“ศิษย์พี่ ความแค้นระหว่างจีนและญี่ปุ่นทั้งสองประเทศไม่มีทางสลายหายไปได้หรอก พวกมันจะมีวัตถุประสงค์อะไรได้?” หลังจากได้ฟังโก่วซินเจียพูดแล้ว เยี่ยเทียนก็ตกตะลึงไป ตามที่เขาคิด การได้พบกับคาโต้ ทาคุมินั้นเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น เยี่ยเทียนจึงไม่ได้คิดให้ลึกลงไป
โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า “เธอไม่เข้าใจตระกูลคิตะมิยะ นับตั้งแต่จักรพรรดิมุตสึฮิโตะ เท็นโนเป็นต้นมา พวกเขาก็เริ่มมีอำนาจบาตรใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น พอมาถึงยุคสงครามญี่ปุ่นกับจีน แค่ตระกูลคิตะมิยะที่เป็นขุนพลอย่างเดียวก็มีเป็นสิบกว่าคนแล้ว เป็นทีมที่มีอำนาจและมากฝีมือของฝั่งญี่ปุ่น…”
ปีนั้นที่ถูกคิตะมิยะ ฮิเดโอะลอบทำร้ายตัดแขนซ้ายขาด โก่วซินเจียเกิดความโกรธแค้นมาตลอด ในระหว่างที่เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ยังไม่ถูกคุณชายเจียงหมายหัวนั้น เขาเคยใช้เงินทุนตัวเองสืบเรื่องของตระกูลคิตะมิยะ
พอได้สืบถึงได้พบว่ากำลังของตระกูลคิตะมิยะนั้นแข็งแกร่งมาก แกร่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ ทั้งทหารบก ทหารอากาศและทหารเรือสามเหล่าทัพของญี่ปุ่น ล้วนแล้วแต่มีเงาของตระกูลคิตะมิยะอยู่เบื้องหลัง ปีนั้นมีนายพลคนหนึ่งในตระกูลคิตะมิยะ ได้รับมอบหมายให้ขุดและซ่อนทองคำที่พม่าในคราวนั้น
โก่วซินเจียเขาเป็นคนประเภทที่กล้าทำกล้ารับ ในข้อมูลเหล่านี้ เขาพบว่ามีเหตุการณ์บางอย่างน่าสนใจ นั่นก็คือ…ตระกูลคิตะมิยะถึงแม้จะมีชื่อเสียงเลืองลื่อว่าจงรักภักดีกับจักรพรรดิ แต่ว่าพวกเขากลับมาจากสมัยบาคุฟุ ในช่วงนั้น อำนาจของจักรรพดิญี่ปุ่นถูกลิดรอน ทำให้แผ่นดินว่างมาเป็นพันกว่าปีแล้ว
หรืออีกนัยหนึ่ง นั่นก็คือตระกูลคิตะมิยะมีความภักดีต่อจักรพรรดิอย่างมีขอบเขต โก่วซินเจียยังพบเอกสารต่างๆ ของคนที่ดำรงตำแหน่งทางการทหารในตระกูลคิตะมิยะ จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นมาจากความโลภมากกว่าความภักดีต่อประเทศ แต่โก่วซินเจียที่รู้จักมักคุ้นกับหัวหน้าทีมของกองพลโอซาก้าที่สี่ ก็คือคนของตระกูลคิตะมิยะ
หากพูดถึงกองพลโอซาก้าที่สี่ แม้แต่โก่วซินเจียเองก็สงวนท่าทีเอาไว้ไม่ได้ กองพลนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “กองพลพ่อค้า” ในตอนที่ญี่ปุ่นรุกรานจีนตลอดแปดปีนั้นกองพลโอซาก้าที่สี่ทำการค้ากับโก่วซินเจียไม่น้อย เล็กสุดคือปืนและระเบิด ใหญ่สุดก็คือเอกสารลับราชการ ล้วนแต่เป็นเครื่องหมายการค้าของพวกเขา
