เยี่ยเทียนถึงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่สถานะที่อยู่ตรงนั้น หลังจากที่ขึ้นเครื่องบิน ถ้าหากเขาไม่พูด ก็ไม่มีใครกล้าพูด หลังจากที่เครื่องบินออกไปได้ครึ่งชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนก็ไปสอบถามสถานการณ์บางอย่างของพม่ากับหลิวซีกั๋ว บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดขึ้นมาทันตา
หลิ่วติ้งติ้งนั่งคู่กับโจวเซี่ยวเทียนพอดี ดูเหมือนว่าจะจำเรื่องที่ถูกอาจารย์ว่าหลานสาวตัวเองได้ มักจะกำปั้นใส่โจวเซี่ยวเทียนส่ายไปส่ายมาอยู่เป็นนิจ ถ้าไม่ใช่กังวลว่าเยี่ยเทียนและพ่อของตัวเองอยู่ด้วย เธอสามารถแสดงศิลปะการต่อสู้ในระยะทางหลายพันกิโลเมตรบนท้องฟ้าได้เลย
หลังจากที่ผ่านไปสองชั่วโมงกว่า เครื่องบินก็บินลงที่ย่างกุ้งของพม่า ภูมิอากาศของที่นี่ไม่แตกต่างกับเกาะฮ่องกง ถึงแม้จะเข้าปลายเดือนธันวาคม แต่อุณหภูมิยังคงยี่สิบกว่าองศา เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองหลวงที่พื้นดินปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ที่นี่สามารถเห็นต้นกล้วยน้ำว้าและต้นมะพร้าวทุกที่ ให้ความรู้สึกของวิวทิวทัศน์ทางประเทศทิศใต้
โจวเซี่ยวเทียนที่ไม่เคยออกนอกประเทศเลยจึงมองไปรอบด้าน แม้แต่หูหงเต๋อก็ยังรู้สึกตกตะลึง ตลอดชีวิตของเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ภูเขาฉางไป๋ซาน เขาคุ้นเคยกับอากาศแห้งและหนาวเย็น อุณหภูมิที่นี่ทำให้เขารู้ปรับตัวไม่ค่อยได้
“แตกได้จริงๆ นะ ซีกั๋ว พวกคุณมีรถมารับไหม”
หลังจากที่ออกจากสนามบิน เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยที่ไม่ทันสังเกตได้ ยังโชคดีที่ย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงของพม่า แท็กซี่ที่อยู่นอกสนามบินชักจูงลูกค้า จู่ๆ รถที่มีสีสันสดใสเป็นรถสามล้อทั้งหมด และมีบางคันคนที่ใช้แรงงานคนในการถีบ ทำให้เยี่ยเทียนอดที่จะคิดถึงในยุคปี 80 ของจีนไม่ได้
“มี คณะกรรมการจัดการได้จัดรถไว้แล้ว อาจารย์ลุง พวกเรารอสักครู่เถอะ ”
หลิวซีกั๋วกับเยี่ยเทียนรู้จักมักคุ้นกันไม่มากนัก แต่เขากลับเป็นคนที่หัวโบราณมาก เพราะเยี่ยเทียนเป็นศิษย์น้องของพ่อตา ดังนั้นหลิวซีกั๋วก็เลยเคารพเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก ภาษาที่พูดไม่พูดให้เสียมารยาทสักคำ
รวมทั้งก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนยังพนันหินที่เกาะฮ่องกง คิดไม่ถึงว่าจะดูจักรพรรดิสีเขียวมรกตนั้นออก ถึงแม้ว่านั่นไม่ใช่ของตระกูลพวกเขาก็ตาม แต่สร้อยข้อมือจักรพรรดิสีเขียวมรกตขัดเงาคู่หนึ่ง ยังคงอยู่ในร้านขายเครื่องประดับของครอบครัวเขา เนื่องจากบริษัทเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงในเกาะฮ่องกงก็ก่อตั้งโดยจั่วเจียจวิ้น
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน รถบัสขนาดกลางที่ท้ายรถเต็มไปด้วยควันโขมงสีดำ วิ่งหนีอุตลุดไปยังทางออกสนามบิน ชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถือบุหรี่อยู่ ถือป้ายกระดาษแล้วเดินเข้าไปในสนามบิน
