เยี่ยเทียนได้ยินเสียงของกลองหนังแกะนี้ก่อนหน้านั้น แต่กลับไม่เห็นตัวสิ่งของ เมื่อเขามองกลองที่อยู่ในมือแล้วจึก็ตกตะลึงงันไปทั้งตัว
“ของขลัง มันคือของขลังอย่างหนึ่ง?!”
มีคลื่นวิญญาณแฝงอยู่ในกลองนี้ ทำให้เยี่ยเทียนมั่นใจว่ากลองนี้คือของขลังอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่คลื่นวิญญาณนั่นกลับมีความประหลาดอยู่บ้าง ไม่เหมือนกับที่เยี่ยเทียนรู้จักโดยสิ้นเชิง
และชี่ดั้งเดิมที่นักลัทธิเต๋ากล่าวไว้ หมายถึงสองพลังแห่งหยินหยางที่อยู่ในโลกมนุษย์ แต่คลื่นวิญญาณที่อยู่ในกลองนี้ไม่มีพลังของหยินหยางติดอยู่เลยสักนิดเดียว แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความเรียบง่ายและป่าเถื่อนบางอย่าง
กลองหนังแกะโดยทั่วไป ตัวกลองจะทำด้วยไม้ แต่ตัวนี้กลับทำมาจากทองสำริด และจะรู้สึกหนักมากเวลาที่ถืออยู่ในมือ
อีกทั้งตัวของกลองนี้ยังแกะสลักภาพวาดบุคคลบางกลุ่มไว้อีกด้วย เป็นมนุษย์ยุคบุพกาลที่ไม่ใส่เสื้อผ้าปกคลุมร่างกายกลุ่มหนึ่ง และเหมือนกับกำลังสักการะบูชาอะไรสักอย่าง นอกจากนี้ยังมีลวดลายของภาพวาดจีนที่วาดนกและดอกไม้เป็นหลักบางส่วน
และเมื่ออาศัยแสงไฟจากไม่ไกล หูหงเต๋อก็มองเห็นวัตถุที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนเช่นกัน แล้วจึงเอ่ยพูด “เยี่ยเทียน เป็นอะไร? นี่คือของเมิ่งตาบอด เมื่อครู่อาจจะทิ้งไว้ที่นี่ก็ได้?”
หูหงเต๋อเคยเห็นกลองสำริดนี้เมื่อสิบกว่ามาแล้ว จึงรู้ว่าเมิ่งตาบอดจะใช้ในเวลาเข้าทรง และไม่เคยห่างกายของเมิ่งตาบอดเลย เมื่อเขาเห็นมันอยู่ที่นี่จึงไม่รู้สึกแปลกอะไร
“เจ้าของแปลกสิ่งนี้ เหมือนกับของขลังของพวกเรียนวิชาฉีเหมิน แต่ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง” หูหงเต๋อถือว่าเป็นคนฉีเหมินครึ่งหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงไม่อยากปิดบังเขา ยึดเอากลองนี้เป็นของตัวเอง
“ของขลัง? ของขลังของลัทธิชามัน?”
หูหงเต๋อเคยได้ยินชื่อของของขลัง จากนั้นจึงมองกลองที่อยู่ในมือแล้วจึงส่ายหน้ายื่นให้เยี่ยเทียนอีกครั้ง พลางพูด “ฉันไม่ได้ใช้ของสิ่งนี้หรอก เยี่ยเทียนเธอเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ!”
“ได้ เจ้าสิ่งนี้น่าจะลองศึกษาเสียหน่อย!”
เยี่ยเทียนยื่นนิ้วชี้ออกไปแล้วดีดหน้ากลองเบาๆ จากนั้นเสียงที่หนักอึ้งก็ดังขึ้น “หนังนี้ก็ไม่ใช่หนังแกะ เหล่าหู คุณรู้ไหมว่าเป็นหนังอะไร?”
