“การประลองรอบที่สอง จ้าวกัง สละสิทธิ์ ผู้ชนะคืออันเดรวิช ตอนนี้ขอเข้าสู่ช่วงเวลาพัก!”
หลังจากรอไปอีกสามนาที นักมวยคนนั้นก็ยังไม่ออกมา พิธีกรจึงต้องประกาศผลอย่างจนปัญญา ตามกฎเกณฑ์แล้ว ผู้ประลองที่ได้ประลองในรอบติดต่อกัน จะได้พักผ่อนหลังจากรอบก่อนหน้ายุติลงเป็นเวลา 30 นาที
“หาคนที่มีน้ำยามาสู้กับไอ้ผีฝรั่งนั่นซะสิ!”
“นั่นน่ะสิ แม้แต่จะสู้ยังไม่กล้าเลย แบบนี้มันน่าขายหน้าเกินไปแล้วมั้ง?”
“เริ่มแข่งเร็วๆ เข้าสิ เราอยากจะดูการแข่งนะ!”
แม้ว่าการประลองมวยรอบนี้ผู้เข้าแข่งขันจะสละสิทธิ์ไป แต่พิธีกรได้รับคำสั่งบางอย่างผ่านมาทางหูฟัง จึงประกาศให้เป็นเวลาพักไปเสียอย่างนั้น ทำให้บรรดาผู้ชมในสนามยิ่งไม่พอใจกันมากกว่าเดิม นี่พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจิบชาคุยเรื่องสัพเพเหระนะ
พอได้ยินเสียงบ่นว่าของบรรดาผู้ชม พิธีกรก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วประกาศเสียงดัง “ทุกท่านอยู่ในความสงบกันหน่อยนะครับ ถัดไปยังมีนักมวยที่จะมาประลองกันอีก เดี๋ยวก็จะเริ่มได้แล้วละครับ!”
เมื่อพิธีกรเปล่งเสียงขึ้น ที่นั่นก็เงียบลงไปมากทันที แล้วพิธีกรก็เริ่มแนะนำเกี่ยวกับนักมวยที่จะมาปะทะกันในรอบต่อไป
ขณะเดียวกันกับที่อันเดรวิชกำลังกลับไปที่ห้องพักผ่อน จู้เหวยเฟิงก็พูดขอตัวกับพวกเยี่ยเทียน แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเดินไปหลังสนามมวย
แต่ผ่านไปเพียงห้านาที จู้เหวยเฟิงก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าย่ำแย่ หย่อนบั้นท้ายนั่งลงไปบนเก้าอี้ ขนาดซาซาส่งสายตาไปถามเขาก็ยังไม่สนใจ
และในขณะนั้น นักมวยสองคนบนเวทีประลองก็เริ่มตะลุมบอนกันแล้ว แต่สองคนนี้นับว่าห่างไกลจากรอบของอันเดรวิชและเท้าไร้เงา จางซานเมื่อครู่นี้มากนัก ถึงจะแลกหมัดแลกเท้ากันอย่างน่าดูชม แต่ก็ไม่ได้มีความตื่นเต้นเร้าใจเลย
สุดท้ายการประลองรอบนี้ก็ตัดสินแพ้ชนะกันเมื่อนักมวยคนหนึ่งถูกซัดกระเด็นออกไปนอกเวที แต่เมื่อผู้ชนะโบกมือให้ผู้ชมด้านล่างเวที ก็กลับมีเสียงบ่นดังเซ็งแซ่ขึ้นมา
ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็หนีไม่พ้นการถูกเปรียบเทียบ แม้ว่าความโหดเหี้ยมของอันเดรวิชจะทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกไม่สบายใจ แต่พลังโจมตีเช่นนั้นก็ทำให้บรรดาผู้ชมตื่นเต้นเร้าใจอย่างสุดเปรียบปาน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การแข่งขันรอบนี้จึงดูจืดชืดไร้รสชาติเหมือนน้ำเปล่าไปเลย
“เหวยเฟิง ทำไงดีล่ะ?” เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงตาของอันเดรวิชแล้ว หูจวินก็ชักจะเริ่มกังวลขึ้นมา เมื่อครู่นี้ก็โดนคนดูด่าไปจนสุดจะทนฟังไหวแล้ว ถ้ารอบต่อไปยังสละสิทธิ์อีกละก็ อย่างนั้นสนามมวยคงจะเสียลูกค้าไปกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว
“พวกนั้นไม่มีใครยอมออกไปสู้เลย แล้วคนที่จะสู้กับอันเดรวิชได้ก็ไม่อยู่ในประเทศ”
จู้เหวยเฟิงฝืนหัวเราะ เมื่อครู่นี้เขาไปทำธุระมาสองเรื่อง เรื่องที่หนึ่งก็คือไปหาพวกนักมวยในค่าย เพื่อถามดูว่าพวกเขาจะยินยอมไปต่อสู้กับอันเดรวิชหรือไม่?
