หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อก็ลุกขึ้นยืน กวักมือไปทางหลานสาว กล่าวว่า “เสี่ยวเซียน เธอตามฉันมา”
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ก็คือหูเสี่ยวเซียน ถึงแม้หูหงเต๋อจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแล้ว แต่เพราะว่าเคารพเยี่ยเทียน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นให้หูเสี่ยวเซียนเป็นคนเล่าจะเหมาะกว่า
หลังจากเข้ามาในห้องหนังสือ หูหงเต๋อก็เชิญเยี่ยเทียนนั่งบนโซฟา ตัวเขาเองเดินไปปิดประตู กล่าวว่า “เสี่ยวเซียน ไหนเธอลองเล่าเรื่องที่ได้เจอเมื่อไม่กี่วันก่อนให้เยี่ยเทียนฟังซิ”
หูเสี่ยวเซียนทำท่านึกซักพัก กล่าวว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ก็เป็นลมล้มพับไป แต่ก่อนหน้านั้น ฉันเคยไปที่เทือกเขาเป่ยลู่มานั่นมาก่อน…”
ตามที่หูเสี่ยวเซียนกำลังเล่านั้น ความเป็นมาของเรื่องที่เกิดขึ้นก็ประติดประต่ออย่างชัดเจนขึ้นในสมองของเยี่ยเทียน
เดิมทีสถานีเตรียมจะให้หูเสี่ยวเซียนเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง ด้วยนิสัยของหูเสี่ยวเซียนนั้นร่าเริง ตัวเองอยากไปเป็นนักข่าว
แต่ว่าเมืองฉางไป๋ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาฉางไป๋ซาน แต่ละปีนอกจากทำการซื้อขายโสมแล้ว มักจะไม่ค่อยมีข่าวอะไรที่น่าติดตามเท่าไหร่ หูเสี่ยวเซียนก็เป็นคนนิสัยดื้อรั้น มักจะอยากทำผลงานอะไรออกมาให้เป็นชิ้นเป็นอัน
ดังนั้นเมื่อวันก่อน หูเสี่ยวเซียนเจอคนรู้จักที่อาศัยอยู่ที่ฟาร์มของคุณตาทางนั้น ได้ยินเขาเล่าว่าตอนนี้มีการล่าสัตว์ที่เป็นสัตว์สงวนของประเทศค่อนข้างระบาดหนัก ดังนั้นหูเสี่ยวเซียนก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมา
ตามหูหงเต๋อมาตั้งแต่เด็กอย่างหูเสี่ยวเซียนถึงแม้จะไม่ได้เรียนวิชากรงเล็บพยัคฆ์ของตระกูล แต่วิชาป้องกันตัวพื้นฐานก็พอมีอยู่บ้าง บวกับความคุ้นเคยในภูมิประเทศของเทือกเขาฉางไป๋ซาน หูเสี่ยวเซียนก็โทรไปบอกสถานีเอาไว้ ตัวเองจึงรีบไปที่เทือกเขาฉางไป๋ซานเป่ยลู่คนเดียว
แต่การลักลอบล่าสัตว์นี้แน่นอนว่าเป็นการแอบลักลอบ แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่ตอนที่สว่างโร่ให้คนเห็นได้อย่างง่ายดาย เธอจึงได้แต่ไปลอยชายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ข้างเทือกเขาฉางไป๋ซานอยู่ตลอดช่วงเช้า แต่หูเสี่ยวเซียนก็ไม่ได้ข่าวอะไรที่น่าติดตามแม้แต่น้อย
