“เหล่าหู ในโถสองสามอันนี้ใส่โสมทั้งนั้นใช่ไหม? ใส่เข้าไปได้ยังไง? ไม่ยุ่งยากเหรอ”
เยี่ยเทียนปล่อยพลังชี่เคลื่อนออกไปสัมผัสในโถเล็กน้อย แล้วจึงรู้สึกได้ว่าสิ่งของที่อยู่ในโถนั่นเป็นโสมคนแก่อย่างละหนึ่งอันวางอยู่ข้างใน และพลังชีวิตในโสมนั้นมีมากกว่าต้นโสมที่ตัวเองเคยกินเคี้ยวสดๆ มาก
“ถ้าหากเก็บโสมนี้อย่างไม่ระมัดระวัง ก็จะถูกแมลงหรือไม่ก็ขึ้นราจนเปลี่ยนสภาพได้ เมิ่งตาบอดมีความอดทนจริงๆ!”
เมื่อนึกถึงเมิ่งตาบอดที่นอนเป็นศพอยู่ข้างนอก หูหงเต๋ออดถอนหายใจไม่ได้ ในเขตภูเขาฉางไป๋ซานนี้ ถือว่าเมิ่งตาบอดเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่มีความสามารถในการล่าสัตว์และขุดโสมคน ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง
รู้จักกันมาสิบกว่าปี สุดท้ายกลับต้องมาทำสงครามกัน แล้วยังตายด้วยน้ำมือของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นยาล้ำค่าเหล่านี้ที่เมิ่งตาบอดเก็บรักษาเอาไว้ หัวใจของหูหงเต๋อจึงพรั่งพรูไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“ต้องพิถีพิถันมากขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เปิดโถลายครามออกหนึ่งอัน จึงมองเห็นกล่องที่ห่อด้วยถุงพลาสติกหนึ่งอันอยู่ข้างใน และยังมีกระดาษน้ำมันหนึ่งใบรองอยู่ข้างล่างกล่อง และข้างล่างกระดาษน้ำมันยังมีปูนขาวรองอยู่อีกชั้น
หลังจากยื่นมือไปหยิบกล่องนั้นออกมาแล้วเปิดถุงพลาสติกออก เยี่ยเทียนจึงพบว่าด้านนอกของโสมคนที่อยู่ในกล่องยังมีกระดาษสีขาวห่ออยู่อีกชั้น
“เหล่าหู โสมคนจำเป็นต้องเก็บรักษาแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
เมื่อนึกถึงโสมคนที่วางอยู่ในห้องของเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนรู้สึกเหงื่อโทรมหน้าไม่หยุด ยกเว้นโสมแก่สองสามอันที่เขาแยกเก็บต่างหากแล้ว ส่วนที่เหลือก็โยนทิ้งในห้องเก็บของ
โชคดีที่ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนยังมีง้าวพระจันทร์เสี้ยวอยู่ และยังมีเจ้าเหมาโถวที่ใช้ชีวิตอยู่บ้าน จึงทำให้พวกมดแมลงหนูไม่กล้าเข้าไปข้างใน ไม่อย่างนั้นถ้าถูกแมลงพวกนี้กัดคงมีสภาพที่ไม่ดีแน่
“แน่นอน ต้องเก็บวิธีนี้ถึงจะเก็บรักษาได้สองสามปี”
หูหงเต๋อโบกมือพลางพูด “โอเค รีบเปิดดูเถอะว่าเมิ่งตาบอดเก็บอะไรไว้ข้างใน จะต้องเป็นของดีแน่นอน!”
ในฐานะที่เป็นนักขุดโสมคนที่มีชื่อเสียงในภูเขาฉางไป๋ซานเหมือนกัน วิธีการของเมิ่งตาบอดต้องดีมากกว่าหูหงเต๋อแน่นอน เขาไม่เพียงแต่ขุดด้วยตัวเอง แถมยังแย่งโสมที่คนอื่นขุดมาแล้วอีกต่างหาก เมื่อสะสมมาเรื่อยๆ จึงมีเยอะเป็นธรรมดา
“นี่…นี่อย่างน้อยต้องเป็นพวก หกใบ?”