กองพลที่โอซาก้าที่สี่มีกำลังพลประมาณสองหมื่นสองพันคน ในเขตปกครองมีสี่กองร้อย มีอุปกรณ์กันกระสุนระดับมาตรฐานและอุปกรณ์อื่นๆ อีกจัดได้ว่าเป็น “หัวกะทิ” ของทหารญี่ปุ่น เนื่องจากการทำสงครามของญี่ปุ่นกับเยอรมนีมีการรบแพ้ชนะสลับกันหลายครั้ง จึงได้ฉายาว่า “แปดกองร้อยแพ้ไม่กลัว” และ “กองพลไร้น้ำยาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ”
เนื่องจากในการนำของบุคคลที่ไม่เคารพในองค์จักรพรรดิของตระกูลคิตะมิยะ เมื่อกองพลที่สี่เข้ามาในจีนก็ไม่เปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ เอ้อระเหยแม้แต่น้อย
ในปี 1939 สหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นเกิดสงคราม โนะมอนฮาน ที่บริเวณพื้นที่ชายแดนของจีนและมองโกเลีย กองทัพตะวันออกเฉียงเหนือมีคำสั่งให้กองพลโอซาก้าที่สีและกองพลเซ็นไดที่อยู่ทางด้านเหนือของประเทศแมนจูรีบเตรียมกองกำลังไปช่วยแนวหน้าสู้รบ
กองกำลังเซ็นไดหลังจากได้รับคำสั่งแล้ว รีบเดินทัพอย่างเร่งด่วนสี่วันจาก ไห่ลาเอ่อร์ ไปยังโนะมอนฮาน พอไปถึงสมรภูมิรบก็เข้าร่วมการรบ แต่ไม่นานก็ถูกทหารโซเวียตตีแตกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
ทางกลับกัน กองพลหารที่สี่ถึงแม้คำสั่งจะถูกส่งลงมา แต่ก็ยังชักช้า “ไม่เคลื่อนย้ายทหาร” ข้ออ้างคือเมื่อมีคำสั่งเคลื่อนกำลังทหารลงมา ผู้เจ็บป่วยในกองทัพมีเพิ่มมากขึ้น มองไปทางไหนในค่ายก็มีแต่ทหารที่ขออาสาเฝ้าค่าย ด้วยเหตุผลร้อยแปดเหล่านี้จึงไม่เคลื่อนกำลังทหาร
เหล่าขุนพลกองกำลังทหารญี่ปุ่นเกิดความโมโห เข้าไปนั่งอยู่ในห้องพยาบาล ตรวจสอบอาการด้วยตนเอง ถึงได้รวบรวมทีมได้อย่างทุลักทุเลไปยังแนวหน้า จากนั้นเรื่องราวก็ยังไม่จบ พวกกำลังพลที่อยู่ในกองพลที่สี่ยังได้มีเล่ห์เพทุบายใหม่เกิดขึ้น…ทำตามอย่างชักช้าอืดอาดที่สุด
จากไห่ลาเอ่อร์ไปยังโนะมอนฮาน กองทหารที่สองเดินกันสี่วัน กองทหารที่สี่กลับเดินกันแปดวันเต็มๆ และมีหลายคนที่หนีทหาร ที่ประจวบเหมาะพอดีก็คือ ในวันก่อนที่กองพลรบที่สี่ส่งมาจะมาถึง โซเวียตและญี่ปุ่นก็ประกาศหยุดทำสงคราม
หลังจากข่าวแพร่ออกมา ขุนพลทหารที่แตกแถวออกไปของกองพลที่สี่ก็เหมือนได้กิน “ยาขนานดี” รีบกลับมาเข้ากองทัพทันที แม้แต่พลทหารที่ป่วยอยู่ก็ “พาโรค” ของตัวเองวิ่งมาที่แนวหน้าด้วย ด้านหนึ่งบ่นเสียดาย ว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้! ในตอนนั้นขุนพลผู้นำกองพลโซดะ ชิเกรุ แก้ตัวว่าเพราะกองพลที่สี่นั้นมีที่อยู่กระจัดกระจาย
ถึงแม้ว่าจะได้รับการกระแทแดกดันอย่างมาก ตอนที่กลับมากองพลทหารที่สี่ ก็มีคนเต็มกำลัง และไม่อ่อนแรง กลายเป็นกองพลทหารที่น่าเกรงขามที่สุดในกองทัพญี่ปุ่น กองพลทหารที่สองที่รีบไปสมทบก่อนหน้านั้นกลายเป็นกองพลที่สูญเสียทหารและมีผู้บาดเจ็บเต็มค่าย
ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องตลก แต่กองพลที่สี่ก็ถือว่ายังโชคดี เพราะในตอนนั้นกองทัพญี่ปุ่นที่รุกรานประเทศจีนอยู่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ต้องการกำลังเพิ่ม กองกำลังญี่ปุ่นจึงได้แต่ยอมละทิ้งการลงโทษกองพลที่สี่ รีบสั่งการให้ย้ายลงไปด้านทิศใต้ กองพลที่สี่พลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นทีมหัวกะทิของทหารญี่ปุ่นจากสิบเอ็ดกองพล
หากจะกล่าวอย่างจริงจัง กองพลโอซาก้าที่สี่นับได้ว่าทำประโยชน์ในสงครามครั้งนี้ เนื่องจากในตอนสงครามสวี๋โจว หลี่จงเหรินและกองกำลังกว่าสี่แสนคนหลบหนีออกจากการล้อมของทหารญี่ปุ่นแล้ว คนเหนื่อย ม้าอ่อนแรงพลังการรบนั้นลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะที่กำลังหลบหนีบนถนนเส้นหนึ่งในดินแดนของซานตง เจียงซูและอันฮุยนั้น พบว่าด้านหน้านั้นมีทหารญี่ปุ่นกำลังกระชับพื้นที่เข้ามา และสวมชุดเกราะอย่างดี
ทหารจีนที่กำลังอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงในตอนนั้นตกใจลนลาน รีบหนีตายจากถนนและหลบไปยังภูเขาด้านข้าง ที่น่าแปลกก็คือ เวลาผ่านไปตั้งนานแต่ก็ไม่เห็นมีทหารญี่ปุ่นตามมา นายทหารที่สั่งการงุนงงเป็นอย่างมากสั่งให้ทหารไปสืบดู กลับเห็นว่าทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นไม่ได้มีทีท่าว่าจะไล่ตาม ตรงกันข้ามยังอยู่บริเวณสองข้างทางและก่อไฟหุงข้าวกันอยู่
เนื่องจากว่าเพิ่งหนีออกมาจากการล้อมของญี่ปุ่น สถานการณ์นั้นยังคงอันตรายอยู่มาก กองทหารของจีนจึงได้แต่ใจแข็ง ดึงดันตัดข้ามถนนสายนั้นไป ปรากฏว่าตลอดทางนั้นไม่มีอันตรายใดๆ หลังจากเกิดเรื่อง หัวหน้าทหารกองร้อยญี่ปุ่นจึงได้แต่อาศัยข้ออ้างรายงานว่า “ได้ปฏิบัติตามกฎการรบอย่างเคร่งครัด” เป็นเหตุผลเพื่อรายงานต่อเบื้องบนอย่างสวยหรูว่า ไม่ได้รับคำสั่งให้จู่โจมกองทัพทหารจีน”
หลังจากนั้นในตอนที่พบกันที่ฉางซา กองพลที่สี่เป็นแกนหลักในการโจมตี เมื่อเพิ่งเข้าไปถึงฉางซาก็ถูกไล่ออกมา เนื่องจากกองพลที่สี่กลายเป็น “ดาวนพเคราะห์” ของทหารญี่ปุ่น กองพลไหนก็ไม่ต้องการตัว ค่ายใหญ่จึงทำได้เพียงตั้งให้เป็นกองพลเขตปกครองตนเอง
ครั้งนี้ทหารในกองพลที่สี่คุยโม้ว่า “เป็นทหารก็ได้อยู่แต่กองพลชั้นหนึ่ง เมื่อออกรบก็อยู่ในระดับหัวกะทิ เมื่อต่อสู้ขึ้นมาในสิบเอ็ดกองพล…ก็ยังเป็นที่หนึ่ง สุดท้ายสิบเอ็ดกองพลก็รับพวกเขาไม่ไหว จึงได้กลายเป็นกองพลปกครองค่ายใหญ่…”
ในเดือนสิงหาคมปี 1945 ญี่ปุ่นยอมแพ้ กองพลที่สี่ ตอนนั้นรวมตัวอยู่ที่ กรุงเทพ ประเทศไทย ไม่เหมือนกับกองทหารญี่ปุ่นอื่นที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ กองพลที่สี่ยอมแพ้และกลับประเทศไปด้วยความรวดเร็วและราบรื่น
