วพูดว่า “เหล่ามา อีกสักพักผมจะเรียกเหล่าหูกละคนอื่นมาช่วย พวกคุณสองสามคนคงต้องลำบากหน่อย ต้องขุดหลุมเพื่อฝังคนเหล่านี้ และอากาศก็ร้อนขนาดนี้ อย่าเพิ่งป่วยก็แล้วกัน”
ความจริงถ้าอยากจะทำลายศพ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการจุดเผา ใช้น้ำมันราดลงไปหนึ่งถัง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแม้แต่โครงกระดูกก็ถูกเผาจนหมดเกลี้ยง เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่อยากให้ควันไฟพุ่งขึ้นท้องฟ้าดึงดูดความสนใจคนที่อยู่ในภูเขาปีศาจ เขาจึงคิดวิธีการฝังศพเพื่ออำพรางออกมา
เมื่อเดินออกมานอกป่าแล้ว เยี่ยเทียนสั่งงานให้กับหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนที่เฝ้ารักษาอยู่ข้างนอก และพูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างอู่เฉินว่า “เฮ่าจึ เกิดอะไรขึ้น?”
เฮ่าจึที่เยี่ยเทียนที่กำลังเรียก ชื่อเต็มของเขามีชื่อว่าหลีเสี่ยวเฮ่า คือคนยูนนานกุ้ยโจว ฐานะทางบ้านถือว่าไม่เลว หลังจากดูภาพยนตร์กังฟูที่สร้างขึ้นบนเกาะฮ่องกงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาจึงเดินทางไปที่เมืองปักกิ่งเพื่อเรียนรู้วิชาจากอาจารย์ และจับพลัดจับผลูก็ไปเจอหอศิลปะการต่อสู้อันเต๋อ แล้วจึงกลายเป็นหนึ่งในสมาชิก
“ท่านเยี่ย นี่มัน…นี่มันเกิดอะไรขึ้น…”
หลีเสี่ยวเฮ่ามองเข้าไปในป่าด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แล้วจึงพูดติดอ่างว่า “ผม…ผมเพิ่งไปคุยกับคนแก่ในหมู่บ้านสองสามประโยค ได้ยินพวกเขาพูดว่า ภูเขาปีศาจไม่ได้มีทางเข้าแค่ทางเดียว ตรงทางเหนือของภูเขาอีกยี่สิบลี้ แล้วก็ยังมีอีกที่ที่สามารถเข้าออกได้เหมือนกัน ผม…ผมรู้สึกว่าข้อมูลน่าจะมีประโยชน์กับท่านครับ?
บนโลกนี้จะมีเพียงแค่คนที่โง่โดยกำเนิด ไม่มีใครเพิ่งกลายเป็นคนโง่ในภายหลัง และเป็นใครก็มองออกว่าคำสั่งของเยี่ยเทียน ก็คือต้องการที่จะสกัดกั้นคนญี่ปุ่นเหล่านั้นไว้ข้างใน แต่เรื่องที่บอกว่ามีทางเข้าอีกทาง จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญ
เดิมทีหลีเสี่ยวเฮ่าก็อาศัยอยู่ที่มณฑลยูนนานกุ้ยโจวที่อยู่ติดกับพม่า ประเพณีภาษาและวัฒนธรรมของทั้งสองฝั่งจึงพอมีพื้นฐานอยู่บ้าง หลังจากที่เขาได้ข้อมูลนี้ เขาจึงรีบมาหาอู่เฉินและรีบร้อนที่จะไปหาเยี่ยเทียน
“อะไรนะ? ยังมีทางออกอีกทาง?” เยี่ยเทียนพอได้ยินก็ตกใจ แล้วจึงรีบถาม “เฮ่าจึ ข่าวนี้เชื่อถือได้แน่นอน? คนแก่พวกนั้นไม่ได้โกหกอยู่ใช่ไหม?”