ตอนนี้คำตอบก็ปรากฏชัดอยู่บนหน้าของจู้เหวยเฟิงแล้ว หลังจากได้ประจักษ์เห็นการต่อสู้อันนองเลือดนั้น บรรดานักมวยที่เหลืออยู่สิบกว่าคนก็ไม่มีใครกล้าออกมากันเลย เพราะพวกนี้มาเล่นมวยใต้ดินเพื่อหาเงินกัน ไม่ได้มาเพื่อให้ถูกฆ่า
หลังจากที่ถามแล้วไม่ได้ผล จู้เหวยเฟิงก็ใช้เส้นสายภายในติดต่อหน่วยงานบางแห่งไป เพื่อที่จะเชิญบุคลากรพิเศษคนหนึ่งซึ่งเคยจบจากค่ายฝึกไซบีเรียมา แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องผิดหวังคือ ผู้ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในองค์กรนั้นสามคน กลับไม่ได้อยู่ในประเทศ
“เหวยเฟิง หรือเอาอย่างนี้นายว่าดีไหม?”
หูจวินเป็นนักธุรกิจ จึงมีวิธีจัดการกับปัญหาที่มีชั้นเชิงมากกว่าจู้เหวยเฟิง เขาคิดดูแล้วพูดขึ้นว่า “ไปเจรจากับอันเดรวิชว่า จะยกเงินรางวัลผู้ชนะสิบรอบให้มัน แต่ขอให้มันทิ้งการแข่งรอบที่เหลือไปซะ นายว่าได้ไหมล่ะ?”
“ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ชื่อเสียงของค่ายมวยของพวกเรานี่ก็มีหวังจบสิ้นกันพอดีน่ะสิ!”
ตอนนี้จู้เหวยเฟิงนึกอยากจะตบหน้าตัวเองเสียเหลือเกิน ที่เขาเชิญอันเดรวิชมานี้ ตอนแรกก็เพราะอยากจะทำให้องค์กรมวยใต้ดินประเทศจีนมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่า เรื่องจะกลับตาลปัตรไปเช่นนี้ สุดท้ายถึงขั้นต้องใช้วิธีไปขอร้องหลังฉากให้อันเดรวิชถอนตัวจากการแข่งแบบนี้
“มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แล้วละ ถ้าเสียลูกค้าพวกนี้ไปละก็ อีกไม่นานค่ายมวยของเราก็คงต้องปิดตัวลงแน่”
หูจวินมองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่าจู้เหวยเฟิง ไม่ว่ามุมมองจากนานาชาติจะดีหรือร้าย ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อตัวเลขกำไรของพวกเขาเลย แต่ถ้าครั้งต่อไปลูกค้าในสนามมวยเหล่านี้ไม่มาแล้วละก็ ค่ายมวยของพวกเขานี้ก็ไม่มีความหมายที่จะอยู่ต่อไปอีก
“ก็คงได้แต่ทำแบบนี้แล้วละ…”
จู้เหวยเฟิงส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นมา สายตาพลันกวาดผ่านใบหน้าของหูหงเต๋อไป แล้วจู่ๆ ก็ถามหูหงเต๋อขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย“คุณหูครับ ถ้าให้คุณไปสู้กับอันเดรวิช คุณจะมั่นใจแค่ไหนว่าจะเอาชนะได้?”