ตอนปรากฏตัวที่ท่าเรือญี่ปุ่นนั้น ทั้งหมดมีสีหน้าแดงระเรื่อ ทหารกองพลที่สี่มีสุขภาพแข็งแรงปรากฏตัวขึ้น ในพื้นที่ส่วนมากเป็นพวกทหารที่ขาดสารอาหาร คนญี่ปุ่นที่ผอมแห้งล้วนแต่ตกตะลึง และสรุปได้ว่ากองพลที่สี่ของกองทัพญี่ปุ่นเป็นกองทัพแดนใต้ที่สูญเสียน้อยที่สุดและอาวุธยุทโธปกรณ์เหลือครบครันที่สุด
กองทัพอเมริกาให้ความคิดเห็นต่อกองพลนี้ว่า “งานอดิเรกคือรักสงบ” หลังจากกองพลที่สี่กลับประเทศไปแล้ว ก็ได้แสดง “ความสามารถพิเศษนี้” ออกมา หลังจากกลับประเทศเป็นวันที่สอง ก็มีทหารวิ่งไปที่หน้าค่ายของทหารอเมริกา ตั้งร้านขายของอย่างเป็นระเบียบ ขายของที่ระลึกจากสงคราม
“แปลกมาก ถ้าหากญี่ปุ่นมีแต่กองทหารแบบนี้ อย่างนั้นสงครามการรุกรานจีนของญี่ปุ่นครั้งนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น”
หลังจากได้ฟังที่โก่วซินเจียเล่าถึงกองทหารโอซาก้าแล้ว เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าบนโลกนี้มีกองทหารแบบนี้ด้วย
“เป็นเพราะการเสี้ยมสอนของตระกูลคิตะมิยะ หลังจากสงครามแล้ว เศรษฐกิจของโอซาก้านั้นพัฒนาได้เร็วกว่าใครเพื่อน ดังนั้นพวกคนตระกูลคิตะมิยะ ล้วนแต่ชอบเงินตรา หากว่าไม่มีผลประโยชน์ พวกเขาคงไม่มาที่ประเทศจีน”
เมื่อพูดถึงตระกูลคิตะมิยะ สีหน้าของโก่วซินเจียก็หม่นลง ถึงแม้ตระกูลนี้ไม่สนใจในอำนาจของจักรพรรดิ แต่เมื่อเป็นเรื่องของการหาผลประโยชน์เข้าตระกูลแล้วจะกลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที และทำทุกวิถีทางให้ได้มา
เหมือนกับทองคำที่ขุดและซ่อนไว้ที่ประเทศพม่า ตระกูลคิตะมิยะเดิมทีก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะส่งคืนให้กับประเทศ แต่ที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ โก่วซินเจียกลับยื่นขาเข้ามาเอี่ยวด้วย แย่งเอาทองคำไป แน่นอนโก่วซินเจียก็ได้แลกมาด้วยแขนซ้ายและชีวิตของเพื่อนพ้องอีกกว่าสิบชีวิตเป็นการตอบแทน
ความเป็นจริงนั้นก็เป็นเหมือนที่โก่วซินเจียพูดทั้งหมด ครั้งนี้ตระกูลคิตะมิยะเล็งเห็นถึงตลาดวิชาดาบที่ใหญ่โตของประเทศจีนและเกาหลี เพียงแต่ว่าพวกเขาดำเนินการที่ประเทศเกาหลีผ่านไปได้ด้วยดี แต่หลังจากที่มาถึงประเทศจีนแล้วสถานการณ์ของคาโต้ ทาคุมินั้นกลับน่าอนาจยิ่งนัก
“ศิษย์พี่ วรยุทธ์ของคาโต้ ทาคุมินั้นไม่อ่อนแอ. น่าจะเป็นคนสำคัญที่ทางตระกูลคิตะมิยะฝึกฝนและพัฒนาขึ้นมา ผมไม่เชื่อว่าพวกนั้นจะนั่งมองอย่างไม่สนใจ ถึงตอนนั้นพวกเราศิษย์พี่น้องก็ค่อยต่อสู้กับพวกมันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย!”
