คนจีนนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนดุร้าย เพราะทำสงครามกันมาตลอด เพียงแต่หลายพันปีมานี้ได้มีหลักคำสอนใหม่ให้ทุกคนมีไมตรีจิต เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ทำให้คนในประเทศไม่อยากมีเรื่องมีราวกับใคร แต่นี่ก็ไม่ได้แปลว่าคนจีนนั้นอ่อนแอสามารถรังแกได้ เหมือนกับที่นโปเลียนในปั้นปลายชีวิตอยู่ที่เซ้นต์เฮเลน่ากล่าวไว้ว่า ในซีกโลกวันออก ประเทศจีนเป็นมังกรที่หลับใหล
แต่ว่าหลังจากครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เมื่อเกิดสงครามในคราวนั้น มังกรที่หลับใหลตัวนี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว หลายสิบปีมานี้ได้มีการพัฒนาประเทศ ทำให้ความน่าเกรงขามของประเทศจีนถูกพูดถึงในเวทีนานาชาติ ที่เห็นได้ชัดและเห็นได้บ่อยก็คือ สถานะของประเทศจีนนั้นไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ในความสงยนี้ การแข่งขันกันในระดับประเทศก็ทำให้เกิดสงครามการค้าขึ้นมาอย่างเงียบๆ แต่สงครามระหว่างภาคเอกชนด้วยกันกับรุนแรงยิ่งกว่า เมื่อเยี่ยเทียนตัดแขนขาของคาโต้ ทาคุมิแล้ว หลังจากดื่มฉลองด้วยเหล้าแก้วใหญ่ๆ ก็เดินจากมา ภาพแผ่นหลังสีขาวนั้นได้ติดอยู่ในความทรงจำของพวกเหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายแล้ว
“เฮ้ย รอบเมื่อซักครู่นั้นไม่ได้พนันกันเลยนะ”
“นั่นสิ เสียดายมาก ไม่อย่างนั้นฉันจะพนันข้างอาจารย์เยี่ย!”
“น่าเสียดายอะไรกัน วันนี้รอบนี้ นับว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว ชาตินี้ทั้งชาติก็ลืมไม่ลง!”
หลังจากเสียงปรบมือที่แสดงความเคารพต่อเยี่ยเทียนหยุดลงไป พลันก็มีคนส่งเสียงอึกทึก ภาพการต่อสู้นี้ถึงแม้จะดูน่าปีติยินดี ทำให้ความอัดอั้นในใจมลายหายไป แต่การที่ไม่สามารถลงพนันได้ก็ทำให้หลายคนรู้สึกเสียดาย
แน่นอนว่า มีใครซักคนในนั้นบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นอันเดรวิชกับจางซานปะทะกัน หรือว่าเยี่ยเทียน ใช้ทวนเดียวต่อสู้กับผีร้ายญี่ปุ่น ผลแพ้และชนะทั้งสองรอบในวันนี้ จะทำให้พวกเขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต
…
หลังจากกลับมาอยู่ในห้องควบคุมบนตึกแล้ว รองเท้าของเยี่ยเทียนก็มีคนเอาไปทำความสะอาดลบรอยเลือดที่ติดอยู่ให้ จู้เหวยเฟิงไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ แต่ก็ให้ชิวเหวินตงอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยเทียน
“อาจารย์ มันตื่นเต้นมากจริงๆ!”
เมื่อเห็นชิวเหวินตงกำลังเล่นภาพซ้ำไปมา หมัดของโจวเซี่ยวเทียนก็กำแน่น อยากจะให้คนที่แสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์เมื่อซักครู่เป็นตัวเองก็คงจะดี คนหนุ่มมักจะชอบความรู้สึกถูกผู้คนนับถือเพราะเป็นผู้แข็งแกร่ง ในเวลานี้ ในใจของโจวเซี่ยวเทียนนั้นมีแต่ความเคารพเยี่ยเทียนมากขึ้น
“เยี่ยเทียน คิดไม่ถึงว่าเธอจะใช้ทวนได้ดีขนาดนี้ ” มองดูหน้าจอที่เล่นซ้ำไปมา หูหงเต๋อก็ตาเป็นประกาย โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเยี่ยเทียนปล่อยพู่ทวน จึงยิ่งตะโกนเสียงดังขึ้น
การกระทำของเยี่ยเทียนบนเวทีมวย เหมือนกับประโยคที่ว่า “กวนอูไม่ลืมตา หากลืมตาจะต้องฆ่าคน” หูหงเต๋อก็ดูอย่างสะใจไม่อาจควบคุมตัวเองได้
“เหล่าหู อย่ายกยอปอปั้นผมให้มากไปเลย โบราณว่าไว้กระบวนท่าเดียวที่ชำนาญก็ทำให้ร้อยวิชาล้วนชำนาญไปด้วย เกรงว่าวิชาทวนนี้จะไม่ด้อยไปใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนหัวเราะทำไม้ทำมือ ชี้ไปที่ภาพบนหน้าจอแล้วหันไปทางชิวเหวินตง กล่าวว่า “เหล่าชิว นอกจากภาพที่ฉันกำลังพูดอยู่นั่น ที่เหลือที่เป็นภาพในระหว่างการต่อสู้ให้ลบออกให้หมด ฉันจะนั่งมองอยู่ตรงนี้…นายลบออกที!”