“ฮัลโหล คุณมารับพวกเราหรือยัง”สายตาของหลิ่วติิ่งติ้งค่อนข้างดี แว็บเดียวก็เห็นข้อความบนแผ่นป้าย รีบดึงมือชายวัยกลางคนคนนั้นทันที
“ติ้งติ้ง ทำอะไรไม่ควรที่จะบุ่มบ่าม”
เมื่อเห็นลูกสาวออกตัวแรง หลิวซีกั๋วยืนแล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ เพราะชายหนุ่มวัยกลางคนคนนั้นในขณะนี้สายตาคู่หนึ่งพุ่งตรงมาที่หลิ่วติ้งติ้ง เด็กผู้หญิงที่พม่าต่างก็โดดแดดผิวดำคล้ำ ที่นั่นพวกเขาเคยเห็นผู้หญิงที่สวยแบบนี้ที่ไหนกัน
หลิวซีกั๋วพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของชายวัยกลางคน ชื่อที่แผ่นป้ายของเขาแล้วถามว่า “ผมคือหลิวซีกั๋ว ไม่ทราบว่าคุณคือคนที่มารับพวกเราใช่ไหม”
หลังจากที่ชายหนุ่มคิดที่จะเขย่งเท้ายังไม่ทันมองไปที่หลิ่วติ้งติ้งอีกครั้ง แล้วจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ใช่ ผมคือคณะกรรมการจัดงานส่งมา พวกคุณเชิญขึ้นรถเถอะครับ”
หลังจากที่ขึ้นรถ พวกของเยี่ยเทียนก้าวมาแค่ก้าวเดียวก็สัมผัสได้กับความยากจนของพม่า รถบัสขนาดกลางคันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเศษรถของประเทศไหน อย่างพูดถึงแอร์เลย แม้แต่กระจกตรงหน้าก็ไม่มี หลังจากที่ขับมาถึงโรงแรม หลายคนก็แทบวิงเวียนอยากจะะอ้วก ยิ่งไปกว่านั้นอย่าถามเลยว่ามีสภาพสะบักสะบอมอย่างไร
“ซีกั๋ว คุณไม่ใช่บอกว่าพม่าอุดมไปด้วยแหล่งแร่เหรอ ทำไมถึงยากจนขนาดนี้”เมื่อลงรถแล้วเข้ามาในโรงแรม เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลิวซีกั๋ว เพราะก่อนหน้านี้หลิวซีกั๋วแนะนำประเทศพม่าให้เขาฟัง ว่าทองมีจำนวนมาก แต่ทำไมถึงมีท่าท่างที่ยากจนขนาดนี้
หลิวซีกั๋วเมื่อได้ยินยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ลุง คนที่มีเงินส่วนใหญ่จะเป็นพวกสหพันธ์และพวกชนเผ่า รัฐบาลทหารพม่าควบคุมได้แบบจำกัด ส่วนใหญ่ก็ระแวกย่างกุ้ง แต่ไหนแต่ไรเงินเข้ารัฐบาลไม่เท่าไหร่ จนไม่สามารถสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้เลย ”
ถึงแม้พม่าจะไม่ใหญ่ แต่ก็มีป่าและภูเขาทุกที่ ทุกชนเผ่าจะรุกร้ำอยู่ตรงนั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครขึ้นบัญชีกับรัฐบาลทหารเลย และสำหรับทรัพยากรอสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยเหล่านั้น รัฐบาลอย่าได้คิดมีส่วนร่วมด้วย เพียงแค่พึ่งพารายได้จากตลาดมรกตในแต่ละปีเท่านั้น พวกข้าราชการพลเรือนเหล่านั้นยังไม่อดตาย ก็นับว่าดีมากแล้ว
“รัฐบาลนี้กลับเป็นดอกไม้ที่งดงามอย่างมหัศจรรย์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลชิงสมัยก่อนยังเทียบไม่ได้อีกเหรอ ”เยี่ยเทียนยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า เขาไปหน้าเคาเตอร์ในโรงแรมเพื่อนเช็คอินกับพวกของเขา เขามาที่พม่าในนามของหินพนัน ซึ่งการแสดงอย่างผิวเผินนี้ก็ต้องทำ
หลังจากที่หยิบกุญแจห้อง หลิวซีกั๋วหันมามองที่เยี่ยเทียน พูดว่า “อาจารย์ลุง ไหนๆ ก็มาแล้ว คุณก็ลองไปเดินดูที่งานมรกตสิ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ของดีกลับไปก็ได้”
“การพนันเป็นหินมรกตทั้งหมดเหรอ? เป็นการพนันทั้งหมดหรือการพนันแบบครึ่งหนึ่ง?”