“ไม่รู้ มองดูหนังนี้แล้วน่าจะมีอายุนานหลายปีแล้ว ฉันเองก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร”
และสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนต้องแปลกใจก็คือ หูหงเต๋อที่มีความคุ้นเคยภูเขาลูกใหญ่นี้มากกว่าใคร ต้องส่ายหน้าเหมือนกัน เพราะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของกลองหนังตัวนี้เลย
“น่าจะเป็นสิ่งของที่สืบทอดมาจากลัทธิชามัน”
เยี่ยเทียนหยิบกลองตัวนี้ แล้วจึงใช้แรงตีไปที่หน้ากลอง ทันใดนั้นเสียงที่หนาและหนักอึ้งบางอย่างก็ดังขึ้นจากในป่าเขา
และในขณะเดียวกัน กลิ่นอายโบราณที่เรียบง่ายในกลองนั่นเหมือนจะล้นออกไปข้างนอก ทำให้พลังจักรวาลระยะสิบเมตรรอบตัวของเยี่ยเทียน เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกับกลองสำริดนี้อย่างฉับพลัน
เพียงแต่ผ่านไปไม่นานหรือเวลาเพียงสองสามวินาที พลังจักรวาลเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไป และตอนที่รอให้เยี่ยเทียนได้สติกลับมา โลกก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ
“น่าจะต้องท่องคาถาปลุกเสกไปด้วย ถึงจะสามารถรวบรวมพลังเหล่านั้นให้มารวมกันได้ และสิ่งที่เรียกว่าการเชิญเทพเจ้านั้น ความจริงก็คือพลังวิญญาณที่อยู่ในกลองนี้นั้นเอง แต่พลังวิญญาณเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน?”
ขณะที่ถือกลองสำริดนี้ ทำให้เยี่ยเทียนตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นเขาจึงนึกถึงท่วงทำนองเพลงที่เมิ่งตาบอดเคยร้องออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้เยี่ยเทียนเข้าใจทันที และบางทีคาถาเหล่านั้น ก็คือวิธีการติดต่อกับพลังวิญญาณที่แปลกๆ นั่นเอง
เพียงแต่เมิ่งตาบอดตายไปแล้ว คาถาจึงสูญหายไปเช่นกัน และเยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า “เพลงเรียกเทพเจ้า” ที่ร้องโดยพวกนักต้มตุ๋นที่อยู่ในมณฑลตงซันเฉิ่งนั้นจะได้ผลไหม
“เอ๊ะ เยี่ยเทียน ยังมีกระดิ่งอีกด้วย ผมเคยเห็นเมิ่งตาบอดใส่มาก่อน!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตรวจสอบความล้ำลึกและมหัศจรรย์ของกลองนี้อยู่ เสียงของหูหงเต๋อก็ดังขึ้นมา และในมือของเขายังมีกระดิ่งขนาดเท่าศีรษะของทารก จากนั้นจึงลองสั่นไปมาและเกิดเสียงกังวานดัง “กริ๊งๆๆ”
“”นี่..นี่ก็เป็นของขลังเหมือนกันเหรอ?
