เมื่อวางธนบัตรยี่สิบกว่าใบไว้ตรงหน้า เยี่ยเทียนนั่งลงและตั้งสมาธิ ปลดปล่อยการขับเคลื่อนของพลังชี่ออกมา
กลิ่นอายซึ่งติดอยู่บนเงินนั้นไม่นับว่าซับซ้อน หลังจากผ่านการแยกแยะเพียงคร่าวๆ นอกเหนือจากกลิ่นอายของเยี่ยตงผิงแล้ว ก็มีกลิ่นอื่นเพียงเจ็ดแปดชนิด จึงทำให้เยี่ยเทียนเผยสีหน้ายินดี
หากเป็นเงินที่ใช้หมุนเวียนปกติ อาจมีความเป็นไปได้ว่าผ่านมือคนมานับร้อยนับพัน แม้เป็นเยี่ยเทียนก็ยังไม่สามารถอนุมานการขับเคลื่อนพลังชี่ของแต่ละคนได้ เพราะมันอาจส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมา แต่มีเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเยี่ยเทียน
ใช่ว่าเขาไม่คิดจะไปตรวจสอบหัวมังกรสัมฤทธิ์นั้นอย่างละเอียด เพียงแต่ด้วยคุณสมบัติการเป็นตัวนำของสัมฤทธิ์ สามารถดูดซับพลังชีวิตฟ้าดินได้ปริมาณน้อย ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะแทรกซึมกลิ่นอายบนตัวของมนุษย์
“คนนี้อยู่ทางใต้ จดไว้ก่อนดีกว่า”
“หืม? คนนี้อยู่ห่างไปหกร้อยกิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงเหนือ น่าจะเข้าเขตซานซีแล้ว คงไม่ใช่เขาหรอก”
“คนนี้อยู่ปักกิ่ง หืม? มีสองคนด้วย อยู่ทางต้าซิงกันทั้งคู่ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพวกเขานี่แหละ!”
” แล้วยังมีคนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง? คนพวกนี้อยู่เฉาหยางนี่เองหรือ? “
หลังจากเยี่ยเทียนใช้ประสาทสัมผัสกลิ่นอายและทำการอนุมานแล้ว ใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงความยินดี เพราะเขาพบว่า ในกลุ่มคนที่เคยปะปนกับเงินปลอมเหล่านี้ มีสองคนที่ยังอยู่ในปักกิ่งตอนนี้
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่กล้าตัดสินว่า หนึ่งในสองคนนั้นจะเป็น เป่าเฟิงหลิง แต่ความหวังมีมากอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากเก็บเงินฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
“หือ ป้ารองก็มาเหรอ วันนี้อากาศหนาวจัด ทำไมถึงยืนอยู่ข้างนอกล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะผลักประตูออก ก็เห็นพ่อ และพวกป้าใหญ่ ป้ารองกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงลานกลางบ้าน ดูเหมือนทุกคนในครอบครัวจะมากันหมด
“เยี่ยเทียน มานี่ ป้าใหญ่มีเรื่องจะถามเธอ!” คุณนายใหญ่กวักมือ เรียกเยี่ยเทียนให้ไปหา แล้วเอ่ยปากถาม “เมื่อวานไอ้แก่ตระกูลซ่งไปหาเธอเหรอ?”
“ครับ เขาบอกว่าต้องการสะสางความบาดหมางระหว่างตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งสองตระกูล และตีพิมพ์แถลงการณ์คำขอโทษต่อตระกูลเยี่ยลงบนหนังสือพิมพ์ฮ่องกงครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า รู้สึกชื่นชมป้าใหญ่จากใจจริง จะว่าอย่างไรป้าใหญ่ก็เคยทำงานในหน่วยงานรัฐบาลอย่างเป็นทางการมาก่อน จึงไม่มีความเคารพต่อผู้เฒ่าคนนั้นแม้แต่น้อย
ขณะที่ลอบมองสีหน้าของคุณนายใหญ่ เยี่ยเทียนก็ปลอบโยน “ป้าใหญ่ครับ ปล่อยวางศัตรูไม่ยุ่งเกี่ยวกันดีกว่า ผมเห็นว่าอีกฝ่ายมีความจริงใจมากทีเดียว เรื่องนี้ให้มันแล้วกันไปเถอะนะครับ? “
ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะมีเยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิงเป็นผู้ชาย และเยี่ยตงผิงก็นับว่าเป็นหัวหน้าตะกูลเยี่ยในปัจจุบัน แต่ในบ้านซื่อเหอย่วนหลังนี้ คุณนายใหญ่มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจมาโดยตลอด
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว คุณนายใหญ่ก็ยิ้มออกมา เอ่ยว่า “เสี่ยวเทียน ป้าใหญ่ไม่ได้พูดว่าไม่เห็นด้วย สามารถทำให้ไอ้แก่เดนตายตระกูลซ่งนั่นก้มหัวได้ ป้าใหญ่ก็ดีใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”
ช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ตระกูลซ่งรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน แต่ตระกูลเยี่ยกลับตกต่ำลงทุกที เดิมทีเยี่ยตงจู๋นึกว่าตระกูลเยี่ยจะไม่อาจเผชิญหน้ากับตระกูลซ่งได้อย่างเท่าเทียมอีก กลับนึกไม่ถึงว่าหลานชายจะนำพาความตื่นเต้นยินดีมาให้ตัวเองได้ขนาดนี้”
“ตงผิง สองสามวันนี้เธอแวะไปฮ่องกง รอให้หนังสือพิมพ์ขอขมาตีพิมพ์ออกมาแล้ว พวกเราค่อยเชิญญาติสนิทมิตรสหาย ฉันจะดูว่าใครยังกล้าดูถูกพวกเราอีก! “
ในอดีต แม้ตระกูลเยี่ยจะเคยย่ำแย่ แต่กระทั่งเรือที่แตกก็ยังคงเหลือตะปูสักสามเล่ม ความจริงญาติสนิทมิตรสหายที่มีก็นับว่าไม่น้อย เพียงแต่ด้วยความแค้นของตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งที่ฝังลึก กลับทำให้ญาติมิตรห่างๆ หลายคนตัดสัมพันธ์ ไม่ไปมาหาสู่กันด้วยสาเหตุนี้
คุณนายใหญ่เป็นคนไม่ยอมใครแม้เรื่องเล็กน้อย วันนี้สามารถทำให้ตระกูลซ่งยอมก้มหัว เธอจึงต้องจัดแจงทำอะไรสักอย่าง จึงรีบดึงตัวน้องชายน้องสาวมาด้วยความตื่นเต้น ก็เพราะต้องการพูดคุยเรื่องรายละเอียด
“ป้าใหญ่ ผมกับพ่อยังมีธุระ เรื่องนี้ป้ากับป้ารองคุยกันเองก็ได้”
เยี่ยเทียนเห็นคุณนายใหญ่ตื่นเต้นดีอกดีใจอย่างนั้น ก็รีบดึงตัวพ่อมาบอกว่า “ฮ่องกงน่ะไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวผมให้เพื่อนที่อยู่ทางนั้นส่งหนังสือพิมพ์มาก็พอ!”
“ใช่ พี่ใหญ่ ฉันกับเยี่ยเทียนยังมีธุระอยู่ เรื่องนี้พวกเราค่อยปรึกษากันตอนเย็นนะ”
เยี่ยตงผิงเพิ่งสูญเงินไปสามสิบล้าน จนครอบครัวสิ้นเนื้อประดาตัว ไหนเลยจะมีอารมณ์มาคุยเรื่องฟื้นฟูวงศ์ตระกูล พอตอบคำไปประโยคหนึ่งแล้ว ก็ออกจากเรือนกลางไปพร้อมลูกชาย
หูหงเต๋อกำลังตะโกนเรียกอยู่ตรงเรือนหน้า พอออกจากเรือนสี่ประสานเยี่ยตงผิงก็รีบถามขึ้น “เป็นยังไง คนคนนั้นยังอยู่ที่ปักกิ่งหรือเปล่า?”
“อยู่ครับ แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องเป็นสกุลเปาที่พ่อพูดถึงนั่นแหละ!” เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “พ่อครับ ไปรถของผม พวกเราไปหาพวกมันเดี๋ยวนี้เลย!”
“ได้ หาไอ้สารเลวนั่นเจอเมื่อไหร่ พ่อจะถลกหนังมัน!” เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงทำท่าทางดุเดือดอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพ่อโกรธอย่างกระหืดกระหอบจริงๆ
“ลูกพ่อ แล้วจะไปที่ไหนล่ะ?” พอกลับมาถึงบ้านของเยี่ยเทียนก็นั่งรถและขับออกไป เยี่ยตงผิงจึงมองไปยังลูกชาย
เยี่ยเทียนเอ่ยปากว่า “อยู่ที่เฉาหยางเนี่ยแหละ พ่อครับ ขับไปทางซานหลี่ถุนเลย”
“เลี้ยวขวา ใช่ แล้วตรงไปอีกร้อยเมตร!” เยี่ยเทียนคอยบอกทางพ่อไม่หยุด หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกว่า รถก็มาจอดที่ริมตลาดแห่งหนึ่ง
เยี่ยตงผิงมองยังป้ายที่ติดอยู่ด้านหน้า เอ่ยถามเยี่ยเทียนด้วยความสงสัย “ลูกพ่อ นี่มันตลาดหย่าซิ่วนี่นา? ลูกว่าไอ้สกุลเปาคนนั้นจะอยู่ที่นี่เหรอ?”