หลังจากที่ฟังคำพูดของหลิวซีกั๋วแล้ว เยี่ยเทียนก็อดที่จะใจเต้นตุ้บๆ ไม่ได้ ต้องรู้ว่า ถ้าเขาอยากจะใช้กลวิชาในการจัดบ้านพักตากอากาศที่เกาะฮ่องกงนั้น ต้องใช้หินหยกคุณภาพดีไม่น้อย และคุณสมบัติของมรกตจะมีคุณสมบัติที่รองรับพวกวิญญาณ เมื่เทียบกับหยกเท่าไปจะดีกว่า ถ้าหากพนันได้สักสองสามก้อนจริงๆ ก็ประหยัดเงินเยี่ยเทียนไปได้หลายอยู่
หลิวซีกั๋วพูดว่า “วัตถุของพม่าที่นี่เป็นมือแรกทั้งหมด เพิ่งขุดออกมาจากเหมืองแร่ ส่วนใหญ่เป็นการพนันแบบเต็มทั้งหมด อาจารย์ลุงสิ่งที่คุณเห็นครั้งที่แล้ว นั้นคือพวกพ่อค้ามือสองเขามาตัดเอง และพวกเจ้าของที่เอามาจากเหมืองแร่ กลับชอบขายแบบพนันวัตถุทั้งหมด
หินดั้งเดิมที่ห่อหุ้มด้วยหินอีกชั้น แม้แต่พวกเทพเทวดาก็อยากที่จะแยกแยะออกว่ามีมรกตแฝงด้วยไหม ดังนั้นพวกเจ้าของเหมืองเหล่านั้น ส่วนใหญ่น้อยมากที่จะขายหินที่แกะออกมาแล้ว แบบนี้หลีกเลี่ยงการพนันที้สี่ยงสูงเกินจริง
ต่อให้เป็นอย่างนี้ เปลือกหินที่ไม่ดีขายในราคาที่ต่ำ ส่วนมากมักจะแกะออกมาแล้วขายในราคาหยกที่สูงได้ ที่จริงก็พูดไม่ได้ว่าใครที่ขาดทุนหรือได้กำไรกันแน่
“งั้นก็ช่างเถอะ วัตถุที่พนันทั้งหมดต้องเป็นนักพนันที่ใจกล้า ผมทำไม่ได้หรอก”
เมื่อได้ยินหลิวซีกั๋วพูดแบบนี้ ทันใดนั้นเยี่ยเทียนถึงกับอยากจะกำจัดความคิดหรือการพนันหินทิ้ง ก็เลยปริปากพูดว่า “พรุ่งนี้ผมต้องไปจัดการธุระ เร็วสุดประมาณสามถึงห้าวัน ช้าสุดหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับมา ถ้าเลยเวลานี้ คุณก็กลับไปเกาะฮ่องกงเองนะ”
เยี่ยเทียนได้ทำนายทริปการเดินทางพม่าในสองสามวันที่ผ่านมา ผลการทำนายไม่ต่างกับโก่วซินเจีย อนาคตยังคลุมเครือไม่สามารถสรุปได้ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่กล้าที่จะสรุปว่าจะราบรื่นหรือไม่
หลิวซีกั๋วรับปากแล้วพูดว่า “ครับ ท่านอาจารย์ลุง ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร คุณโทรศัพท์มาได้ทุกเมื่อนะครับ”
เมื่อโบกไม้โบกมือ เยี่ยเทียนก็ไปหยิบคีการ์ดห้องแล้วพา
หูหงเต๋อพวกเขาทั้งสองคนก็ตรงไปยังลิฟต์ หลิ่วติ้งติ้งก็ตามไปอัตโนมัติ เยี่ยเทียนก็ขี้เกียจจะพูดอะไรทั้งนั้น เกรงว่าอาจารย์หลี่ซั่นหยวนกลับชาติมาก่อน ก็ไม่สามารถทำอะไรยายนี่ได้
แต่หลิ่วติ้งติ้งก็ฝึกวิชาสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดวิชา การฝึกของหลิ่วติ้งติ้งก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าไม่ได้เข้าขั้นสูงสุดแบบโจวเซี่ยวเทียน แค่การต่อสู้กับชายที่บึกบึนสามถึงห้าคน ก็ไม่ได้มีปัญหา เล็กน้อยจึงสามารถช่วยธุระของเยี่ยเทียนได้
“ท่านลุง นี่คุณทำอะไรน่ะ”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเข้ามาในห้องแล้วนั่งขัดสมาธิบนเตียง หลิ่วติ้งติ้งก็อดที่จะถามอยากแปลกใจไม่ได้
“ฉันเหนื่อยแล้ว พักผ่อนสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
ต่างประเทศไม่เหมือนกับในประเทศ ทุกเรื่องต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะจำนวนทองคำมหาศาลพวกนี้ ถ้าหากตกหายไป เกรงว่าพวกมารปีศาจจะแห่เข้ามาเต็มไปหมด ดังนั้นเยี่ยเทียนก็ใช้พลังสัมผัสว่ามีคนติดกล้องวงจรปิดห้องนี้หรือไม่
การบำเพ็ญของเยี่ยเทียนในตอนนี้ หากคนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งสายตาเป็นระยะร้อยเมตรไปที่เขา ในใจของเขาก็มีสัญญาณเตือน แม้ว่าอุปกรณ์ดักฟังที่ติดตั้งจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ซ่อนการตรวจสอบสัมผัสทั้งหกของเยี่ยเทียนไม่ได้
“หลอกใครล่ะ”หลิ่วติ้งติ้งบ่นพึงพำอย่างไม่พอใจ
“ชู่!”