เมื่อเห็นกระดิ่งนี้ ในหัวของเยี่ยเทียนรู้สึกคิดอะไรไม่ทันแล้ว เพราะของขลังของวิชาฉีเหมินที่ยากจะได้เห็น วันนี้เขากลับเจอติดต่อกันถึงสองอย่าง
“ฉันไม่ได้ใช้หรอก เธอเก็บไว้เถอะ!” หูหงเต๋อทิ้งกระดิ่งให้เยี่ยเทียน
เมื่อรับกระดิ่งมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงเผยความลังเลบนใบหน้า แต่เขาก็ยังพูดออกไป “เหล่าหู เจ้าสิ่งนี้สามารถเรียกวิญญาณได้ แต่ก็สามารถทำให้จิตใจสงบได้เช่นกัน อีกทั้งยังป้องกันการรุมเร้าของพลังชี่พิฆาตได้อยู่บ้าง คุณเอามันไปแขวนไว้ในห้องของหูเสี่ยวเซียน จะมีประโยชน์กับเธอมาก”
กระดิ่งตัวนี้ทำมาจากทองคำม่วง แต่ในยุคนี้ยังมีค่าสู้กลองสำริดไม่ได้ และพลังจักรวาลที่แฝงอยู่ข้างใน ถึงแม้จะมีความล้ำค่ามาก แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนั้น ค่าของกระดิ่งกลับห่างไกลกับค่าของกลองสำริดมากนัก
การเดินทางในครั้งนี้ได้กลองสำริดมาครอบครองจึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกพอใจมาก และเจ้ากระดิ่งก็ไม่ได้มีประโยชน์กับเขามากเท่าไร อีกทั้งช่วงนี้หูเสี่ยวเซียนก็สูญเสียพลังชีวิตไปไม่น้อย หากมีเจ้ากระดิ่งนี้แขวนไว้ในห้อง ก็จะสามารถเรียกสิ่งมงคลและขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่แฝงอยู่ภายในร่างกายของเธอได้
“อ้อ มีสรรพคุณแบบนี้ด้วย? อย่างนั้ฉันขอเก็บไว้เอง!” หูเสี่ยวเซียนก็เป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของหูหงเต๋อ หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เขาจึงไม่ปฏิเสธและรับกระดิ่งมาทันที
“เหล่าหู เมื่อครู่คุณพูดว่าเมิ่งตาบอดเขายืนอยู่ตรงนี้ทำอะไรนะ?”
หลังจากเก็บกระดิ่งกับกลองสำริดแล้ว เยี่ยเทียนจึงยืนอยู่ตรงสถานที่ที่เมิ่งตาบอดยืนอยู่พอดี แต่ข้างหน้านอกจากหินผาก้อนหนึ่งที่นูนเว้าแล้วก็คือหิมะ ไม่ได้มีความแตกต่างจากที่อื่นเลย
“เยี่ยเทียน เธอหลบไปก่อน ฉันขอดูหน่อย” หูหงเต๋อกลับมองเห็นสิ่งที่ผิดปกติ หลังจากรอให้เยี่ยเทียนหลบไปแล้ว เขาจึงยื่นมือไปเคาะกำแพงหินที่อยู่ตรงหน้า
“ตุง…ตุงตุง…”
ตอนที่หูหงเต๋อแงะหิมะที่ทับถมกันอยู่บนก้อนหินที่นูนออกมาและจัดการกิ่งก้านไม้ที่แห้งตายอยู่บนนั้นจนหมดเกลี้ยง หลังจากเคาะไปที่ผนังหินที่ถูกปกปิดเอาไว้ กลับเป็นเสียงดัง “ตุงตุง” เหมือนเคาะอยู่บนแผ่นกระดาน
“ข้างหลังคือกลวง?!” เยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อตกตะลึง แล้วจึงพูดเป็นเสียงเดียวกัน“หรือจะมีถ้ำอยู่ข้างใน?”
“ไปดูก็จะรู้เอง”
หูหงเต๋อลองคลำบนก้อนหิน ผ่านไปสักพัก สองมือก็จับก้อนหินทั้งสองข้างแล้วใช้แรงดึง แผ่นไม้ยาวประมาณหนึ่งเมตรถูกเขาดึงออกมา แล้วจึงปรากฏปากถ้ำอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
“ที่นี่มีอากาศไหลผ่าน ไม่ใช่ถ้ำ” หลังจากปากถ้ำปรากฏออกมาแล้ว จึงมีลมอุ่นพัดออกมาจากข้างใน และไม่ใช่อากาศเหม็นเน่าแบบที่ไม่เคยเห็นมานาน
“ไป เข้าไปดูกัน!”