ที่ต้องมาห้องควบคุมเพราะว่าเยี่ยเทียนต้องการมาดูกล้องวงจรปิดนั่น ถึงแม้เขาจะไม่กลัวตระกูลคิตะมิยะมาแก้แค้น แต่เบื้องลึกและรายละเอียดของตัวเองนั้นก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาโกรธ
วิถีดาบของคาโต้ ทาคุมินั้นอาจจะไม่ได้เก่งมาก แต่ที่ญี่ปุ่นบางทีก็จะมีคนที่มีพรสวรรค์อยู่บ้าง มีบางคนที่ความคิดฉลาด หรือแม้กระทั่งแอบเรียนวิชาพลังภายในของจีน คิดอยากจะพัฒนาวิชาดาบที่ส่งต่อกันมาเป็นพันปีอีกครั้ง
ผู้ร่วมก่อตั้งประเทศเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่ว่า “ในด้านยุทธศาสตร์ พวกเราจะต้องดูแคลนศัตรู แต่ในด้านเทคนิคแล้วพวกเราจะต้องให้ความสำคัญกับศัตรู” นับตั้งแต่ได้ฟังประสบการณ์เรื่องราวในพม่าจากศิษย์พี่ใหญ่แล้วนั้น เยี่ยเทียนไม่คิดที่จะดูแคลนใคร หรืออยากมีเรื่องกับใครเลย
อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากให้ภาพตอนลงมือถูกปล่อยออกไป โบราณว่าไว้ผู้คนกลัวคนมีชื่อเสียงและแข็งแรงกว่า หากถูกพวกระดับสูงเห็นแล้วเพ่งเล็งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดี ทั้งประเทศอาจจะโยนความชอบธรรมทั้งหมดมาให้เยี่ยเทียนแบกรับไว้ก็ได้ สำหรับตัวเยี่ยเทียนเองสามารถรับได้ แต่หากพาดพิงไปถึงครอบครัวแล้วก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น
“นี่มัน…น้องเยี่ย ฉัน…ฉันเป็นแค่หุ้นส่วนตัวเล็กๆ ที่นี่ ลบข้อมูลวีดีโอ ฉันไม่ได้รับสิทธิ์นั้น”
หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนแล้ว ชิวเหวินตงก็แสดงสีหน้าลำบากใจ ห้องควบคุมนี้เป็นสถานที่สำคัญของเวทีมวยทั้งหมด หากจู้เวยเฟิงไม่อนุญาต เขาไม่กล้าที่จะตัดสินใจลบวีดีโอพวกนี้โดยพลการ
ในตอนที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเยี่ยเทียนอย่างไรนั้น จู้เวยเฟิงก็เดินเข้าประตูมา หัวเราะกล่าวว่า “เหล่าชิว ฟังน้องเยี่ยเทียนเถอะ ลบภาพที่บันทึกไว้เมื่อซักครู่ออกให้หมดเถอะ!”
“ประธานจู้ งั้นก็ขอบคุณมาก!” เยี่ยเทียนมองอย่างยิ้มแย้มไปที่จู้เวยเฟิง โบราณว่าไว้พึ่งพาอาศัยกัน คนอื่นไว้หน้าแล้วเยี่ยเทียนแน่นอนว่าก็ต้องมีมารยาทด้วย
“น้องเยี่ยพูดอะไรกัน หากจะขอบคุณ ต้องเป็นฉันที่ขอบคุณนายและก็คุณหู!” จู้เวยเฟิงโบกมือ กล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองคน งานวันนี้ของฉันก็คงขายขี้หน้าในระดับนานาชาติไปแล้ว”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “คนเรามีผิดพลาดกันได้ การแพ้ชนะในคราวเดียว นับว่าไม่ได้มีอะไร เยี่ยเทียนคนนี้ขอพูดอะไรที่อาจจะเสียมารยาทเสียหน่อย ยอดฝีมือในเวทีมวยของคุณนั้น ยังไม่มีคนที่แกร่งจริงๆ นะ?”