เยี่ยเทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น พลางเอามือเปิดเหล้าเหมาไถที่จู้เหวยเฟิงให้มาแล้วยังไม่ได้ดื่ม หลังจากดื่มไปครึ่งขวดในครั้งเดียวแล้ว ก็ส่งให้โก่วซินเจีย กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ปีนั้นพี่ตัวคนเดียวได้รับอันตรายอยู่ที่ต่างประเทศ ถึงได้เสียทีเพลี่ยงพล้ำขนาดนี้ ตอนนี้อยู่ในพื้นที่ของพวกเราแล้ว พวกเราจะต้องทำให้พวกมันมาแต่กลับไปไม่ได้!”
“พื้นที่ของเรา เหอะๆ พูดถูกแล้ว ที่นี่เป็นประเทศจีน ฉันเป็นคนจีน…”
โก่วซินเจียหัวเราะแบบเหงาหงอย โบกไม้โบกมือกล่าวว่า “เยี่ยเทียน เรื่องตระกูลคิตะมิยะนั้นเอาไว้ก่อน พวกมันทำการอะไรระมัดระวัง ไม่มาแก้แค้นง่ายๆ หรอก แต่ฉันตอนนี้รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลองทำนายดูแล้ว เหมือนกับว่าทองคำพวกนั้นจะมีปัญหา”
“ทองคำของพม่า” เยี่ยเทียนได้ยินก็ตกใจ “ศิษย์พี่ พี่ไม่ได้บอกเองเหรอว่าสถานที่ซ่อนทองนั้นลึกลับซับซ้อนมาก น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกมั้ง?”
“ฉันก็ไม่รู้ เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง การทำนายนั้นคลุมเครือเป็นอย่างมาก อีกอย่างเรื่องนี้ก็หลายทศวรรษมาแล้ว ภูมิทัศน์ของที่นั่นไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทองคำนั่นอาจจะถูกคนอื่นค้นพบก่อนก็ไม่แน่…”
หลายวันมานี้โก่วซินเจียพยายามหันเหความสนใจจากเรื่องของทองคำนั้น วันนี้เยี่ยเทียนพูดถึงตระกูลคิตะมิยะขึ้นมา ทำให้โก่วซินเจียรู้สึกสัมผัสได้มากกว่าเดิม
เพราะในจุดที่ตระกูลคิตะมิยะลอบฆ่าเขานั้น ห่างจากที่ซ่อนทองไปไม่ถึงสิบกิโลเมตร ซึ่งไม่ไกลเลย หากครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาตระกูลคิตะมิยะไม่ละทิ้งการตามหาล่ะก็ อาจจะพบเจอสถานที่เก็บซ่อนทองคำเอาไว้ก็ได้
โก่วซินเจียเงยหน้าขึ้นหยิบเอาเหล้าที่เยี่ยเทียนส่งให้ครึ่งขวดกระดกพรวด มองไปทางเยี่ยเทียนกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ทองคำนั้นเดิมทีก็เป็นคนญี่ปุ่นไปแย่งชิงเอามาจากเอเชียตะวันออก จะให้พวกนั้นเอาไปไม่ได้ ศิษย์พี่คนนี้ไม่มีห่วงอะไร ทองคำนี้เธอก็เอาไปเถอะ!”
