เยี่ยเทียนชี้ไปยังหม้อน้ำแกงเหมือนบุคคลที่ไม่ผิดแล้วพูดว่า “เหล่าหู ผมยังกินไม่เสร็จเลยนะ อีกครึ่งหนึ่งโยนลงในน้ำซุปไปแล้ว”
“นาย……นายนี่คือคนที่ทำลายสิ่งของให้เสียหายตามอำเภอใจ!”
หูหงเต๋อปลูกโสมนับสิบปี นอกจากรักษาชีวิตคนที่ได้รับอันตรายแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นใครกินโสม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวเองจะสอบถามข่าวคราวของเยี่ยเทียน ตอนนี้เขามีความคิดที่จะอยากลงมือแล้ว
“เหล่าหู คุณไม่มีเงินเหรอ”เมื่อเห็นท่าทางที่โกรธของหูหงเต๋อ จู่ๆเยี่ยเทียนก็ถามขึ้น
“ครึ่งหนึ่งของผมจะลงโลงอยู่แล้ว จะเอาเงินไปทำอะไรล่ะ”หูหงเต๋อตอบอย่างไม่สบอารมณ์
เยี่ยเทียนก็ตบต้นขา แล้วพูดว่า “ใช่ คุณไม่ขาดเงินหรอก ทำไมต้องเหลือไม้นี้ไว้ด้วย ถ้าพูดอีก คุณคิดว่าของเล่นอันนี้จะช่วยต่อชีวิตประชาชนได้เหรอ
เยี่ยเทียนตบบ่าของหูหงเต๋อ ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็คือไม้นี้มีอายุห้าสิบปี ไม่กี่แสนคนที่อยากจะเห็นกับตา คนทั่วไปก็ซื้อไม่ได้ ไม่ต้องคิดแล้ว แทนที่จะให้คนร่ำรวยที่น่ารังเกียจเหล่านั้น เอามาบำรุงร่างกายให้พวกเราสองคนไม่ดีกว่าเหรอ……”
เยี่ยเทียนจำประสบการณ์การซื้อโสมนั้นได้ขึ้นใจ เงินหลายล้านในตลาดยานั้นแทบจะไม่มีค่า ร้านค้าบางแห่งเก็บโสมป่าเก่าบางอย่างไว้ ไม่ใช่ว่าแขกที่ศักยภาพจะซื้อได้ พวกเขาไม่เอาออกมาขายอย่างแน่นอน
และตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน โสมไม่เคยเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเพลิดเพลินได้ แทนที่จะให้คนซื้อในราคาที่สูง เยี่ยเทียนคิดสู้กินเข้าไปในท้องเป็นการเอื้อผลประโยชน์ที่ดีกว่า
“แต่……แต่นี่คือของดีนะ!”หูหงเต๋อยังมึนงงกับคำพูดของเยี่ยเทียน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าเขาพูดไม่ถูกต้อง แต่ก็หาคำมาโต้แย้งไม่ได้
“ของดีเหรอ”
เยี่ยเทียนแบะปาก “ของที่กินเข้าไปในท้องถึงจะนับว่าเป็นของที่ดี ของเล่นนี้คุณเก็บไว้ในบ้านก็ไม่มีประโยชน์ ผมว่านะเหล่าหู คุณก็อายุหกสิบกว่าปีแล้ว ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจของที่อยู่ภายนอกแบบนี้ด้วย”
“ฉัน……ฉันไม่ได้ไม่เข้าใจนะ!”หูหงเต๋อเมื่อถูกเยี่ยเทียนพูดอย่างนี้ จู่ๆก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา หรือว่าที่จริงตัวเองทำผิดกันแน่
เมื่อเห็นหูหงเต๋อเขินอายหมุนรอบขนาดนี้ เยี่ยเทียนยิ้มแล้วพูดว่า “พอแล้ว ผมอะไรกันนะ รีบเอาหนังกวางไซบีเรียยองตัวนี้ล้างแล้วก็ย่างกินซะ!”