“ฉันรึ?”
หูหงเต๋อไม่นึกเลยว่า จู้เหวยเฟิงจะโยงเรื่องนี้มาถึงตน จึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าแค่ซัดไอ้ผีฝรั่งนั่นให้ตกเวทีไปละก็ ฉันมั่นใจเต็บสิบเลยว่าทำได้ แต่ถ้าจะให้กำราบมันหรือฆ่ามันละก็ ฉันไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดเดียว”
ที่หูหงเต๋อฝึกมาคือวิชากรงเล็บอินทรีย์ แม้จะเน้นไปที่ทักษะการใช้นิ้วทั้งสิบ แต่กระบวนท่าอินทรีย์สะท้านฟ้านั้น ก็มีเงื่อนไขด้านท่าร่างที่สูงอยู่เหมือนกัน และถ้ากล่าวถึงความปราดเปรียวของท่าก้าวเดิน หูหงเต๋อก็ยังจะอยู่เหนือกว่าเท้าไร้เงา จางซานคนนั้นเสียอีก
และวรยุทธของหูหงเต๋อนั้นก็ไม่ใช่ระดับที่จางซานจะเทียบชั้นได้เลย ถ้าแค่โจมตีอันเดรวิชให้ตกเวทีไปละก็ หูหงเต๋อมั่นใจเต็มที่ว่าทำได้แน่นอน แต่พลังลมปราณแฝงของเขาไม่สามารถทำให้อันเดรวิชบาดเจ็บปางตายได้ เขาจึงไม่มีความมั่นใจในด้านนี้เลย
“เหล่าหูพูดถูกแล้วละ” เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง จู้เหวยเฟิงก็มีสีหน้าเซื่องซึมลงไป แสดงว่าเขาเข้าใจสิ่งที่หูหงเต๋อพูดมา
“คุณตาคะ นี่หมายความว่ายังไงคะเนี่ย? แค่ทำให้ตกเวทีได้ ก็ถือว่าชนะแล้วไม่ใช่หรือคะ?” พวกเยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของหูหงเต๋อ แต่ซาซาซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ใกล้กับพวกเขานั้นฟังแล้วกลับเกิดความสงสัย
จู้เหวยเฟิงพูดอย่างระอาเล็กน้อย “ซาซา นี่มันเป็นการต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์ ไม่ใช่ว่าทำให้ตกเวทีไปแล้วก็จะชนะได้เลยนะ…”
หลักการของการต่อสู้แบบไร้กฎเกณฑ์นั้น จะต้องให้ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายยอมแพ้ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องให้ฝ่ายหนึ่งล้มจนลุกไม่ขึ้นเสียก่อน ถึงจะประกาศได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะ
ถ้าหูหงเต๋อเพียงแค่ทำให้อันเดรวิชตกเวทีไป ตราบใดที่อันเดรวิชยังไม่ยอมแพ้ เขาก็สามารถที่จะสู้ต่อไปได้ หูหงเต๋อซึ่งอายุห่างจากอันเดรวิชไปยี่สิบกว่าปีนั้น สุดท้ายก็คงต้องพ่ายแพ้กับมือเขาอยู่ดี
ขณะนั้นอันเดรวิชปรากฏกายขึ้นอีกแล้ว เมื่อเห็นร่างอันบึกบึนเหมือนหมีควายของอันเดรวิช หูหงเต๋อก็โพล่งขึ้นว่า “ที่จริงฉันก็อยากจะลองเจอกับไอ้ฝรั่งรัสเซียตัวขนนี่อยู่เหมือนกันแหละ ไอ้พวกระยำนี่สมัยก่อนก็เคยมาสร้างความเดือดร้อนที่ตงเป่ยไว้เยอะเหมือนกัน!”
