“พูดอะไรแบบนั้นน้องเยี่ย พวกเราใช้ชีวิตในปักกิ่งด้วยกัน เรื่องของน้องก็คือเรื่องของฉันไม่ใช่หรือ? พูดอะไรกันเรื่อง รบกวนไม่รบกวน?”
ชิวเหวินตงเป็นคนเฉียบขาดและมีสัจจะ แล้วก็อยากคบหาเยี่ยเทียนอย่างจริงใจ คำพูดที่พูดออกมาจึงน่าฟังเสนาะหู
“น้องเยี่ย พี่คนนี้คือ?”
ชิวเหวินตงกับโจวเซี่ยวเทียนรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่เพิ่งเจอหูหงเต๋อครั้งแรก ชายแก่คนนี้รูปร่างสูงใหญ่ ถึงแม้อายุหกสิบกว่าแล้ว แต่ดูกระปรี้กระเปร่าเหมือนคนหนุ่มอย่างนั้น มองครู่เดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นคนเรียนศิลปะการต่อสู้
หูหงเต๋อไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยเทียนแนะนำ แล้วจึงคารวะแบบจีนเหยียดมือตรงทับกำปั้นแล้วพูด “หูหงเต๋อจากภูเขาฉางไป๋ซาน มาโดยละลาบละล้วง หวังว่าน้องชิวจะไม่ถือสา”
ได้ยินชื่อฉางไป๋ซาน ชิวเหวินตงจึงใจเต้นทันที แล้วถามต่อว่า “พี่แซ่หู ไม่ทราบว่าหัวหน้าหูอวิ๋นเป้าของสามมณฑลตะวันออกต้องเรียกว่าอย่างไร?”
“นั่นเป็นท่านพ่อ ทำไมเหรอ? น้องชิวรู้จักท่านพ่อด้วยเหรอ?” หูหงเต๋อได้ยินจึงอึ้งไปครู่หนึ่ง ชิวเหวินตงดูแล้วน่าจะ ห้าสิบต้นๆ ไม่น่าจะรู้จักพ่อของตัวเองหรอกมั้ง?
“ฮ่าๆ!”
ชิวเหวินตงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนนอกแล้ว พี่หู พ่อของฉันเคยเป็นคนคุ้มกันภัย ขนส่งของผ่านสามมณฑลตะวันออกมาก่อน รู้จักกับหัวหน้าหูอยู่บ้าง พรหมลิขิต พรหมลิตจริงๆ!”
เดิมทีชิวเหวินตงคือลูกที่เกิดตอนแก่ พ่อของเขาชิวอานเต๋อเป็นนักศิลปะการต่อสู้รุ่นแรก ๆ ของปักกิ่ง ในยุทธจักรทางตอนเหนือถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควร มีคนรู้จักอย่างกว้างขวาง การที่รู้จักหูอวิ๋นเป้านั้นจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ยุทธภพจะพูดว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่จะว่าเล็กมันก็เล็ก หลังจากที่ชิวเหวินตงทำตัวสนิทสนมเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็สนิทขึ้นมากว่าเมื่อครู่
หูหงเต๋อยังแสดงกรงเล็บอินทรีย์ของภูเขาฉางไป๋ซานให้ลูกศิษย์ของชิวเหวินตงดูอีกด้วย ตัดท่อนเหมยฮัวที่หนาเท่าขอบถ้วยให้หักเพียงนิ้วเดียว ทำให้คนที่อยู่ในสำนักเห็นแล้วถึงกับอึ้งกันไปหมด
ตอนกลางวันชิวเหวินตงเป็นเจ้ามือ เมื่อทุกคนมาถึงร้านอาหาร ก็ได้คารวะเหล้าสองสามแก้วกันก่อนแล้ว หนำซ้ำยังเป็นพี่น้องที่สนิทกัน จึงทำให้บรรยากาศคึกครื้นมาก
“น้องเยี่ย เรื่องนี้จัดการง่ายมาก เดี๋ยวอีกสองสามวันฉันเชิญคนในยุทธภพไปพร้อมกับนาย และอธิบายตัวเลขให้พวกเขาอย่างละเอียด ไม่เพียงแต่ต้องได้เงินคืนมา เรื่องนี้ก็ต้องคิดบัญชีอย่างละเอียดด้วยเหมือนกัน!”