ถ้าหากในภูเขายังมีทางออกอื่นอยู่อีก ก็เท่ากับว่าความพยายามของเยี่ยเทียนก็เปล่าประโยชน์ และหลังจากที่อีกฝ่ายออกมาจากภูเขาอีกทาง ก็จะเป็นฝ่ายล้อมพวกเขาแทน ถึงตอนนั้นใครเป็นตั๊กแตน จักจั่นแลนกขมิ้นก็ยังพูดยากมาก
หลีเสี่ยวเฮ่าส่ายหัวไปมา พูดว่า” ท่านเยี่ย ผมถามอย่างละเอียดแล้ว คนแก่คนนั้นเขาเคยเลี้ยงแกะ แล้วเผลอเข้าไปในป่าภูเขาปีศาจ ก็คือห่างจากจุดนั้นเข้าไปประมาณยี่สิบลี้ แต่เนื่องจากลักษณะพื้นภูมิที่แปลกมากของภูเขา หลังจากที่เดินเข้าไปและออกจากทางเข้านี้ มีระยะห่างกันเพียงแค่สามหรือห้ากิโลเมตรเท่านั้น”
เรื่องนี้สำคัญมาก หลังจากที่หลีเสี่ยวเฮ่าถามครั้งแล้วครั้งเล่าจนแน่ใจ แล้วจึงรีบมาหาเยี่ยเทียน เพราะหลังจากที่ชายชราคนนั้นออกมาจากทางเข้าภูเขาปีศาจที่อยู่ตรงหน้าของหมู่บ้าน แล้วจึงรู้ว่าตัวเองเดินผิดเผลอเข้าไปในภูเขาปีศาจ ตอนนั้นเขารู้สึกตกใจไปสองสามวันไม่กล้าเอาแกะไปปล่อยเลี้ยงขข้างนอกอีก
“อู่เฉิน พวกคุณตามผมมา”
สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เท้าขวาหยุดบนพื้นกะทันหัน แล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในป่า พลางตะโกนพูดกับหูหงเต๋อที่กำลังใช้พลั่วขุดดินว่า “เหล่าหู คุณมากับผม เซี่ยวเทียนนายพาพวกเขาให้ขุดต่อไป”
และไม่ทันได้สนใจสีหน้าที่ดูไม่ได้ของอู่เฉินและหลีเสี่ยวเฮ่า เยี่ยเทียนก็ลากหูหงเต๋อออกมาจากป่า อธิบายเรื่องที่ภูเขาปีศาจยังมีทางออกอีกทางให้เขาฟัง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อก็พึมพำเล็กน้อยและพูดว่า “สามถึงห้ากิโลเมตรไม่ถือว่าไกลมาก ถ้าหากคิตะมิยะ ฮิเดโอะถูกสกัดกั้นอยู่ในหุบเขา เขาก็ต้องส่งคนหาทางออกอีกทางได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นจะสู้หรือจะถอย ก็อยู่ในกุมมือของอีกฝ่ายแล้ว”
“เฮ้อ เกรงว่าศิษย์พี่ก็ไม่น่าจะรู้เรื่องนี้”
ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกสับสนยุ่งกันอุตลุต แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะโทษโก่วซินเจียก็ไม่ได้ เพราะภูเขาปีศาจเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนเข้าไปอยู่แล้ว ที่โก่วซินเจียสามารถพาคนเข้าออกก็ถือว่าน่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเขาจะกล้าหาเรื่องให้ตัวเองวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในเขาปีศาจหรือ?
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนจ้องมองตัวเอง หูหงเต๋อจึงแบมือทั้งสอง ฝืนยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูด “เยี่ยเทียน นายอย่ามองฉันแบบนี้นะ เรื่องนี้ฉันก็ไม่มีวิธีที่ดีเหมือนกัน”
ถ้าจะพูดถึงระดับในการล่าสัตว์ของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนคงยากที่จะประจบสอพลอ แต่ในภูเขาที่มีคนมีชีวิตอยู่นับร้อยกว่าคน คงไม่มีใครจะยืนอยู่กับที่แล้วให้หูหงเต๋อจัดการทีละรายหรอก เขาจึงหมดหนทางที่จะเชิญสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
“แม่งเอ้ย ถึงคนแก่อย่างฉันจะต้องตาย แต่ก็ไม่สามารถให้พวกญี่ปุ่นมาเอาทองคำไปได้!”
เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนจึงด่าอย่างอดใจไม่ไหว ตอนนั้นโก่วซินเจียแย่งอาหารจากปากเสือของพวกญี่ปุ่น แล้วเริ่มซ่อนทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ หรือตัวเองจะเทียบศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ แล้วจึงมองตาปริบๆ ให้พวกญี่ปุ่นทำแผนสำเร็จ?
“เยี่ยเทียน เธอล้อเล่นอะไรอยู่?” หูหงเต๋อได้ยินจึงตกตะลึง จากนั้นจึงดึงเยี่ยเทียนที่กำลังถอดเสื้อคลุมออกแล้วพูด “ข้างในมีคนอยู่ร้อยกว่าคน นายเข้าไปคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร?”
ตอนนี้ไม่ใช่นายพลทั้งสองคนประจันหน้ากัน หลังจากฝ่ายหนึ่งชนะก็สามารถวางรากฐานให้มั่งคงสถานการณ์ในสนามรบได้ และในยุคปัจจุบัน ความองอาจห้าวหาญของแต่ละคน ก็จะมองจากมือเท้าทั้งสี่ที่เจริญเติบโตและมันสมองอย่างง่ายเท่านั้น ก็เหมือนกับหูหงเต๋อผู้มีชื่อเสียงในวงการยุทธจักร จึงไม่คิดว่าเยี่ยเทียนฉายเดี่ยวจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง
“ไม่เป็นไร เหล่ามา คุณถอดชุดของคุณมาให้ผมแล้วผมจะแอบเข้าไปโดยไม่ให้พวกมันรู้”
ตั้งแต่เด็กเยี่ยเทียนตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ เรื่องที่เขาตัดสินใจนั้น ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านหรือเปลี่ยนแปลงได้ และตอนนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเดินเข้าไปในภูเขาปีศาจให้จงได้
ขณะที่พูดเยี่ยเทียนก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว จากนั้นก็หยิบขวดที่ปิดผนึกขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากกระเป๋าเป้ของเขา
ออกแรงบิดฝาขวด จากนั้นเยี่ยเทียนจึงค่อยๆ เอียงปากขวดเทลงกลางฝ่ามืออย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มีกลิ่นเหม็นฉุนไหลออกมา แต่ว่าเยี่ยเทียนก็กลั้นหายใจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เขาจึงใช้น้ำยาของเหลวสีโปร่งใสทาไปบนตัว
ใช้มือหยิบชุดลายพรางขึ้นมาที่มีสัญลักษณ์ของตระกูลคิตะมิยะ หูหงเต๋อทนไม่ไหวจึงใช้เสื้อผ้าที่อยู่ในมือมาปิดจมูก และพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่ง นี่มันกลิ่นอะไรกันวะ? แถมนายยังทามันไว้บนตัว ไม่รู้สึกขยะแขยงบ้างหรือไง?”
“เหล่าหู กลิ่นนี้จะจางหายไปหลังจากสิบนาที ถ้าไม่มีของสิ่งนี้ ผมก็จะไม่กล้าเข้าไปในภูเขาปีศาจ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา ปิดฝาขวดนั้นอย่างระมัดระวังแล้วยัดใส่กลับไป พลางพูดว่า “ศิษย์พี่เป็นคนปรุงเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา ตอนนั้นเขาสามารถพาคนเข้าไปในภูเขาปีศาจได้ ต่างก็อาศัยเจ้าสิ่งนี้เนี่ยแหละ ไม่อย่างนั้นคุณคิดว่างูพิษยุงและแมลงที่อยู่ในเขานั้นคือพระที่ทานมังสวิรัติหรือ?”
……..