“เขาอยู่ที่นี่หรือเปล่าผมไม่รู้”
สีหน้าเยี่ยเทียนออกแปลกประหลาดเล็กน้อย แล้วชี้ตรงหน้าต่างรถกั้นไปยังผู้ชายที่นั่งยองๆ อยู่ริมถนนห่างพวกเขาออกไปห้าหกเมตร แล้วพูดว่า “พ่อครับ พ่อดูสิ รู้จักคนนั้นหรือเปล่า?”
ผู้ชายคนนั้นดูราวอายุสามสิบกว่า มีไฝที่มุมปากหนึ่งเม็ด กลอกดวงตาคู่นั้นจ้องมองคนที่เดินไปมาบนถนน หนีบกระเป๋าหนังสีดำไว้ที่รักแร้ คอยเอ่ยปากทักทายคนที่เดินอยู่ริมถนนเป็นระยะ
เยี่ยตงผิงจ้องมองคนผู้นั้นเนิ่นนาน แล้วจึงส่ายหน้าตอบ “ไม่รู้จัก? แกว่า…เขาเป็นพวกเดียวกันกับเปาเฟิงหลิงหรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนคาดเดาอยู่ในใจส่วนหนึ่ง แต่ว่าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แล้วเอ่ยปากว่า “น่าจะไม่ใช่ พ่อครับ ไปเถอะ ไปต้าซิง”
“ได้” เยี่ยตงผิงพยักหน้า เขารู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาหาเงินก้อนนั้นกลับมา ตอนนี้จึงได้แต่ฟังคำลูกชาย
หลังจากสี่สิบนาทีผ่านไป รถแลนด์โรเวอร์ของเยี่ยเทียนก็มาจอดภายในลานจอดรถโรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่งที่ต้าซิง
เยี่ยเทียนอนุมานคร่าวๆ ในรถเงียบๆ มองไปยังอาคารหลังนั้นแวบหนึ่ง แล้วพูด “พวกเขาอยู่ในโรงแรมนี้แหละ พ่อครับ พวกเราขึ้นไปกันเถอะ”
“ลูกพ่อ แก…แกคิดว่า พวกเราควรแจ้งตำรวจดีไหม?”
กำลังจะเจอตัวพ่อค้าฮ่องกงสกุลเปาคนนั้นอยู่แล้ว แต่เยี่ยตงผิงกลับบ่นพึมพำขึ้นมา หลายปีมานี้เขาทำธุรกิจใช้วิธีหลบเลี่ยงภาษีไปไม่น้อย แต่หากพูดโดยรวมแล้วก็ยังเป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมายบ้านเมืองคนหนึ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยตงผิงแล้ว หูหงเต๋อที่นั่งอยู่ด้านหลังก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ กล่าวว่า “น้องตงผิง ยุทธภพก็มีกฎของยุทธภพ น้องเดินตามก็พอแล้ว เรื่องนี้ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง!”
คนในยุทธภพจัดการเรื่องราวในยุทธภพ ไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อนปฏิรูปเศรษฐกิจหรือยุคปัจจุบัน ข้อห้ามสำคัญที่สุดในยุทธภพก็คือห้ามติดต่อทางการ
โดยปกติพอเกิดเรื่องก็จัดการด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นต่อให้มีกฎเกณฑ์ก็อาจกลายเป็นไร้กฎเกณฑ์ได้ การจัดการแบบนี้หูหงเต๋อยังมีประสบการณ์มากกว่าเยี่ยตงผิงเยอะ
“ได้ ผมจะฟังพี่หูครับ!”
แม้เยี่ยตงผิงไม่เข้าใจกฎเกณฑ์นี้ แต่เขาก็รู้ว่า หากแจ้งความแล้วจะจัดการเรื่องราวได้ยากเย็นกว่าจัดการด้วยตัวเองมาก อีกทั้งหากเป็นอย่างนี้แล้ว เรื่องที่เขาตาลายซื้อของย้อมแมวมาสามสิบล้านก็จะปิดไว้ไม่อยู่
“เหล่าหู อยู่ชั้นเก้าครับ พวกเราจะเข้าไปก่อน พอผ่านไปสักสามนาทีแล้วคุณกับโจวเซี่ยวเทียนค่อยตามขึ้นไป!”
เยี่ยเทียนหันไปตกลงกับหูหงเต๋อ จากนั้นก็หยิบเอาคลิบหนีบกระดาษออกมาถือไว้ในมือ ดึงพ่อลงจากรถแล้วขึ้นลิฟท์ของโรงแรมไปยังชั้นเก้า
เมื่อรอสักสามสี่นาทีแล้ว หูหงเต๋อกับโจวเซี่ยวเทียนอีกสองคนก็ตามหลังขึ้นมาถึงชั้นเก้า จากนั้นเยี่ยเทียนจึงตรงไปยังหน้าประตูของห้องหนึ่ง
“หืม ทำไมถึงมีสี่คนอยู่ข้างในล่ะ?”