หลังจากที่สุราถูกเวียนดื่มไปสามรอบ ชิวเหวินตงจึงตบหน้าอกตัวเองต่อหน้าเยี่ยเทียน เขาคือคนในพื้นที่ปักกิ่งบวกกับความสัมพันธ์ของพ่อ ไม่ว่าจะเป็นเหอเป่ยหรือเทียนจินต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก่อนไม่ค่อยได้จัดการเรื่องขัดแย้งแบบนี้ ก็พอมีประสบการณ์มากเหมือนกัน
“เยี่ยเทียนนิ่งไปสักครู่ พูดว่า “ตกลง งั้นก็รบกวนพี่ด้วย”
เรื่องของยุทธภพ ต้องใช้กฎของยุทธภพจัดการ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามให้บัญญัติมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่สามารถโห่ร้องฆ่าฟันอีก ไม่เช่นนั้นถึงจะมีเหตุผลแต่ก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผลไปโดยปริยาย
ในเวลานี้ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่การต่อสู้ด้วยกำลังของตนเอง แต่เป็นการต่อสู้ว่าใครจะสามารถเชิญใครมาเป็นผู้เจรจา ผู้ที่ถูกเชิญมีระดับรุ่นยิ่งสูงคนยิ่งรู้จักมาก ก็จะมีความชอบธรรมในการเจรจาที่เพียงพอ
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเป็นคนในวงการยุทธภพก็ตาม แต่ตลอดที่ผ่านมาเขาไม่เคยเข้าไปอยู่ในนั้นเลย ตอนนั้นที่ติดตามอาจารย์และได้รู้จักกับผู้คน ก็เป็นกลุ่มคนที่มีลำดับศักดิ์สูงมาก เพียงแต่เป็นเรื่องที่เก่าไปแล้ว ถ้าหากให้เยี่ยเทียนอยากเชิญใคร เขาจึงไม่สามารถเรียกชื่ออกมาได้จริงๆ
“นั่นสิ พี่ชิว ฉายาพี่ใหญ่จี๋ของเจียงซี พี่เคยได้ยินบ้างไหม?” ตอนนั้นเยี่ยเทียนเคยไปแถวจังหวัดกั้น ไปเยี่ยมผู้อาวุโสหลายคนของยุทธจักรทางใต้ แต่เขาไม่เคยได้ยินแซ่จี๋ในยุทธภพเลย
ชิวเหวินตงส่ายหน้าไปมา พลางพูดว่า “ไม่เคย น้องเยี่ย ยุทธจักรทางใต้กับทางเหนือไม่เหมือนกัน พวกเขาให้ความสำคัญเรื่องเงินมากกว่า สมัยแรกบางคนเปิดสำนักศิลปะการต่อสู้ที่ต่างประเทศ บางคนกลับใช้เล่ห์กลหลอกลวงมีทั้งคนดีและคนไม่ดี การไปมาหาสู่ของทั้งสองฝั่งนั้นจึงมีไม่มากนัก”
ในยุทธจักรเหนือใต้มีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก จึงแบ่งออกเป็นสองยุทธภพ ทางเหนือดูถูกทางใต้ ส่วนทางใต้ยิ่งดูแคลนทางเหนือ ชิวเหวินตงจึงรู้ไม่มาก
“น้องเยี่ย หรือจะเป็นแบบนี้ ฉันมีเพื่อนที่จังหวัดกั้นเหมือนกัน เดี๋ยวฉันจะถามให้นายดีไหม?”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบว่า “ในเมื่อพี่ชิวมีคนรู้จัก งั้นก็ลองดูท่าทีของฝ่ายตรงข้ามกันก่อน เรื่องนี้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้”
เหล้ามื้อนี้ดื่มกันจนถึงบ่ายสี่ห้าโมง เยี่ยเทียนจึงพาหูหงเต๋อและโจวเซี่ยวเทียนร่ำลาจากไป ส่วนเปาเฟิงหลิงสองคนนั้น ก็ทิ้งไว้ที่สำนักศิลปะการต่อสู้
“เยี่ยเทียน ไม่ได้ทำอะไรสองคนนั้นใช่ไหม?”
หลังจากที่เยี่ยตงผิงกลับมาถึงบ้าน เขาก็รอเยี่ยเทียนอยู่ที่เรือนสี่ประสานตลอด พอเห็นพวกเขากลับมา จึงรีบเข้าไปหา เพราะเขาเป็นคนรู้อะไรควรไม่ควร จึงกลัวว่าลูกชายจะทำเรื่องผิดกฎหมาย
“พ่อ ไม่มีอะไร มีคนช่วยเฝ้าแล้ว หลังจากนั้นจะพาพวกเขาไปเจรจาก็เสร็จแล้ว” เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพูด “ พ่อไม่ต้องกังวลแล้ว เรื่องนี้ผมจัดการเองได้ วันนี้ผมเหนื่อยมากแล้ว ขอไปพักก่อนที่ห้องก่อน”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่กินเหล้าช่วงกลางวัน ในใจของเยี่ยเทียนอยู่ไม่เป็นสุขและรู้สึกบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าพี่ใหญ๋จี๋ตอบตกลงเร็วเกินไป
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า คนค้าประเวณีไร้ความจริงใจ คนมารยาไร้คุณธรรม และพวกต้มตุ๋นไม่ได้ดีไปกว่าคนสองกลุ่มนี้ ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว พี่ใหญ่จี๋ไม่น่าจะเป็นคนที่จริงใจและมีคุณธรรม
ในปี 98 นั้น เศรษฐีเงินล้านพบได้น้อยมาก มูลค่าทรัพย์สินร้อยล้านยิ่งล้ำค่าและหายากกว่า เยี่ยเทียนจึงไม่แน่ใจ ว่าพี่ใหญ่จี๋คนนี้จะยอมคืนสามสิบล้านที่ได้ไป เพียงเพราะลูกน้องสองคน?