เยี่ยเทียนจ้องตาเธออย่างไม่พึงพอใจ ปิดตาลงอีกครั้ง ผ่านไปห้าหกนาทีถึงลุกขึ้นจากเตียง พูดว่า “ติ้งติ้งอยู่ห้องหนึ่ง เหล่าหูกับเซี่ยวเทียนและผมอยู่ที่นี่ นั่งเครื่องบินมาครึ่งวันแล้ว เหนื่อยอยากจะพักผ่อน”
ถึงแม้พม่าสร้างอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้แย่มาก เมื่อครู่ที่ผ่านมาตลอดทางไม่เห็นตึกที่มีความสูงมากกว่าสิบชั้นเลยสักตึก แต่โรงแรมกลับสร้างได้ไม่เลว พวกของเยี่ยเทียนอาศัยอยู่หนึ่งห้องแล้วแยกเป็นสองห้องนอน มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว
“ฉันไม่เหนื่อย!”หลิ่วติ้งติ้งอยากอยู่ในห้องนี้ของเยี่ยเทียน
“ไปเหนื่อยก็กลับไปนอนพัก!”หลังจากที่ไล่หลิ่วติ้งติ้งกลับไป เยี่ยเทียนก็หยิบโทรศัพท์แล้วเปิดโทรศัพท์ขึ้น เมื่อเปิดโทรศัพท์ก็มีข้อความสี่ห้าประโยคสั้นๆ ส่งมา ยังไม่ทันได้ดู เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ผมคือเยี่ยเทียน”เยี่ยเทียนก็ไปกดปุ่มที่รับสาย
“คุณเยี่ย ผมคือผู้หมวดจางซานคนของนายพลปอกาง มีรถทหารสามคันอยากให้คุณตรวจสอบ ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”ภาษาจีนในเสียงปลายทางไม่ค่อยรื่นหู เหมือนพากลิ่นอายเขตภูเขาหยุนกุ้ยมาด้วย
เยี่ยเทียนคิดสักพัก แล้วพูดว่า “ผมเพิ่งถึงพม่า ตอนนี้อยู่ที่ย่างกุ้ง เอาอย่างนี้พรุ่งนี้คุณเอารถสามคันนี้ส่งนี้ด้านนอกเมืองย่างกุ้งได้ไหม พอถึงเวลานั้นค่อยติดต่อผมอีกที”
ตอนนี้ตัวเขาเองอยู่ต่างประเทศ และการมาครั้งนี้พาหลายคนมาด้วย เยี่ยเทียนจัดการอะไรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้มาราไกย์ อู๋เฉินและคนอื่นๆ มาพม่าด้วย พลอยจะไม่ได้ติดร่างแหไปด้วย
“ไม่มีปัญหา งั้นพรุ่งนี้ผมค่อยติดต่อกับคุณเยี่ยอีกที!”ฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นทหาร พูดกระชับได้ใจความ หลังจากที่รับปากไปก็วางสายโทรศัพท์ลง
เมื่อได้ยินเสียงสายซ้อนมาตามสาย เยี่ยเทียนรีบโทรศัพท์หาถังเหวินหย่วน หลังจากที่เช็คชื่อคนที่ชื่อจางซาน ถึงได้สบายลง
หลังจากเหลือบดูข้อความในโทรศัพท์มือถือ เยี่ยเทียนก็โทรศัพท์หาอู๋เฉิน รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามได้ลงจากเครื่องบินไปแล้ว และก็เข้าพักโรงแรมที่อยู่ไกลกับตัวเองมาก หลังจากที่กำชับอู๋เฉินสองสามประโยคไม่ให้ก่อเรื่อง เยี่ยเทียนก็วางโทรศัพท์มือถือลง
“อาจารย์ พวกเรามาครั้งนี้ มาทำอะไรกันแน่”เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินบนถนนไปที่โรงแรม โจวเซี่ยวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นอยู่ในใจ
“ทองคำ ฉันมาที่นี่เพื่อค้นหาทองคำที่ญี่ปุ่นซ่อนอยู่ในพม่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เหล่าหู เซี่ยวเทียน ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกพวกคุณ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก กลัวว่าข่าวคราวจะรั่วไหลเอา”
พอถึงเวลานี้ เยี่ยเทียนไม่จำเป็นต้องปิดบังทั้งสองคนแล้ว ในขณะนี้เขาก็ได้อธิบายความเป็นไปเป็นมาของเรื่องนี้
……