แม้ว่าอดีตสหภาพโซเวียตจะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน แต่ประเทศจีนกับอดีตสหภาพโซเวียตก็เพียงแค่เคยผ่านช่วงฮันนีมูนมาครั้งหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เวลาอื่นก็มีแต่จะระแวงซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะตอนที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม และกองทัพของอดีตสหภาพโซเวียตเดินทัพเข้าสู่สามมณฑลตะวันออก ก็ได้ทำเรื่องเลวๆ ไว้ไม่น้อยเหมือนกัน
ดังนั้นหูหงเต๋อจึงรู้สึกชังพวกฝรั่งรัสเซียมาตลอด อีกทั้งความโหดเหี้ยมของอันเดรวิชยังปลุกความฮึกเหิมในใจของหูหงเต๋อขึ้นมา คุณตาคนนี้ถึงจะอายุมากแล้ว แต่นิสัยกลับห้าวยิ่งกว่าวัยรุ่นหลายๆ คนมากนัก
“เหล่าหู พลังลมปราณแฝงอาจจะทำอะไรมันไม่ได้เลยก็ได้นะ ผมว่าคุณอย่าเลยดีกว่า”
พอได้ยินหูหงเต๋อพูด เยี่ยเทียนก็รู้สึกเอือมระอา ตัวก็อายุหกเจ็ดสิบเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ทำไมยังอารมณ์ร้อนวู่วามแบบนี้อยู่อีกนะ? แล้วจะว่าไป การแข่งมวยใต้ดินนี่ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว
และการต่อสู้แบบนี้ก็อันตรายเกินไป หากพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ก็คงจะต้องจบชีวิตลงคาเวทีเช่นเดียวกับจางซานคนนั้น ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนเองก็ไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตไว้ได้
“ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ?”
หูหงเต๋อมองดูอันเดรวิชที่อยู่บนเวที ดวงตาเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ “ต่อให้พลังลมปราณแฝงทำอะไรมันไม่ได้ ผมก็คงทำให้มันล้มลุกคลุกคลานไปได้บ้างแหละน่า ถ้าปล่อยให้มันมากร่างบนเวทีนี้ เดี๋ยวมันก็นึกว่าชนชาติจีนเราไม่เหลือคนมีฝีมือแล้วน่ะสิ!
วาจาของหูหงเต๋อทำให้จู้เหวยเฟิงเริ่มมองเห็นความหวังขึ้นมารำไร จึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณหูครับ ขอแค่เสมอกับมันได้ ผมยินดีจ่ายค่าตัวให้คุณสิบล้านเลย”
ตอนนี้ปัญหาสำคัญสำหรับจู้เหวยเฟิงไม่ใช่เรื่องเงินแล้ว แต่เป็นเรื่องหน้าตา ขอเพียงสามารถรักษาหน้าตาของค่ายมวยของเขาไว้ได้ อย่าว่าแต่สิบล้านเลย ต่อให้เป็นร้อยล้านเขาก็ยินดีที่จะควักออกมาจ่าย
“ตาแก่อย่างฉันน่ะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินหรอก แค่หมั่นไส้ไอ้ฝรั่งตัวขนนี่เท่านั้นแหละ!” หูหงเต๋อกลับไม่ไว้หน้าจู้เหวยเฟิงเลย พอได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องเงิน ก็หันไปขึงตาใส่ทันที
“เหล่าหู คุณไปสู้ไม่ได้นะ!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วหยุดยั้งหูหงเต๋อผู้กำลังคันไม้คันมือไว้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็อายุตั้งหกเจ็ดสิบแล้ว เลือดลมมีพลังสู้อันเดรวิชไม่ได้แน่ๆ ไปขึ้นเวทีแบบนี้แม้จะไม่ถึงกับไปรนหาที่ตาย แต่ความเป็นไปได้ที่จะชนะนั้นก็เรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย
โจวเซี่ยวเทียนซึ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้นว่า “นั่นสิ ศิษย์พี่หู หรือว่า…ให้ผมขึ้นไปสู้กับมันสักรอบดีไหม?”