หูเสี่ยวเทียนที่คอตกเศร้าโศกกำลังเตรียมถอนตัวกลับเมืองนั้น พอดีกลับได้เจอ “เพื่อนเก่า” ของคุณตา หลังจากพูดคุยไม่กี่ประโยค คนนั้นบอกว่าเขารู้เรื่องการลักลอบล่าสัตว์ ดังนั้นหูเสี่ยวเซียนก็ไม่ได้ระแวดระวังตัวเองอีกตามชายผู้นั้นไปยังที่บ้านของเขา
“เพื่อนเก่า” คนนั้น ก็คือเมิ่งเซียจื่อนั่นเอง หูหงเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับเมิ่งเซียจื่อ แต่เรื่องนี้เขาไม่เคยบอกกับลูกหลานเอาไว้ ก็ดูได้จากการที่หูเสี่ยวเซียนนับถือเมิ่งเซียจื่อเป็นผู้อาวุธโส
ในตอนกลางวันของวันนั้นหูเสี่ยวเซียนก็รับประทานอาหารที่บ้านของเมิ่งเซียจื่อ แต่ทว่าในตอนที่เธอถามถึงพวกลักลอบล่าสัตว์นั้นเอง เมิ่งเซียจื่อกลับอึกอักไม่ยอมบอกเพิ่มเติม
ต่อมาถูกหูเสี่ยวเซียนถามจนโมโห เมิ่งเซียจื่อพลันบอกว่าเขาสามารถเต้นเข้าทรงได้ นี่เป็นศาตร์แขนงหนึ่งของชาวบ้าน สามารถให้หูเสี่ยวเซียนทำข่าวนำไปออกได้ หูเสี่ยวเซียนคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จึงได้ให้เมิ่งเซียจื่อเต้นมาตอนหนึ่ง เธออยากเห็นว่าภาพที่ออกมานั้นใช้ได้หรือไม่
เมิ่งเซียจื่อก็ตกปากรับคำ ก็หยิบเอาไม้ไผ่ที่มีผ้าผูกไว้พาดไว้ที่ประตู จากนั้นก็หยิบกลองที่ทำมือที่ทำจากหนังแกะกระโดดร้องรำขึ้นมา
ถึงแม้หูเสี่ยวเซียนเคยเห็นคนเต้นเข้าทรง แต่ท่วงทำนองการร้องสไตล์เก่าแก่โบราณของเมิ่งเซียจื่อนั้นทำให้เธอฟังอย่างออกรสออกชาติ โดยเฉพาะในตอนที่เมิ่งเซียจื่ออัญเชิญเทพลงประทับนั้น หูเสี่ยวเซียนก็รู้สึกทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบขึ้นมา
ในตอนนั้นหูเสี่ยวเซียนนึกว่าเป็นเพราะความกลัวจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาเช่นนั้น ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ กลับพูดคุยถึงการเต้นเข้าทรงกับเมิ่งเซียจื่ออย่างตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งบ่ายสองกว่าจึงได้เดินทางกลับสถานี
แต่ทว่าในตอนที่หูเสี่ยวเซียนถึงประตูสถานีนั้นเอง พลันรู้สึกหัวหนักอึ้ง ร่างกายสูญเสียการรับรู้ไป สำหรับว่าในหลายวันมานี้เกิดอะไรขึ้นนั้น ล้วนแต่ได้รับการบอกเล่าจากปากของพ่อแม่ทั้งนั้น
“คุณตา เมิ่ง…คุณตาเมิ่งเป็นคนไม่ดีจริง ๆ เหรอคะ”
จนถึงตอนนี้ หูเสี่ยวเซียนก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าที่เธอหมดสติไปเป็นเพราะเมิ่งเซียจื่อ เพราะตั้งแต่เด็กเห็นเมิ่งเซียจื่อ คนนั้นมักจะปรากฏสีหน้าเหมือนผู้ใหญ่ที่มีเมตตาและใจดีออกมาตลอด
หูหงเต๋อไม่อยากให้หลานสาวรู้ว่าเมิ่งเซียจื่อทำเรื่องเลวทรามอะไรไว้บ้าง โบกมือกล่าวว่า “เธออายุยังน้อย ยังมีบางเรื่องที่ยังไม่รู้ พอแล้ว เธอออกไปคุยกับเพื่อนก่อนไป ตามีเรื่องจะคุยกับเยี่ยเทียนหน่อย”