ที่จริงเยี่ยเทียนก็กินโสมไปแล้ว แล้วก็ยังอยากที่จะทำให้ของนั่นเสียหายตามอำเภอใจอีกจริงๆ ถ้าโก่วซินเจียรู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะถูกตำหนิไปยกใหญ่ก็ได้
ต้องรู้ว่า ยิ่งโสมเก่านานเท่าไรยาก็จะยิ่งมีผลดีขึ้นเท่านั้น ยาไม่กี่ชนิดที่หลี่ซั่นหยวนเหลือไว้ เป็นยาที่ทำจากโสมป่าเป็นยาหลักและกลั่นด้วยวัสดุยาอื่น ๆ มีประสิทธิภาพมากกว่าอาหารดิบหลายเท่า
หลักจากที่ล้างหนังกวางแล้ว ซุปอันเลอค่านั้นก็สุกแล้ว เยี่ยเทียนหยิบหมือเหล็กขึ้น ใช้ไม้ต้วนแทงเข้าไปในตัวกวาง จากนั้นเอามาย่างบนกองไฟต่อ
เมื่อดื่มซุปอันเลอค่าที่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สี่ชนิดไปครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เคี้ยวโสมครึ่งหนึ่งลงไปในท้องแล้ว เยี่ยเทียนพูดอย่างถึงอกถึงใจว่า “เหล่าหู สรรพคุณทางยาที่มีอายุห้าสิบปีนี้ไม่เพียงพอ ผมฝึกพลังไปหนึ่งสัปดาห์พลังด้านใจก็ถูกดูดซึมไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าโสมที่มีอายุร้อยปีขึ้นปีจะเป็นอย่างไงนะครับ”
“ไม่ นายอย่าแบบนั้น เยี่ยเทียน ถ้านายมีความคิดที่จะเอายาหกชนิดมาใส่ โสมนี้ฉันไม่ขุดให้แล้วนะ!”
หูหงเต๋อกลัวเยี่ยเทียน เหลือบตามองเขา พูดว่า “โสมเก่าแก่หกชนิดนั่น ฉันต้องการส่งให้ลุงโก่ว แต่นายก็กินไปหมดแล้ว!”
เยี่ยเทียนหัวเราะ พูดว่า “พูดอะไรกันน่ะ ผมเหมือนเป็นคนอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่เหมือน แต่นายเป็นเลยล่ะ!”หูหงเต๋อไม่ไว้หน้าเยี่ยเทียนเลยสักนิด พูดไปสีหน้าเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“พอแล้ว กินกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนฉีกกินขาเนื้อกวางสีเหลืองทองย่างอย่างไม่สบอารมณ์ กินเข้าไปคำใหญ่ ด้านข้างมีหูหงเต๋อที่เตรียมเหล้าไว้ ทั้งสองดื่มอย่างยินดีปรีดามีความสุข
“เอ้อ เหล่าหู พวกเราก็ไม่ได้นำถึงเต็นท์อะไรมาด้วย วันนี้อากาศหนาวเย็นขนาดนี้จะไปอยู่ที่ไหน”หลังจากกินข้าวเสร็จ เยี่ยเทียนดับกองไฟด้วยหิมะ แล้วมองหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า ได้เห็นพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกลงจากภูเขาแล้ว
“ตามฉันมานายไม่หนาวหรอก ไปเถอะ ยังต้องเดินไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง!”