หลังจากกลับมาถึงห้อง เยี่ยเทียนหยิบเหรียญทองแดงออกมาสามอันและเริ่มทำการทำนาย ทำนายติดต่อกันสามครั้ง ผลทำนายที่ได้ล้วนเป็น “ซันเจ๋อสุ่น” ทำให้สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นแย่ลงทันที นี่มันชะตาล้มละลายชัดๆ
ถึงแม้ว่าการทำนายจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนที่พัฒนาขึ้น ทำให้สามารถทำนายได้อยู่บ้าง ตอนนี้การทำนายทั้งสามครั้งคือล้มละลาย ถือได้ว่ามันถูกกำหนดไว้แล้ว
ช่วงกลางวันของวันที่สอง เยี่ยเทียนได้รับโทรศัพท์จากชิวเหวินตง
ข้อมูลที่ส่งมาจากจังหวัดกั้นคือ พี่ใหญ่จี๋มีตัวตนจริง แต่เขาไม่ใช่คนของยุทธภพอย่างแท้จริง เขาเป็นเพียงคนที่รวบรวมพวกต้มตุ๋น รังแกผู้คนและทำตัวเป็นอันธพาล
ถ้าเป็นไปตามที่เพื่อนของชิวเหวินพูด ไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น พี่ใหญ่จี๋ไม่ออกมาให้เห็นหน้าที่จังหวัดกั้นอีกเลย ดูเหมือนมีคนเห็นเขาที่สนามบินด้วย
หลังจากได้ยินสิ่งที่ชิวเหวินตงพูด เยี่ยเทียนยิ่งมั่นใจในการทำนายของตัวเอง พี่ใหญ่จี๋กำหนดวันนัดพบสามวัน ก็คงจะเพียงพอสำหรับตนเองได้เตรียมการและหลบหนีไป เงินสามสิบล้านที่มากมายนั้น เพียงพอต่อการกำจัดหลักฐานที่มีอยู่และหลบหนีไป
หลังจากขอบคุณชิวเหวินตงทางโทรศัพท์แล้ว เยี่ยเทียนก็บอกตัวเองว่าไม่ต้องเชิญเพื่อนในยุทธภพไปด้วย ถ้าไปแล้วแต่อีกฝ่ายไม่โผล่หน้าออกมา ก็จะเป็นหนี้บุญคุณเปล่าๆ
แน่นอน เยี่ยเทียนต้องไปอยู่แล้ว เช้าวันที่สาม เขาเพียงแต่พาโจวเซี่ยวเทียนไปด้วยเท่านั้น และไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใครเลย เขาขับรถตรงไปถึงร้านน้ำชาหลังวัดเทียนโฮ่วตามที่นัดกันไว้
เยี่ยเทียนรอตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงบ่ายสอง ก็ยังไม่เห็นหน้าพี่ใหญ่จี๋โผล่หน้าออกมา ส่วนเบอร์มือถือที่เปาเฟิงหลิงใช้ ไม่ว่าจะโทรยังไงก็ไม่อยู่ในขอบเขตการให้บริการ ไม่สามารถติดต่อได้ชั่วคราว
“บัดซบเอ้ย ตีห่านทุกวันกลับโดนห่านตัวใหญ่จิกจนตาบอด!”