“น้องเยี่ย นายคิดว่าฉันไม่อยากรับคนที่มีฝีมือสูงเข้ามาหรือไงกัน”
จูเวยเฟิงกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ “คนที่มีฝีมือก็ปฏิบัติตามกฏระเบียบของประเทศไม่สู้รบกับคนอื่น ใช่ว่าเชิญด้วยเงินแล้วจะได้ ต่อให้เป็นนักมวยพวกนี้ ฉันก็ต้องทุ่มเทเลี้ยงดูและพัฒนาเป็นอย่างมาก”
จู้เวยเฟิงเคยวิ่งรอกไปมณฑลเหอหนานและมณฑลเหอเป่ยสองเมืองใหญ่ที่มีการฝึกวรยุทธ์มาก คารวะนักสู้ที่มีชื่อเสียงหลายคน เพียงแต่คนที่ฝึกวรยุทธ์ในตอนนี้ ฝึกวิชาทั้งหมดก็เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น ไม่เหมาะกับการใช้ในสถานการณ์จริง สำหรับการเข่นฆ่ารบรานั้นจึงมีความกังวลใจอยู่
แล้วยิ่งมีหลายแขนงการคัดเลือกลูกศิษย์ก็ยิ่งเข้มงวด ผู้อาวุโสก็ไม่ยอมให้พวกลูกศิษย์ยอมต่อสู้เพื่อเงิน ดังนั้น จู้เวยเฟิงวิ่งรอกมารอบหนึ่ง ก็หาได้แต่พวกมือดีระดับรองสามถึงห้าคนเท่านั้น ใช้แข่งขันต่อสู้ภายในประเทศได้ แต่หากเผชิญกับผู้มีฝีมือจากต่างประเทศ ความแตกต่างก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ประเทศจีนกำลังเผชิญกับความยากลำบาก พวกปรมาจารย์หมัดมวยกลับเก็บรักษาเคล็ดวิชาเอาไว้ราวกับเป็นสิ่งมีค่า ไม่เหมือนกับหาดเซี่ยงไฮ้ที่มีนักสู้รักประเทศกลุ่มหนึ่ง นำเอาวิชาการต่อสู้ออกมาเผยแพร่ ให้ผู้คนได้ออกกำลังกายทำให้แข็งแรง
แนวความคิดนี้ดีที่สุด แต่ว่าไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ อันดับแรกประเทศต้องไม่อนุญาต เพราะไม่ว่าจะยุคสมัยใด “นักรบก็ใช้กำลังเข้าสู้” ประโยคนี้ใช้ได้กับทั้งหมด คนเมื่อฝึกวิชาแล้วเลือดลมสูบฉีด ทำให้เกิดปัจจัยที่ไม่สงบสุขให้เกิดแก่ประชาชน
ลองคิดดูว่า ถ้าในแต่ละวันคนเรามีปากเสียงกันจากเรื่องเล็กน้อยมากมาย หากว่าเมื่อทะเลาะกันก็เริ่มไปฝึกซ้อมวิชาหมัดมวยมาตีกันหัวร้างข้างแตก ตำรวจก็ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี ในแต่ละวันทำคดีเล็กน้อยพวกนี้ก็ทำให้พวกเขายุ่งจนไม่มีเวลาแล้ว
อีกอย่างคนเรานั้นก็มีทั้งดีและทั้งไม่ดี หากถ่ายทอดให้คนดีนั่นก็ไม่มีอะไร แต่หากว่าคนที่ไม่ดีทำเรื่องเลวร้ายแอบเรียนไป จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายกับสังคมเข้าไปอีก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนในยุทธภพจึงได้ให้ความสำคัญและเข้มงวดกับการเลือกผู้สืบทอดมาก
“ที่นายพูดก็เป็นจริง ยุทธภพในปัจจุบัน ไม่ค่อยเหมือนกับในตอนนั้นแล้ว แต่ว่าก็ยังดี นี่แสดงว่าสังคมมีขื่อมีแปขึ้นมาแล้ว!”