เมื่อเปิดกระดาษสีขาวที่ห่อโสมคนออกมา จึงได้กลิ่นหอมสดชื่นของโสมคนลอยมาเตะจมูก แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกใจคือ โสมคนอันนี้มีหนวดโสมล้อมอยู่โดยรอบแต่กลับมองไม่เห็นตัวของโสมเลย
เมื่อเห็นโสมนี้ หูหงเต๋อมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีแล้วพูดอย่างรีบร้อน “เยี่ยเทียน เบาๆ รีบ…รีบเอาไปวางบนโต๊ะ!”
หลังจากรอให้เยี่ยเทียนเอาโสมคนไปวางบนโต๊ะแล้ว หูหงเต๋อจึงค่อยๆ ลูบหนวดโสมให้เรียบอย่างระมัดระวัง และขยับอย่างเบามือที่สุด หลังจากสิบนาทีผ่านไป โสมคนอันนี้ก็เผยหน้าตาออกมาทั้งหมด
ก้านรากใต้ดินของโสมคนนี้ไม่ใหญ่มาก มีความกว้างประมาณสองนิ้วมือแต่หนวดโสมเยอะมาก บนโต๊ะมีความกว้างยาวประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร เวลานี้มีแต่หนวดของโสมคนเต็มไปหมด มีความหนาขนาดเท่านิ้วก้อย แต่ละเอียดยิบเหมือนเส้นผมที่แน่นขนัดปูอยู่เต็มโต๊ะ
“แปดร้อยปี โสมนี้อย่างน้อยต้องมีอายุเจ็ดแปดร้อยปีขึ้นไป เป็นโสม เจ็ดใบ ราชาแห่งโสม สามารถเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งโสม!”
หูหงเต๋อขุดโสมคนอยู่บนภูเขาฉางไป๋ซานมาตลอดชีวิต ก็ไม่เคยเห็นโสมล้ำค่าขนาดนี้มาก่อน จากนั้นเขาจึงเอามือไปลูบหนวดโสมเบาๆ พร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้นอย่างเต็มที่
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูด “โสมนี้ไม่เลว ถึงแม้จะถูกตากแห้งแล้ว แต่พลังชีวิตที่อยู่ข้างในนั้นมีมากกว่าอันที่มีอายุห้าสิบปีหลายเท่า เป็นของดีจริงๆ!”
หูหงเต๋อเห็นเยี่ยเทียนมองดูราชาโสมที่อยู่บนโต๊ะตาไม่กระพริบ สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ทันที แล้วจึงรีบพูด “เยี่ยเทียน คุณคงไม่คิดอยากจะทานโสมนี้สดๆ หรอกนะ? โสมตากแห้งรสชาติไม่ดีนะ!”
“ไม่ ไม่หรอก” เมื่อถูกหูหงเต๋ออ่านใจออก เยี่ยเทียนจึงหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดเปลี่ยนประเด็นทันที “เหล่าหู เก็บโสมต้นนี้ไว้ให้ดี พวกเราก็ไปดูอีกสองต้นที่เหลือกันเถอะ”
ถึงแม้อีกสองต้นที่เหลือจะไม่มีอายุมากเท่าราชาโสม แต่ก็เป็นโสมที่มีอายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไปและยังมีคุณสมบัติดีมากอีกด้วย หากนำไปวางข้างนอกจะกลายเป็นสิ่งของล้ำค่าที่สุดบนโลกมนุษย์ที่เงินก็ไม่สามารถซื้อได้
“เหล่าหู ตกลงกันแล้วนะ ของพวกนี้ต้องเป็นของผมทั้งหมด!”