“ลับลับล่อล่อ หนูก็ไม่อยากฟังหรอก” หูเสี่ยวเซียนทำหน้าทะเล้นใส่คุณตา กระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้องหนังสือ
หลังจากรอจนหูเสี่ยวเซียนเดินออกไปแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา กล่าวว่า “เหล่าหู พูดถึงเมิ่งเซียจื่อคนนี้หน่อยเถอะ วิชาของเขาสืบทอดมาจากสำนักไหนกัน”
“ตาของเมิ่งเซียจื่อเคยเป็นฮ่องเต้ชนเผ่าเชมันในสมัยตอนปลายราชวงศ์ ฟังจากพ่อเล่าว่า วิชาที่สืบทอดของพวกเขาคือมนต์ดำเชมัน ตอนฉันยังเด็กเคยเห็นคุณตาของเขาเต้นเข้าทรง
แต่บิดาของเมิ่งเซียจื่อกลับเหมือนว่าจะไม่ได้เรียนพวกนี้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมิ่งเซียจือไปเรียนมาจากที่ไหน น่าจะเป็นการสืบสานจากในตระกูลเหลือไว้ให้ แล้วเมิ่งเซียจื่อศึกษาคิดค้นออกมาเอง”
ในตอนที่พ่อของเมิ่งเซียจื่อยังอยู่นั้น ทั้งสองคนไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงจะเห็นได้จากว่ารู้เรื่องราวของครอบครัวนั้นเป็นอย่างดี หลังจากเมิ่งผู้พ่อถูกยิงเสียชีวิต ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลจึงได้เริ่มแย่ลง
หลังจากได้ฟังหูหงเต๋อเล่าแล้ว เยี่ยเทียนก็กล่าวอย่างมั่นใจว่า “วิชาของเขานั้นแปลกมาก ฉันไม่รู้ว่าเขายืมใช้พลังของอะไร แต่แน่นอนว่าไม่ใช่พลังธาตุจากธรรมชาติแน่นอน หรือว่าบนโลกนี้จะมีเทพมารอยู่จริงกัน”
ไอพลังบนร่างกายของเยี่ยเทียนนั้นเป็นผลพวงมาจากการฝึกฝนอย่างหนักของตัวเอง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวิธีลัดที่ไม่ต้องลงแรงแบบนี้มาก่อน และเมื่อวันก่อนพลังที่ประทะกับเขาสายนั้น ก็เป็นไอพลังที่เยี่ยเทียนไม่เคยพบเจอมาก่อน
“จะมีเทพมารอะไรที่ไหนกันเล่า”
หูหงเต๋อที่อาศัยอยู่บนเทือกเขามาทั้งชีวิตกลับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนนัก “ในตอนที่ฉันยังเป็นเด็กก็เคยเห็นพ่อเชิญองค์เทพลงประทับ ในตอนแรกสั่นราวกับเป็นคนบ้า แต่ทว่าหลังจากลงประทับแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากปกติ หากว่าเป็นมารล่ะก็ ฉันก็ต้องมองออกแล้วล่ะ”
หูหงเต๋อในตอนเด็กนั้นไม่ยอมฝึกวิชาของลัทธิเต๋ารื่อเยว่ นั่นก็เพราะว่าในตอนอัญเชิญเทพลงประทับนั้นดูไม่น่าเชื่อถือ คนหนุ่มสาวจึงรู้สึกอับอายขายหน้า ในตอนนี้รู้สึกเสียใจก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
“หรือว่าโลกนี้จะมีธาตุที่ไม่เหมือนกัน ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่!”