“แกรึ? ไม่ได้หรอก เซี่ยวเทียน ประสบการณ์ในการต่อสู้จริงของแกยังน้อยเกินไป จังหวะเท้าก็ยังใช้ไม่ได้ เดี๋ยวโดนซ้อมตายเปล่าๆ” ชีวิตที่ผ่านมานี้หูหงเต๋อมีประสบการณ์โชกโชนอย่างยิ่ง ความสามารถในการประเมินคนไม่ได้เป็นรองเยี่ยเทียนเลย มองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าจุดอ่อนของโจวเซี่ยวเทียนอยู่ตรงไหน
“เยี่ยเทียน ที่จริงเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงพลังของฉันจะสู้มันไม่ได้ แต่ก็ถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยไม่มีปัญหาแน่ เหล่าหูแค่ขึ้นไปทุ่มมันให้หกคะเมนสักทีสองทีก็จะกลับลงมาแล้ว แบบนี้ได้รึยังล่ะ?” หูหงเต๋อยังอยากจะประลองกับฝรั่งตัวขนคนนี้ดูสักตั้ง
“พลังสู้มันไม่ได้งั้นรึ? จริงด้วยแฮะ เหล่าหู สิ่งที่คุณขาดไปก็มีแต่พละกำลังเท่านั้นเองนี่นา!” เยี่ยเทียนพลันนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าหู ถ้าพลังของคุณไม่ได้น้อยกว่ามัน แล้วจะเอาชนะมันได้ไหม?”
“นั่นยังต้องถามอีกรึ? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะอัดจนมันก้มลงเก็บฟันตัวเองไม่หวาดไม่ไหวเลยละ ถ้าฉัน เหล่าหูหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบปีละก็ อาจจะสู้มันได้ก็ได้นะ!” หูหงเต๋อยืดอก ถึงจะคุยโวแค่ไหนก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงว่า สมัยที่ตนยังอายุสี่สิบกว่าปีนั้น ยังฝึกไปไม่ถึงขั้นพลังลมปราณแฝงเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะขึ้นไปสู้กับอันเดรวิชบนเวทีเลย
“ได้ อย่างนั้นการประลองรอบนี้คุณก็รับไปเถอะ!” เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับจู้เหวยเฟิง “ประธานจู้ การประลองรอบนี้ให้เหล่าหูสู้ก็แล้วกัน แต่จะต้องเลื่อนเวลาไปอีกสักยี่สิบนาทีนะ!”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา…”
เมื่อหูหงเต๋อและเยี่ยเทียนยอมตกลงแล้ว จู้เหวยเฟิงกลับเริ่มไม่มั่นใจขึ้นมา เขาดูออกว่า เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อสนิทกันมาก ถ้าตาแก่คนนี้โดนอันเดรวิชฆ่าคาเวทีไปอีกคน อย่างนั้นเขาก็ต้องกลายเป็นศัตรูกับเยี่ยเทียนน่ะสิ
“คุณแค่ทำส่วนของคุณให้ดีก็พอแล้วละ จริงสิ เงินสิบล้านนั่นก็ต้องเตรียมไว้ให้เรียบร้อยด้วยนะ!” เยี่ยเทียนดึงแขนหูหงเต๋อ แล้วลุกขึ้นมาพลางพูดว่า “เตรียมห้องพักผ่อนไว้ห้องหนึ่ง ด้านนอกให้คนเฝ้าไว้ อย่าให้ใครมารบกวนผมล่ะ!”
…….