หลังจากเยี่ยเทียนเก็บหนวดโสมที่เป็นราชาแห่งโสมที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้งและวางลงไปในกล่องไม้ ในขณะที่หูหงเต๋อใช้สายตามองตามตาปริบๆ แม้แต่กล่องที่เหลืออีกสองอันก็ถูกเก็บไปพร้อมกัน
“เอ่อ เยี่ยเทียน ของพวกนี้ต้องใช้อย่างระวังนะ เวลาที่คนกำลังจะตาย มันสามารถต่อเวลาให้ชีวิตคนได้ไม่น้อย!”
หูหงเต๋อถอนหายใจ เขากลัวว่าเยี่ยเทียนคึกขึ้นมาแล้วจะทานโสมแก่สองสามอันนั้นจนหมดเกลี้ยง แบบนั้นคงจะเป็นเหมือนวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น
“เหล่าหู วางใจได้ ของพวกนี้อยู่ในมือผมแล้ว ยังมีประโยชน์มากกว่าให้คุณเสียอีก” เยี่ยเทียนยิ้มแล้วจึงพูด “กลับไปรออีกสองสามเดือน แล้วผมจะปรุงยามาให้คุณ หลังจากคุณทานแล้วก็จะรู้ถึงข้อดีของมัน!”
ตำรับยาวิเศษที่หลี่ซั่นหยวนทิ้งเอาไว้ให้ มียาหลายชนิดที่จำเป็นต้องใช้โสมที่มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีเป็นตัวนำ
ยาวิเศษแบบนี้มีประสิทธิภาพที่ดีมากต่อผู้ที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ โดยเฉพาะการฝึกกำลังภายในและภายนอกอย่างหูหงเต๋อ เขาจะต้องกำจัดลมปราณแฝงที่ไม่ดีออกจากภายในร่างกายก่อน
เพียงแต่โสมดีนั้นหายาก เยี่ยเทียนไม่สามารถรวบรวมวัตถุดิบชั้นยอดได้ ตอนนี้มีโสมแก่อายุร้อยปีสามอัน จึงสามารถปรุงยาวิเศษที่บำรุงร่างกายและเลือดลมออกมาได้เสียที
“โอเค อย่างนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้นะ!” เมื่อได้อยู่กับเยี่ยเทียนมาสักระยะหนึ่ง หูหงเต๋อจึงรู้ว่าเขามีความรอบรู้สูงมาก และสิ่งของที่สามารถทำให้เขาชื่นชมได้ จะต้องเป็นของดีอย่างมากแน่นอน
“เหล่าหู นี่คือของอะไร?”
หลังจากเยี่ยเทียนเปิดกล่องอันสุดท้าย ในกล่องกลับมีกล่องพลาสติกสี่อันวางอยู่ และเป็นกล่องโปร่งใสด้วย ทำให้เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นสิ่งของที่เป็นสีเหลืองทองอร่ามวางอยู่ข้างใน
เมื่อมองเห็นกล่องสี่อันแล้ว หูหงเต๋อจึงพูดด้วยความตกใจ “น้ำมันหอยหิมะ? นี่ก็เป็นของดีเหมือนกัน โอ้แม่เจ้า เมิ่งตาบอดฆ่ากบป่าไปกี่ตัวกันแน่?”