ที่นี่มีการตัดวางอย่างยอดเยี่ยม บวกกับการกระทำของเมิ่งตาบอดก่อนหน้า เยี่ยเทียนจึงมั่นใจว่า ข้างในต้องเป็นที่อยู่อาศัยของเมิ่งตาบอดแน่นอน
เยี่ยเทียนเดาไม่ผิดจริงๆ การเดินทางของเมิ่งตาบอดในครั้งนี้ ไม่ใช่การไปที่ตั้งมั่นบนภูเขา จุดประสงค์ของเขาคือเข้าไปอยู่บนถ้ำกลางภูเขา ที่นี่ถึงจะเป็นรังที่ซ่อนตัวสุดยอดบนภูเขาฉางไป๋ซานของเขานั่นเอง
หลังจากเชิญเทพเจ้าเข้าร่างแล้ว เมิ่งตาบอดจึงรีบสะบัดเยี่ยเทียนออก แต่เขาก็รู้ว่าพลังเทพของตัวเองจะอยู่ไม่นาน ถ้าหากไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ เกรงว่าไม่ต้องให้หูหงเต๋อไล่ฆ่า แต่สภาพอากาศแบบนี้ก็สามารถทำให้เขาแข็งตายได้
หลังจากเดินวนรอบป่าหนึ่งรอบแล้ว เมิ่งตาบอดจึงยอมเสี่ยงกลับไปที่หุบเขาอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะสามารถพบร่องรอยของเขาจากการสัมผัสลมหายใจได้ และการที่ใช้เล่ห์กลเยอะเกินไป สุดท้ายจึงทำให้ต้องจบชีวิตลง!
“เยี่ยเทียน รอเดี๋ยว เตรียมตัวก่อนแล้วค่อยเข้าไป!”
ถึงแม้การจัดวางตรงปากถ้ำจะเป็นฝีมือของคนก็ตาม แต่หูหงเต๋อรู้จักนิสัยที่เล่ห์เหลี่ยมของเมิ่งตาบอดเป็นอย่างดี ไม่แน่อาจจะมีกับดักอะไรอยู่ข้างในก็เป็นได้
เมื่อกลับไปยังกองไฟ หูหงเต๋อจึงนำศพที่แข็งทื่อมาวางข้างกองไฟ คิดว่ารอให้กลับมาอีกทีค่อยหาที่ขุดหลุมฝัง
จากนั้นจึงเอาเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวศพออกมาหนึ่งตัว หูหงเต๋อนำมาทำเป็นคบไฟง่ายๆ แล้วจึงเคาะไปที่ศีรษะของคนทั้งสองที่สลบไม่ตื่น เพื่อยืนยันว่าภายในสองชั่วโมงพวกเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมา แล้วจึงกลับไปที่ปากถ้ำกับเยี่ยเทียนอีกครั้ง
“เหล่าหู ให้ผมเดินข้างหน้าเถอะ…”
ความสามารถในการรับรู้ถึงอันตรายของเยี่ยเทียนสูงกว่าหูหงเต๋อมาก เขาปล่อยการขับเคลื่อนของชี่มาก่อนหน้านั้น และพบว่าไม่มีอันตรายใดๆ อยู่ในถ้ำแห่งนี้
หลังจากจุดไฟแล้ว จึงย่อตัวลง จากนั้นเยี่ยเทียนจึงมุดเข้าไปในถ้ำขนาดหนึ่งเมตร หลังจากเดินเข้าไปได้สองสามเมตร เยี่ยเทียนจึงพบว่า หากจะพูดว่าที่นี่เป็นถ้ำ ควรจะพูดว่าเป็นรอยแยกจะเหมาะสมกว่า
เพราะถ้ำแห่งนี้แคบมาก แต่ความสูงกลับสูงสามถึงสี่เมตร เยี่ยเทียนพยายามทำตัวตรง แต่ตอนที่เดินเข้าไปข้างหน้า กลับต้องแขม่วท้องเพื่อเก็บลมหายใจแล้วจึงจะเอาตัวผ่านเข้าไปได้
เมื่อเดินไปตามทาง กระทั่งยังมองเห็นรอยขวานอยู่บนก้อนหิน คาดว่าคงจะเป็นร่องรอยของเมิ่งตาบอดที่ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นไม่ว่าจะเดินไม่สะดวกแค่ไหน เยี่ยเทียนทั้งสองคนก็พยายามจะผ่านไปให้ได้
และก็ไม่รู้ว่าลักษณะถ้ำแบบนี้มีความลึกมาก หลังจากเยี่ยเทียนสองคนเดินไปได้เจ็ดถึงแปดนาที ก็น่าจะเป็นระยะห่างสี่ถึงห้าสิบเมตรแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่สุดทางเสียที
“หืม? เหล่าหู คุณรู้สึกอะไรไหม เหมือนอุณหภูมิจะร้อนมากขึ้นนะ?”