หูหงเต๋อดับกองไฟตอนกลางคืนอย่างระมัดระวังด้วยการกลบหิมะอีกหนึ่งชั้น ป่าฤดูหนาวมีแนวโน้มที่จะถูกไฟไหม้มากที่สุด ถ้าไม่ระวังป่าบนภูเขาอาจจะไหม้หมดได้
หลังจากที่เก็บของเสร็จ ทั้งสองก็เดินมุดเข้าไปกลางป่า ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง พระอาทิตย์ในยามอัสดงได้ส่องประกายบนหิมะสีขาว ส่องประกายสีระยิบระยับงดงามเป็นพิเศษ
“หืม นั่นคืออะไรเหรอ”
เมื่อกี้ตอนที่ลงทางลาดและเดินเข้าไปในป่าเก่าๆ เยี่ยเทียนก็เห็นสีเหลืองกระพริบบนต้นไม้อยู่บริเวณเจ็ดหรือแปดเมตรข้างหน้า
“หืม ใบไม้ใหญ่ หรือใบไม้สีม่วงนะ!”หูหงเต๋อมองไปยังทางด้านหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าที่ประหลาดเล็กน้อย ยื่นมือและดึงออกมา
เยี่ยเทียนก็มองเห็นได้ชัด ว่าที่แท้เป็นเซเบิลที่มีขนสีเหลือง ตัวนี้ก็ไม่กลัวคนเลย นอนหมอบอยู่บนต้นไม้สูงเจ็ดหรือแปดเมตรจากพื้นดิน เยี่ยเทียนและหูหงเต๋อมองดูอย่างสงสัย
“เหล่าหู ช้าก่อน ของนี้จับไม่ได้นะ!”เยี่ยเทียนก็ยั้งมือหูหงเต๋อที่เพ่งไปยังเซเบิลตัวนั้น
รู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายของหูกงเต๋อ ทันใดนั้นปากของเสือตัวนั้นก็ส่งเสียง“จิ๊ดจิ๊ด” หายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
หูหงเต๋อวางมือลง มองเยี่ยเทียนอย่างหงุดหงิด รีบพูดว่า “เยี่ยเทียน เป็นอะไรไป ใบไม้สีม่วงนี้พบได้น้อยนี่ ขนนั้นชั้นยอดแล้วนะ!”
มีสามสมบัติล้ำค่าในภูเขาฉางไป๋ประกอบไปด้วย โสม เขากวางและมิงค์ จะเอาไปขายที่ข้างนอกที่นี่ส่วนใหญ่ทำไร่ไถนาหรือเพาะปลูก เซเบิลที่อยู่ในป่าเช่นนี้หายากมาก
“เหล่าหู ภูเขานี้อะไรก็สามารถกินได้ อะไรก็สามารถทำร้ายได้ นอกจากเซเบิลนี้ ไม่อนุญาตให้คุณทำร้ายมัน!”
ตอนที่เยี่ยเทียนพูดสีหน้าเต็มไปรอยยิ้มที่มีความสุข สาเหตุเกิดจากตัวเหมาโถว เยี่ยไม่อยากเห็นใครฆ่าพวกตัวขนเล็กๆ ต่อให้เซเบิลกับเฟร์ริตไม่ใช่ประเภทเดียวกัน
“เซียนสุนัขจิ้งจอกนี้ฉันไม่กลัว แค่ทำร้ายเซเบิลจะเป็นอะไรไป”
หูหงเต๋อรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ในสิบปีนี้เขาได้ทำร้ายตัวเซเบิลฉางไป๋อย่างน้อยร้อยแปดสิบตัว หน่วยงานคุ้มครองสัตว์ไม่สามารถควบคุมเขาได้ แล้วทำไมที่นี่เยี่ยเที่ยนถึงกลับไม่ให้เขาทำร้ายมันด้วย
“ผมเลี้ยงเฟร์ริตตัวหนึ่ง ของเล่นนี้สื่อสารกับคนได้ด้วยฃ บนตัวคุณเต็มไปด้วยพลังพิฆาต ระวังมันจะกัดคุณนะ……”
“ได้ ไม่ทำร้ายก็ไม่ทำร้าย ต่อไปกลับเมืองหลวงกับนาย ฉันจะไปดูตัวขนว่ามันมหัศจรรย์เหมือนที่นายพูดไหม”
เยี่ยเทียนพูดเรื่องเหมาโถวให้หูหงเต๋อฟัง เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วอย่างมหัศจรรย์ บนภูเขามีสัตว์ที่ไหวพริบดีที่หูหงเต๋อพบเจอไม่น้อย แต่ยังไม่เห็นสัตว์มหัศจรรย์อย่างนั้นแบบที่เยี่ยเทียนพูด
“ถึงแล้ว คืนนี้พวกเราก็พักที่นี่นะ!”