เมื่อเห็นท่าทางไม่เข้าใจของเยี่ยเทียน หูหงเต๋อจึงอธิยาย “ของสิ่งนี้ก็เป็นยาเหมือนกัน แต่มันสกัดมาจากสัตว์ สามารถช่วยบำรุงปอดให้ชุ่มชื่น ร่างกายแข็งแรงกำยำ ไม่ด้อยไปกว่าของล้ำค่าสามอย่างบนภูเขาฉางไป๋ซานหรอก…”
น้ำมันหอยหิมะของแท้ส่วนใหญ่มีกำเนิดมาจากน้ำมันกบที่เกิดจากกบป่าในภูเขาฉางไป๋ซาน ในฤดูใบไม้ร่วงท้องของกบป่าจะมีน้ำมันออกมา พอตากแห้งแล้วก็จะกลายเป็นน้ำมันหอยหิมะ หลังจากผู้ชายได้ทานแล้วก็เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผู้หญิงก็จะทำให้ใบหน้าดูเปล่งปลั่ง
ดังนั้นในสมัยราชวงศ์ชิงและราชวงศ์หมิง น้ำมันหอยหิมะจะเป็นของบรรณาการ และที่ผ่านมามีความต้องการที่สูงมาก จึงทำให้เป็นสินค้าที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทัน
แต่ในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเจ็ดสิบ เนื่องจากปัจจัยความต้องการของมนุษย์ทำให้ระบบนิเวศน์แย่ลง การเข้าไปจับกันอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้กบป่าในประเทศจีนใกล้สูญพันธุ์ หลายปีมานี้จึงประกาศให้กบป่าเป็นสัตว์สงวน จึงทำให้เริ่มดีขึ้นมาบ้าง
เมิ่งตาบอดสามารถรวบรวมน้ำมันหอยหิมะได้มากมายขนาดนี้ ไม่รู้ว่ามีกบป่ามากมายขนาดไหนที่ต้องตายด้วยมือของเขา และน้ำมันหอยหิมะนี้ก็เพิ่งทำเมื่อไม่นานมานี้เอง จึงไม่รู้ว่าเมิ่งตาบอดเอามาซ่อนไว้ที่นี่เพื่ออะไร?
“แค่กๆ…”
เยี่ยเทียนได้ยินสรรพคุณของน้ำมันหอยหิมะ จึงไอทันที จากนั้นจึงปิดกล่องแล้วพูดว่า “เหล่าหู ของสิ่งนี้คุณเอาไปก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม? บ้านของผมมีผู้หญิงเยอะ งั้นก็ให้ผมดีกว่า!”
“หลานสาวของผมไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ? เธอสามารถใช้ได้เหมือนกัน”
เมื่อได้เจอของดีแบบนี้ หูหงเต๋อจึงไม่ยอมถอยให้เหมือนกัน เพราะน้ำมันหอยหิมะสีเหลืองทองอร่ามนี้ มีคุณภาพดีมาก เขาเองก็อยากได้
“โอเค มีสี่กล่องผมให้คุณหนึ่งกล่อง เหล่าหูคุณก็ไม่มีน้ำใจเลย ตัวเองอยู่ในภูเขาฉางไป๋ซานแท้ๆ ยังจะมาแย่งของกับแขกอย่างผมอีก?”
เยี่ยเทียนหยิบกล่องหนึ่งใบออกมาจากในกล่องแล้วยื่นให้หูหงเต๋อ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วเทข้าวสารใส่ถุงหนึ่งถุง แล้วนำน้ำมันหอยหิมะกับโสมคนวางข้างใน
“ใครบ้างไม่ชอบของดี ของพวกนี้สามารถเอาไปบำรุงร่างกายให้หูเสี่ยวเซียนได้” สำหรับราชาแห่งโสมที่มีมูลค่าสูงกว่า หูหงเต๋อสามารถยอมให้ได้ แต่น้ำมันหอยหิมะเขาไม่ยอมและต้องเอามาให้ได้
หลังจากเก็บของล้ำค่าของเมิ่งตาบอดหมดแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูด “ไปกันเถอะ เหล่าหู พวกสองสามคนนั้นน่าจะตื่นแล้ว สถานที่แห่งนี้จะให้พวกเขารู้ไม่ได้”