ด้วยระยะใกล้เพียงเท่านี้ เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสถึงการขับเคลื่อนพลังชี่ของคนด้านในได้อย่างชัดเจน แต่นอกจากการขับเคลื่อนพลังชี่ของสองคนที่ปะปนอยู่บนธนบัตรแล้ว ดูเหมือนยังมีคนอื่นอีกสองคนอยู่ข้างใน
“เยี่ยเทียน อยู่ข้างในนี้เองหรือ?” หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนหยุดฝีเท้า เดินมาถึงหน้าประตูก็ยกขาขึ้น คิดจะถีบประตูให้เปิดออก
“เหล่าหู ถีบประตูพังแล้วไม่ต้องชดใช้กันหรือไง?” เยี่ยเทียนรั้งหูหงเต๋อไว้ ยืดคลิบหนีบกระดาษในมือออกเป็นเส้นตรง แล้วแยงเข้าไปในรูของประตู
งานฝีมือชนิดนี้เยี่ยเทียนเรียนรู้มาจากจอมโจรที่ชางโจวตอนที่ติดตามหลี่ซั่นหยวนท่องเที่ยวในยุทธภพ โชคดีที่ประตูนี้ไม่เป็นแบบใช้บัตรอย่างโรงแรมในฮ่องกง
หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป เยี่ยเทียนก็วางมือลงบนมือจับประตู หมุนเบาๆ ประตูที่ล็อกจากด้านในตอนแรกก็ถูกผลักออก
เพียงแต่พอประตูบานนี้เปิดออก เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว เพราะว่ามีกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนโชยออกมาจากภายในห้อง แต่ละคนต่างทยอยเข้ามาในห้องทีละคน โจวเซี่ยวเทียนที่เดินรั้งท้ายก็ปิดบานประตูลง
“ให้ตาย นี่…นี่ทำอะไรกันน่ะ?”
นี่คือห้องเตียงคู่ทั่วไป เมื่อเดินเข้ามาในห้องเพียงสองก้าวก็สามารถมองเห็นเตียง แต่เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนั้น กลับล้ำเกินกว่าที่เขาจินตนาการ
บนผ้าปูเตียงสีขาวโพลนทั้งสองผืน เวลานี้มีหญิงชายเปลือยกายล่อนจ้อนเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ด้านบน เสียงของเนื้อหนังที่กระทบกันและเสียงหายใจหอบอันหนักหน่วง อัดแน่นกระจายไปทั่วห้อง
กิจกรรมโรมรันบนเตียงดูท่ากำลังถึงจังหวะสำคัญ จนหญิงชายทั้งสองคู่นั้นไม่ทันสังเกตว่ามีคนเพิ่มสี่คนอยู่กลางห้อง!
เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนต่างเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่นที่ยังไม่เคยกับเรื่องอย่างนี้ มีหรือจะเคยเห็นภาพแบบนี้? เยี่ยเทียนจำต้องเบือนหน้าหนี กล่าวว่า “เหล่าหู คุณจัดการเถอะครับ ทำให้ผู้หญิงสลบ แล้วเหลือผู้ชายไว้!”
เสียงของเยี่ยเทียนแม้ไม่ดัง แต่ก็ยังทำให้แต่ละคนที่อยู่บนเตียงตกใจ สองคนที่อยู่ด้านบนนั้นยังไม่ทันจะหันหน้ามา ก็ถูกหูหงเต๋อจับคอโยนลงบนพื้น
ส่วนหญิงสาวสองคนที่นอนอยู่ ถูกกดจุดที่ลำคอทีละคน จนสลบไสลไม่ได้สติ เยี่ยเทียนและลูกศิษย์สองคนมองไปที่ร่างขาวราวหิมะอย่างตกตะลึง
สุดท้ายเยี่ยตงผิงอาบน้ำร้อนมาก่อน จึงรีบดึงผ้าปูมาคลุมร่างหญิงสาวสองคนนั้น ตอนที่หันหน้ามา มองไปยังคนบนพื้นที่ยังไม่ฟื้นสติกลับมา ดวงตาก็พลันแดงก่ำ
เวลานี้เยี่ยตงผิงไม่ใช่บัณฑิตผู้อ่อนแอในอดีตคนนั้นอีกแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าฟาดมือลงไป ปากด่าว่า “ไอ้คนแซ่เปา ไม่คิดว่าเยี่ยตงผิงอย่างฉันจะมาหาใช่ไหม?”
……