“ให้ผมไปเอา?” เยี่ยเทียนได้ฟังก็ใจเต้นขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ก็ถอนหายใจตามมา และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ นั่นมันทองคำยี่สิบตัน มันหนักกว่าสองพันกิโลกรัม ศิษย์พี่จะให้ผมไปเอายังไง? ถึงแม้จะหาเจอ แต่ผมก็ขนกลับมาไม่ได้อยู่ดี!”
โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า “เรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวล ขอเพียงแต่เธอสามารถย้ายทองออกมาจากที่ซ่อนได้ แน่นอนว่าจะมีคนมารับเธอ ถึงตอนนั้นพวกเขาจะช่วยเธอขนทองกลับประเทศ…”
“ซ่งเฮ่าเทียน?” ตาของเยี่ยเทียนหรี่ลง คนที่สามารถทำได้เหมือนกับที่โก่วซินเจียพูด ในโลกนี้เกรงว่าจะมีแต่ซ่งเฮ่าเทียนเท่านั้น
“เจ้าเด็กนี่ อย่ากัดไม่ยอมปล่อยได้ไหม?”
โก่วซินเจียชี้ไปที่เยี่ยเทียนและดุว่า “น้องเหวินซวนก็เป็นคนอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว เขาได้ยอมลงมาขอขมาเธอแล้ว เธอจะเอาอะไรอีก? หรือจะต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนเธอ?
เยี่ยเทียน เธอจะต้องหัดปล่อยวางและให้อภัย ถือว่าเห็นแก่หน้าศิษย์พี่ ปล่อยความบาดหมางใจกับตระกูลซ่งไปได้ไหม?!”
ถึงแม้จะรู้จักและอยู่กับเยี่ยเทียได้ไม่นาน แต่โก่วซินเจียรู้ว่า ศิษย์น้องเล็กของตัวเองเป็นคนที่ใครดีมาดีตอบ ใครร้ายมาร้ายตอบ ถึงแม้เขาจะแสดงออกมาว่าจะคืนดีกับตระกูลซ่ง แต่ในใจยังคงไม่หายไปอยู่ดี
เยี่ยเทียนพลันมองไปที่โก่วซินเจีย กล่าวว่า “ศิษย์พี่ บอกซ่งฮ่าวเทียนเรื่องนี้เหรอ เขาไม่ตื่นเต้นเหรอครับ?”
“เขาไม่รู้เรื่องทองคำ .ฉันแค่บอกว่ามีเรื่องเงินทองจะมอบให้กับเธอ ถึงตอนนั้นจึงต้องการความช่วยเหลือจากเขา”
โก่วซินเจียอธิบายประโยคเดียว ตามด้วยการกล่าวหัวเราะแบบแกนๆ “ศิษย์น้องเล็ก ซ่งฮ่าวเทียนจะดีจะร้ายยังไงก็เคยเป็นเศรษฐีพันล้านมาก่อน เขาไม่สนใจทองคำนั้นหรอก ฉันว่า เธอควรจะนึกถึงตาของเธอในแง่ดีบ้างไม่ได้เลยหรือ?”
“ตกลง พวกเราไม่คุยกันเรื่องนี้แล้ว”
เยี่ยเทียนไม่อยากพูดถึงเรื่องตระกูลซ่งอีก โบกมือกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ การขนย้ายทองคำยี่สิบตันนี้ อย่างน้อยต้องการคนสิบกว่าคน เวลาน้อยแค่นี้ผมจะไปหาคนที่เชื่อถือได้มาจากไหนล่ะ?”
เนื่องจากเรื่องที่พ่อถูกคนอื่นหลอก เยี่ยเทียนตอนนี้รู้สึกอายมาก ตอนกลางคืนก็ยังตบหน้าตัวเองขนานใหญ่ที่ไม่รับหุ้นที่จู้เหวยเฟิงมอบให้ ทำให้เงินเขาขัดสนเงินทอง และไม่พอให้เขายาไส้ไปอีกสักพัก
……