พอเดินออกมาจากกระท่อม ก็ได้รับพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ที่อยู่ภายในหุบเขา ทำให้เยี่ยเทียนส่ายหน้าด้วยความเสียดาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะหุบเขาอยู่ไกลเกินไป เขาคงจะสร้างค่ายกลรวบรวมพลังชีวิตเพื่อใช้ในการฝึกวรยุทธ์ คงจะมีประสิทธิผลที่แข็งแกร่งกว่าในเรือนสี่ประสานของเขาอีก
ต้องรู้ก่อนว่าในเรือนสี่ประสานนั้นสร้างมาจากพลังพิฆาตและดูดเอาความแข็งแกร่งเส้นเลือดมังกรของพระราชวัง สุดท้ายพลังเหล่านั้นก็จะหมดไป
แต่พลังจักรวาลที่หล่อเลี้ยงที่นี่มาจากน้ำพุร้อนในหุบเขา ที่มาจากธรรมชาติทั้งหมด ใช้ไปมากกว่าหนึ่งร้อยปีก็ไม่ทำให้พลังงานที่มีลดลงไป
และที่นี่ยังเป็นที่ซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยม ต่อให้ทำผิดคดีใหญ่มาจากภายนอก เมื่อมาหลบอยู่ที่นี่ก็สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างปลอดภัย ถ้าหากเยี่ยเทียนเป็นคนที่มีจิตใจชั่วร้ายแบบนั้น ไม่แน่เขาคงคิดอยากฆ่าหูหงเต๋อปิดปากก็เป็นได้
เยี่ยเทียนตบไหล่ของหูหงเต๋อพลางพูด “เหล่าหู กลับไปที่ทางออกถ้ำแล้วจัดใหม่อีกครั้ง พยายามอำพรางให้ดีที่สุด ถ้าหากวันหลังเกิดเรื่องอะไร ที่นี่ก็คือทางถอย”
มีเรื่องมากมายที่เราก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะปรมาจารย์อย่างเยี่ยเทียนและพวกเขา ที่ต้องหวาดกลัวกับอำนาจมืดของแต่ละยุคแต่ละสมัยมาตลอด ไม่แน่วันหนึ่งเขาก็อาจจะได้มาอยู่ที่นี่
“ฉันรู้แล้ว เธอวางใจได้ แม้แต่เสี่ยวเซียน ฉันก็จะไม่บอกเธอ”
หูหงเต๋อได้ยินแล้วจึงพยักหน้า เขาเคยมีประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึงสองครั้ง ครั้งแรกก็คือการทำสงครามกับเหล่าทหารญี่ปุ่น ครั้งที่สองคือช่วงที่มีการปฏิรูปประเทศ ทั้งสองครั้งมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อชายชราคนนี้มาก
ความคิดในการหาที่หลบซ่อนตัวเพื่อความปลอดภัยของหูหงเต๋อนั้นรุนแรงกว่าของเยี่ยเทียน และในภูเขานี้มีสถานที่ซ่อนตัวของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ายังมีสถานที่ลึกลับอยู่ที่นี่ด้วยเท่านั้นเอง
เมื่อคำนวณเวลาแล้ว ทั้งสองคนอยู่ในหุบเขานี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว หลังจากเก็บของแล้ว จึงปีนขึ้นไปบนปากถ้ำ เดินไปตามทางที่ทั้งสองคนผ่านมาแล้วกลับออกไป
“หืม? ทำไมกลิ่นคาวเลือดรุนแรงขนาดนี้?”
ขณะที่เพิ่งจะมุดตัวออกมาจากถ้ำ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เหลือบตามองออกไปจึงเห็นกองไฟยังคงติดอยู่ แต่คนสองสามคนที่นอนอยู่ข้างกองไฟ กลับหายไปแล้ว
“เหล่าหู นี่เป็นฝีมือของฝูงหมาป่าเหรอ?” เมื่อรีบเดินเข้าไปที่ข้างกองไฟ เยี่ยเทียนจึงเห็นเลือดสดกระจายเต็มพื้น เนื่องจากที่นี่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง กลิ่นคาวเลือดจึงเตะจมูกและฉุนมาก
“ไม่ใช่ฝูงหมาป่า เยี่ยเทียน นี่…รอยเลือดนี้ตรงไปที่บึงน้ำมังกรดำ!” หูหงเต๋อมองดูบริเวณรอบๆ อย่างละเอียด จากนั้นสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที
…