มองไปยังประตูที่เปิดค้างเอาไว้ก็เห็นคนหยิบรองเท้าคู่นั้นของเขาไปทำความสะอาดกลับมาและกำลังเคาะประตู เยี่ยเทียนจึงสวมรองเท้าและลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “นี่ก็ดึกแล้ว ประธานจู้ พวกเรายังต้องกลับปักกิ่ง วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน”
มีการแข่งขันหลายรอบต่อเนื่อง แต่ในตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว สำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีแล้วชีวิตยามราตรีอาจจะเพิ่งเริ่มต้น แต่สำหรับเยี่ยเทียนที่มีเวลาพักผ่อนที่แน่นอนเป็นระเบียบ จึงรู้สึกไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“น้องเยี่ย รอประเดี๋ยว ฉันยังมีอีกสองเรื่องที่จะพูด…” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเปลี่ยนรองเท้าจะเดินออกไป จู้เหวยเฟิงก็รีบร้องเรียกให้หยุด
“อืม มีเรื่องอะไร” เยี่ยเทียนหันหัวกลับมา ท่าทางแสดงออกว่าไม่สามารถรอต่อไปได้อีก
“นี่เป็นเงินสิบล้านที่เหล่าหูสู้กับอันเดรวิช รหัสคือ 123456 หรือจะเบิกเงินสดก็ได้หรือจะโอนเข้าบัญชีก็ได้” จู้เหวยเฟิงหยิบบัตรธนาคารออกมาส่งให้เยี่ยเทียน เมื่อครู่ที่เขาออกไปก็เพื่อไปที่ตู้เซฟหยิบบัตรธนาคารออกมา
เยี่ยเทียนส่ายหัว และไม่ได้รับบัตรใบนั้น แต่มองไปที่หูหงเต๋อและกล่าวว่า “เหล่าหู คุณรับไว้เถอะ คนที่สู้จะเป็นจะตายก็คือคุณ!”
“ได้ งั้นก็รับไว้แล้วกันนะ” หูหงเต๋อก็ไม่เล่นตัว ยื่นมือออกไปรับบัตรใบนั้นมา นี่เป็นเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนแล้ว เขาหยิบไปอย่างไม่รู้สึกกังวลใจ
หลังจากให้บัตรธนาคารไป จู้เวยเฟิงก็หยิบเอกสารที่ซ้อนกันออกมา กล่าวว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เยี่ยเทียน นี่เป็นหลังสือโอนมอบอำนาจหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของสนามมวย นายแค่เซ็นชื่อด้านบน ก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสนามมวยใต้ดินแล้ว!”
จู้เวยเฟิงเปิดสนามมวยใต้ดินแห่งนี้ วัตถุประสงค์ไม่ได้เพื่อเงินทั้งหมด เขานั้นชมชอบความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ที่ดิ้นรนว่าจะเป็นหรือตาย ดังนั้นเพื่อให้สนามมวยอยู่รอดได้ เขาเองจึงส่งมอบหุ้นออกไปเกือบหมด
ในตอนก่อนที่เยี่ยเทียนจะมาที่สนามมวยใต้ดินแห่งนี้ จู้เวยเฟิงได้ให้คนเตรียมสัญญาโอนมอบเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าในตอนนั้นจำนวนเงินบนสัญญาเป็นห้าเปอร์เซ็น นี่ก็เป็นเพราะจู้เวยเฟิงแบ่งออกมาจากหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของตัวเอง
เดิมทีจู้เหวยเฟิงคิดว่าหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์นั้นไม่น้อยแล้ว นี่ก็เท่ากับแต่ละปีส่งเงินให้เยี่ยเทียนใช้เปล่าๆ ปีละสิบล้าน ในปักกิ่งแห่งนี้นอกจากคนห้าคนแล้ว ไม่มีใครได้มากกว่าเยี่ยเทียน
แต่ว่าหลังจากเยี่ยเทียนเอาชนะคาโต้ ทาคุมิได้ จู้เหวยเฟิงก็คิดได้ว่า หุ้นห้าเปอร์เซ็นต์นี้สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่มากจริงๆ แล้วยังไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังตระกูลซ่งของเขา แค่พูดเรื่องที่ว่าเป็นปรมาจารย์ทางด้านวิชาเท่านั้น หุ้นแค่นี้เขาก็ไม่พอแล้ว
ต้องทราบว่า พื้นฐานการอยู่รอดของสนามมวย ยังคงอาศัยการต่อสู้เป็นหลัก นี่จำเป็นต้องการผู้มีฝีมือที่คุมสถานการณ์ได้ เหมือนกับเรื่องราวทั้งสองเรื่องที่เกิดในวันนี้ ที่ต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยม สนามมวยแห่งนี้ของจู้เหวยเฟิง ที่ขาดไปก็คือยอดฝีมือที่เหมือนกับเยี่ยเทียน
ดังนั้นจู้เหวยเฟิงจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เพียงแต่ตัวเองควักหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของตนเองออกมา ยังไปคุยส่วนตัวกับหูจวินอีกรอบ แล้วจึงได้หุ้นมาจากเขาอีกห้าเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจึงเป็นหุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์เพื่อมอบให้กับเยี่ยเทียน
……