หลังจากเยี่ยเทียนคิดจนหัวแทบแตกแล้ว พลันก็ปรากฏแสงที่ปลายอุโมงค์ เขาฝึกฝนอยู่คือวิชาฝึกจิตของลิทธิเต๋า ใช้พลังจากฟ้าดินคือหยินและหยางสองพลัง แต่นี่เป็นเพียงหลักการเดียวของลัทธิเต๋านี้
ความศรัทธาคือพลังของศาสนาพุทธ ให้ลูกศิษย์นับหมื่นนับพันนับถือในตัวคนคนเดียว ก็สามารถสร้างพระพุทธรูปทองคำให้เป็นผลออกมาได้ นี่เป็นความเชื่อที่แตกต่างกับลัทธิเต๋าสิ้นเชิง
และชาวตะวันตกเชื่อในพระเยซูคริสต์ อิสลามเชื่อในพระอัลเลาะห์ ศาสนาต่างๆเหล่านี้แล้วแตกต่างจากลัทธิเต๋า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาในการเผยแพร่ศาสนา คิดไปก็เหมือนกับมีจุดที่เป็นปริศนาเหมือนกัน
ลัทธิเชมันเกิดขึ้นมาค่อนข้างนาน เดิมทีกินพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือสามมลฑลรวมถึงเน่ยเหมิงกู่ที่เป็นพื้นที่ที่ลัทธิแผ่ขยายไปมากที่สุด แต่ต่อมาถูกศาสนาพุทธทิเบตเข้ามาทดแทน
แต่นี่ก็ไม่สามารถลบล้างการมีอยู่ของลัทธิเชมันได้ ยังมีสถานที่ลึกลับโบราณที่เป็นที่ตั้งสำนักที่ไม่เปิดเผยให้ชาวโลกได้รับรู้เท่านั้น
ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้าเยี่ยเทียนได้พบเจอวิชามนต์ดำจากแอฟริกา พลังมนต์สาปแช่งที่น่ากลัวนั้น ถึงแม้เขาจะสามารถลบล้างได้แต่ก็ไม่รู้ได้ถึงความลึกลับของมัน
เยี่ยเทียนใคร่คิดซักครู่ เงยหน้าขึ้นมาทางหูหงเต๋อกล่าวว่า “เหล่าหู ลัทธิชามันนี้ยังมีผู้สืบทอดอยู่อีกมั๊ย”
ลัทธิเชมันในสมัยก่อนถือเป็นลัทธิระดับประเทศของชิงเหยียน ถึงแม้ตอนนี้จะล่มสลายไปแล้ว แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่าผู้สืบทอดคนอื่นยังอยู่ นี่เขาอยากจะรู้เรื่องเมิ่งเซียจื่อว่ามีพรรคพวกอยู่หรือไม่ให้กระจ่าง
หูหงเต๋อส่ายหัว กล่าวว่า “ฉันรู้จักคนที่เต้นเข้าทรงก็หลายคน แต่ว่ามีแต่เมิ่งเซียจือที่ค่อนข้างมีของ คนอื่นนั้นเป็นพวกหลอกลวงหากินไปวันวัน!”
ชื่อเรียกเป็นทางการของการเต้นเข้าทรงก็คือระบำเชมัน แต่ว่าแถบตะวันออกเฉียงเหนือนั้นคนที่เต้นเป็นมีเยอะแยะไป หูหงเต๋อรู้จักอย่างน้อยสุดก็แปดสิบถึงร้อยคน แต่ที่สามารถเชิญองค์เทพลงมาประทับได้ ที่เขารู้จัก ก็เห็นจะมีแต่เมิ่งเซียจื่อคนเดียว
“เฮ้อ ยุทธภพฉีเหมินใกล้จะถึงการอวสานแล้วเหรอ”
หลังจากได้ฟังคำของหูหงเต๋อ ในใจของเยี่ยเทียนก็เบาใจลงไปได้ แต่ก็รู้สึกใจหาย ผู้สืบทอดวิชาโบราณล้วนถูกทำให้สูญหายกันไปหมด ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวขาดเพื่อนขึ้นมา