เยี่ยเทียนเกิดความเคียดแค้นขึ้นในใจ ถ้าในวันนั้นเขาเขาไปจังหวัดกั้นทันที ก็มีโอกาสที่จะจับพี่ใหญ่จี๋ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะหลงกลแผนจักจั่นหลอกคราบของฝ่ายตรงข้าม
ตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าวงการ ยังไม่เคยต้องเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน ระหว่างทางที่ขับรถกลับปักกิ่ง เขาจึงขบฟันเสียงดัง รถที่ขับก็พุ่งตรงไปสำนักของชิวเหวินตงอย่างรวดเร็ว
“น้องเยี่ย ฝ่ายตรงข้ามไม่มาหรือ?” เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเยี่ยเทียน ชิวเหวินตงก็รู้ทันทีว่าเยี่ยเทียนถูกปล่อยให้รอเก้อ
“อืม ทำตามกฎเถอะ” เยี่ยเทียนพยักหน้า และเดินไปถึงห้องที่ขังเปาเฟิงหลิงสองคนนั้นพร้อมกับชิวเหวินตง
“ท่านเยี่ย เรื่องจัดการเรียบร้อยดีไหมครับ?” สองวันนี้เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อกินดีอยู่ดีไม่เบา สีหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาไม่น้อย
“พี่ใหญ่จี๋ของพวกแกไม่มา เข้าใจกฎกันนะ? มือข้างนึงขาข้างนึง บุญคุณและความแค้นก็จบเท่านี้
เยี่ยเทียนพูดอย่างไร้อารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดของสองคนนี้ไม่ถึงกับตาย ความคิดที่จะฆ่าสองคนนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว จะว่าไปเงินสี่สิบล้านที่เยี่ยเทียนได้มา เขาต้องรักษาโรคให้ถังเสวี่ยเสวี่ยหนึ่งเดือน และในแต่ละวันจะต้องสูญเสียวรยุทธไปแทบหมดสิ้น เงินนี้จึงเป็นเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก
“บัดซบเอ้ย ฉันทำงานรับใช้มันมาเป็นสิบๆ ปี ไอ้…ไอ้คนชาติชั่ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน สีหน้าของเปาเฟิงหลิงและอีกคนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มือข้างหนึ่งกับขาข้างหนึ่ง คงใช่การหักแขนหักขาง่ายดายขนาดนั้น แต่เป็นการตัดแขนตัดขาออกมาต่างหาก
“ท่านเยี่ย เพราะพวกเราสองคนตาบอดเอง อยู่กับคนผิด นายท่านโปรดเห็นใจ ครั้งนี้ช่วยปล่อยพวกเราไปเถอะนะ?”
เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยเทียน หน้าผากโขกไปกับพื้นจนเสียงดัง “ตึงตึง” สองคนนี้อายุสามสิบกว่าทั้งคู่ ถ้าไม่มีมือไม่มีขา ชีวิตต่อจากนี้จะอยู่ยังไง?
“ท่านเยี่ย พวกเราขอทำงานชดเชยความผิด พวกเรามีวิธีจะช่วยนายท่านจับเอาตัวพี่ใหญ่จี๋ออกมาได้!”
ประโยคนี้ของเปาเฟิงหลิง ทำให้เยี่ยเทียนใจเต้นไปครู่นึง “ถ้าพวกแกสามารถหาพี่ใหญ่จี๋เจอ? ล่อให้มันออกมาได้ เรื่องของพวกแก ฉันจะไม่เอาเรื่องก็ได้”
สำหรับเยี่ยเทียนแล้วการตัดแขนขาของสองคนนี้ไป ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เงินยี่สิบแปดล้านที่บินหายไปยังไงก็หาไม่เจอ
เมื่อเห็นเรื่องราวมีการเปลี่ยนทิศทาง เปาเฟิงหลิงรีบพูดต่อว่า “ท่านเยี่ย เมื่อก่อนนี้พี่ใหญ่จี๋ก็เคยทำเรื่องไว้แล้วจัดการไม่ได้ เขาก็จะหลบไปสักพัก ผ่านไปสักปีกว่าเดี๋ยวก็กลับมา ถ้าท่านปล่อยพวกเราไป พวกเราจะหาพี่ใหญ่จี๋มาให้นายท่านให้ได้!”
“ปล่อยพวกแก? ถ้าพวกแกหนีไปฉันจะไปหาที่ไหนหล่ะ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะแห้งๆ จู่ๆ ก็ก้าวไปข้างหน้า มือขวากดจุดตรงท้องน้อยของทั้งสองคนอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ ปล่อยพลังพิฆาตให้ซึมเข้าสู่อวัยวะภายในของทั้งสองคน
“ท่านเยี่ย นี่ท่าน……ท่านทำอะไร?” ทั้งสองคนรู้สึกเพียงตัวเย็น ตัวสั่นไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอื่นๆ อีกเลย
เยี่ยเทียนพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปเถอะ ไปหาพี่ใหญ่จี๋ แล้วค่อยกลับมาหาฉัน”
“ท่านเยี่ย ท่าน……ท่านไม่ได้ล้อเล่นกับพวกเราใช่ไหม? ปล่อย…ปล่อยพวกเราไปแบบนี้เลย?”
ท่าทีของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ ทำให้เปาเฟิงหลิงกับหลิวเหล่าเอ้อไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่
……