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินไปคุยกันไปหนึ่งชั่วโมงกว่า เดินผ่านไปยังป่าเก่าแก่ บนทางเนินที่ไม่ชัดด้านหน้า จู่ๆก็ปรากฎบ้านไม้เล็กหนึ่งหลัง บริเวณบ้านไม้ ยังมีรั้วกั้นรอบๆ
“เหล่าหู นี่ใครเป็นคนสร้าง”เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าในป่าลึกบนภูเขา อยู่ๆจะมีบ้านให้อยู่
“บ้านไม้หลังนี้ประมาณร้อยกว่าปี ให้คนที่เข้ามาเก็บยาบนภูเขาอยู่โดยเฉพาะ”
มาถึงที่นี่ หูหงเต๋อถึงกับถอนหายใจ อุณหภูมิในภูเขาฉางไป๋ตอนกลางคืนสามารถติดลบได้ถึงยี่สิบหรือสามสิบองศา ต่อให้เขาจะมีเลือดลมที่ดีการพักอยู่ในหิมะข้ามคืนอาจจะกลายเป็นไอติมที่แช่แข็งได้
“รอก่อน อย่าเพิ่งเข้าไปก่อน”เมื่อตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะผลักประตูรั้วเข้าไป ก็ถูกหูหงเต๋อที่อยู่ด้านหลังดึงไว้
“มีคนมาที่นี่ และก็ยังอยู่ที่นี่หลายวัน!”หูหงเต๋อนั่งยองๆ กวาดหิมะที่หน้าประตูด้วยมืออีกชั้นหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีไม่กี่รอยเท้าถูกเปิดออกมาเผยอย่างชัดเจน
เยี่ยเทียนพูดอย่างพอไม่พอใจว่า “เหล่าหู คุณไม่ใช้บอกว่า ที่นี่ให้กับคนที่มาเก็บยาบนภูเขาไม่ใช่เหรอ”
“เดือนนี้ คนที่กล้าเขามาบนภูเขาฉางไป๋มีไม่กี่คนหรอก ต่อให้หนาวจนไม่ทำให้ตายก็ช่าง ก็หลงทางในป่าภูเขานี้อยู่ดี ”
สีหน้าของหงหูเต๋อมีสีหน้าความเกลียดชังเผยออกมา “เป็นเมิ่งตาบอด ภูเขาฉางไป๋แห่งนี้นอกจากฉันแล้ว ในตอนนี้ก็มีเขาที่กล้าเข้ามาในภูเขา!”
บนภูเขาฉางไป๋ในฤดูหนาว แทบจะขาวโพลนไปด้วยหิมะ ยากมากที่จะเห็นทางได้ชัด เขาเป็นแขกที่มาเก็บโสมที่มีประสบการณ์มากที่สุด ยกเว้นแต่เหตุสุดวิสัยก็คงไม่ขึ้นมาบนภูเขาหรอก แว๊บแรกหูหงเต๋อก็คิดถึงเมิ่งตาบอดทันที
“ถ้าเจอกันก็ดีนะสิ เหล่าหู คืนนี้พักผ่อนอย่างสบายใจเถอะ พรุ่งนี้ไปหาพวกเขากันเมื่อได้ยินชื่อของเมิ่งตาบอด ในสายตาของเยี่ยเทียนก็ปรากฎสายตาพิฆาตขึ้น ถูกจับได้โดยคนที่รู้เวทย์มนตร์เป็นอย่างดี นั่นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้อย่างแน่นอน
หูหงเต๋อพยักหน้า พูดว่า “ในเมื่อพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว ก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปอีก!”