“เหล่าหู เมิ่งเซียจื่อปฏิบัติกับคนอื่นเป็นยังไงบ้าง” เยี่ยเทียนกล่าวถามขึ้นอย่างหนักใจ ฉีเหมินสาบสูญ เขาจึงไม่อยากจะกระทำการเด็ดขาดลงไป
“เมิ่งเซียจื่อปฏิบัติกับคนอื่นเหรอ”
หูหงเต๋อปล่อยลมจากจมูกมาพรืดหนึ่ง กล่าวว่า “หากว่าไม่เห็นกับหน้าพ่อของเขา ฉันเก็บเขาไปนานแล้ว แม่เอ้ย ไอ้แก่ลูกหมานี่ทั้งฆ่าคนปล้นของ มีอะไรที่มันไม่ทำบ้าง”
หูหงเต๋อในตอนสามสิบปีก่อนที่บิดาของเขาเพิ่งเสียไปยังไม่รู้จักกับเมิ่งเซียจื่อนั้น ก็เคยอยู่ที่ฉางไป๋ซาน เห็นกับตาว่าเมิ่งเซียจื่อฆ่านักท่องเที่ยวประจำ เห็นตลอดกระบวนการปล้นนั้น
บรรพบุรุษของหูหงเต๋อและเมิ่งเซียจื่อล้วนแล้วแต่ทำอาชีพปล้นฆ่าชิงชองพวกนี้ ในตอนที่หูหงเต๋อยังเด็กก็โตมาจากรังโจร บวกกับว่าเขาไม่รู้จักพวกนักท่องเที่ยวพวกนั้น ตอนนั้นได้เตือนเมิ่งเซียจื่อไปไม่กี่ประโยค ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก
แต่ว่าต่อมาอีกยี่สิบปี ภูเขาฉางไป๋ซานมักจะมีข่าวคนถูกฆ่าอยู่บ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นเป็นพวกคนที่หูหงเต๋อรู้จักอยู่
ในตอนนั้นหูหงเต๋อก็สงสัยเมิ่งเซียจื่อ มีครั้งหนึ่งเขาสะกดรอยตามเมิ่งเซียจื่อเข้าไปในภูเขา ก็ได้พบว่าเขาฆ่านักท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หูหงเต๋อโมโหมาก เกือบจะวางมวยกับเมิ่งเซียจื่อ
หลังจากเรื่องนั้นมา เมิ่งเซียจื่อก็ค่อนข้างสันโดษ แต่ทั้งสองตระกูลก็ไม่ติดต่อกันนับแต่นั้น หูเสี่ยวเซียนเคยเจอเมิ่งเซียจื่อในตอนที่ยังเป็นเด็กไม่กี่ครั้งท้านั้น ดังนั้นจึงไม่ทราบบุญคุณความแค้นของตาและเขา
เพียงแต่แม้แต่หูหงเต๋อก็ไม่รู้ว่า เมิ่งเซียจื่อที่เกลียดเขานั้น เพราะหลังจากเมื่อตอนเด็กเสียพ่อไปแล้ว ตระกูลหูตัดขาดความสัมพันธ์ไปมาระหว่างกันกับเขา
หลังจากเล่าเรื่องราวการจบบุญคุณความแค้นกับเมิ่งเซียจื่อแล้ว หูหงเต๋อกล่าวว่า “เยี่ยเทียน เมิ่งเซียจื่อคนนี้เป็นคนใจแคบ มีแค้นต้องชำระ ก่อนหน้านั้นเขาเป็นฝ่ายเสียหาย เขาจะต้องไม่ลามือแน่นอน”
“เหล่าหู คิดว่ายังไง ทำไมถึงได้มาใจแคบกับฉันขึ้นมา”
ได้ฟังหูหงเต๋อประโยคนี้ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ฉันสะบัดก้นกลับปักกิ่งแล้วนะ เมิ่งเซียจื่ออย่างสะสางก็คงได้แต่มาหานาย เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยเล่า”
“เหอๆ เยี่ยเทีน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หูหงเต๋อถูกเยี่ยเทียนตอกกลับจนหน้าแดง ได้เห็นการใช้วิชาของเยี่ยเทียนแล้ว ตัวเขาเองก็วางใจลงไปได้มาก