เมื่อเดินเข้าไปได้สี่ถึงห้านาที จู่ๆ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกมีความร้อนมาปะทะหน้า ถึงแม้เขาจะบรรลุขั้นที่ความร้อนหรือความเย็นไม่สามารถเข้าร่างกายได้ แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ความเย็นและความร้อนได้เสมอ
เมื่อเทียบกับอุณหภูมิภายนอก อุณหภูมิความร้อนแบบนี้น่าจะอยู่ในระดับแปดถึงเก้าสิบองศา ทำให้เยี่ยเทียนที่อยู่ในถ้ำที่หนาวเหน็บแบบนี้รู้สึกถึงความร้อนและความหนาวเย็นของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
“ใช่ แปลกมาก หรือว่าในถ้ำนี้จะยังมีส่วนกลางของภูเขา?” หูหงเต๋อรู้สึกได้อย่างชัดเจน เพราะเสื้อผ้าที่เขาใส่จนหนา ตอนนี้มีเหงื่อผุดออกมาที่หน้าผากแล้ว
“แต่ก็ไม่ถูกนะ แม้ว่าจะเป็นส่วนกลางภูเขา แต่อุณหภูมิก็ไม่น่าจะสูงเช่นนี้ นอกเสียจาก…นอกเสียจากจะมีน้ำพุร้อน!”
หูหงเต๋อที่เติบโตมาจากภูเขาฉางไป๋ซาน จึงมีความรู้และเข้าใจภูมิศาสตร์ของภูเขาฉางไป๋ซามากกว่านักธรณีวิทยาเหล่านั้นเสียอีก เพียงแค่ใช้สมองคิดก็สามารถนึกถึงความเป็นไปได้ของข้อนี้
ภูเขาฉางไป๋ซานเป็นทะลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาในตอนแรก เนื่องจากเปลือกโลกที่สูงขึ้น ทำให้น้ำทะเลถดถอย พื้นดินเกิดผิวน้ำใหม่ และระหว่างนี้ยังผ่านการปะทุของภูเขาไฟนับสิบครั้ง จึงทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อนให้ผู้คนมาท่องเที่ยวได้
เพียงแต่น้ำพุเหล่านี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลหนึ่งพันกว่าเมตร หูหงเต๋อจึงไม่กล้ายืนยันว่าในถ้ำจะมีน้ำพุจริงไหม
พอสิ้นเสียงของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนที่เดินนำหน้าจู่ๆ ร่างกายก็นิ่งทื่อไปทันที แล้วหันคอมาอย่างยากลำบากพลางพูดอย่างขมขื่น “เหล่าหู คุณทายถูกแล้ว!”
ห่างออกไปสามเมตรจากตัวของเยี่ยเทียนยังมีปากถ้ำอีกหนึ่งอัน และแสงดาวระยิบระยับกลุ่มหนึ่งก็ตกลงมาจากปากถ้ำ และแล้วที่นี่ก็ยังมีทิวทัศน์ที่งดงามเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งจริงๆ…