ในปีนั้นเพื่อต้องการล่าสุนัขจิ้งจอกไฟ เขาต้องตามล่าสามวันสามคืน ถ้าพูดถึงความสามารถในการสะกดรอยตามในภูเขา หูหงเต๋อก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่งในเขตภูเขาฉางไป๋
……
บนภูเขาสองลูกที่ห่างจากบ้านไม้หลังนั้นที่มีพวกเยี่ยเทียนอยู่กันสองคน ในขณะเดียวกันก็มีบ้านไม้อยู่หลังหนึ่ง ในนั้นมีกองไฟที่กำลังลุกโชกโชน ไม่กี่คนล้อมรอบพิจารณามองหนังเสือเลือดอย่างเลือดเย็น
ที่ตรงด้านข้างหนังเสือ กลับเป็นกองกระดูกเสือที่เป็นกองอยู่บนพื้น พวกนี้ต่างเป็นของที่ดีทั้งนั้น เมื่อนำออกมาก็ขายได้ในราคาสูง พอๆกับหนังเสือ กลับถูกพวกเขาทิ้งจนหมด กลิ่นของเนื้อเสือออกรสเปรี้ยวน้อยๆ ไม่มีใครที่จะอยากกิน
ตุนจื้อเซินซ่อนความโลภในสายตาของเขาไม่ได้เลย เขาเสี่ยงอันตรายเข้ามาในภูเขาฉางไป๋ขนาดนี้ แค่หนังเสือพวกนี้เท่านั้นเหรอ
เมื่อแอบมองที่สายตาเมิ่งตาบอด ตุนจื้อเซินก็ยกโป้ขึ้น แล้วพูดว่า “ปู่เมิ่ง เป็นวิธียิงที่ดี หนังเสือพวกนี้เอาออกไป อย่างน้อยน่าจะห้าแสน!”
เสือเป่ยตงพวกนี้ถูกเมิ่งตาบอดยิงจนราบคาบ และลูกกระสูนยิงเข้าไปในตาขวา ทำให้หนังเสือทั้งทั้หมดไม่มีรูของลูกกระสูนเลย แม้แต่ขนก็ไม่รอยแผลเลย ผลิตภัณฑ์หนังเสือนี้ ราคาในตลาดสูงมากๆ
สีหน้าของเมิ่งตาบอดดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ สายหัวแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ไปบนภูเขาต่อ ฉันคิดว่านี่มันทะแม่งๆ หูหงเต๋อไอ้แก่นั่นไม่แน่ว่าตามขึ้นไปบนภูเขาแล้ว!”
เหมือนเมิ่งตาบอดคนนี้ ถึงแม้วิทยายุทธจะไม่ถึงระดับของเยี่ยเทียน แต่การเดินทางตลอดปีบนภูเขาฉางไป๋ ก็เจออันตรายถึงชีวิตไม่น้อย ความรู้สึกว่องไวที่เผชิญกับอันตรายก็แตกต่างจากคนทั่วไป
“ปู่เมิ่ง พวกเราก็ฆ่าเสือไปแล้ว ยังจะเข้าไปภูเขาทำอะไร รีบเอาหนังเสือพวกนี้ไปขายถึงจะถูก!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเมิ่งตาบอด สีหน้าของตุนจื้อเซินถึงกลับเปลี่ยนสี พวกเขาเข้ามาบนภูเขาเพื่อหาเงิน ตอนนี้หนังเสือก็อยู่ที่ด้านหน้าแล้ว ทำไมจะต้องเต็มใจที่จะเข้าไปอยู่ในที่หิมะหนาวเย็นนั่นอีกล่ะ