“กระดิ่งดูดวิญญาณ?!”
ไอ้บอดเมิ่งที่ตอนแรกกำลังฟังพวกกัวจื่อเชินสรรเสริญด้วยสีหน้าเบิกบานใจอยู่นั้น หลังจากได้ยินเสียงกระดิ่งก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ร่างก็ลุกพรวดขึ้นมา
“ปู่เมิ่ง ทำไมหรือ?”
กัวจื่อเชินเองก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกันที่กระดิ่งสั่นขึ้นมา เพราะในห้องนั้นปิดไว้อย่างสนิทแน่นหนา แม้แต่ลมสักนิดหนึ่งก็พัดเข้ามาไม่ได้ แล้วทำไมจู่ๆ กระดิ่งนั่นถึงสั่นเองได้ล่ะ?
“เกิดเรื่องแล้ว มีคนทำพิธีเรียกวิญญาณ!”
ไอ้บอดเมิ่งหยิบเสื้อคลุมหนังมาคลุมไหล่ไว้ แล้วปลดกระดิ่งที่แขวนอยู่มุมห้องลงมา จากนั้นก็เปิดประตูกระท่อม ลมหนาวพัดวูบเข้ามา ทำให้พวกกัวจื่อเชินหนาวกันจนตัวสั่น
“คิดจะเรียกวิญญาณของหูเสี่ยวเซียนกลับไปงั้นเรอะ? ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” ไอ้บอดเมิ่งเงยหน้าขึ้นไปดูธงดูดวิญญาณที่ตั้งอยู่หน้าประตู รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้า
วันนี้ลมที่พัดมาเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือ ตามเหตุผลแล้วธงเรียกวิญญาณนี้ก็ควรจะพัดโบกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับอยู่นอกเหนือหลักทฤษฎี เพราะธงเรียกวิญญาณที่โบกสะบัดขึ้นมานั้นกลับโบกไปทางทิศตะวันตดเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตำแหน่งของตัวเมืองพอดี
ไอ้บอดเมิ่งหันหลังกลับเข้าไปในกระทอม คุ้ยหาของในกล่องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบกลองหนังแพะออกมาใบหนึ่ง และหันไปพูดกับกัวจื่อเชิน “เปิดประตูไว้นะ แล้วพวกแกก็อย่าออกมาล่ะ”
“ปู่เมิ่ง นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดๆ ของไอ้บอดเมิ่ง กัวจื่อเชินก็ชักจะประหม่าขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะกำลังวางอุบายจัดการหูหงเต๋อกันอยู่ แต่ลึกๆ แล้ว กัวจื่อเชินกลับยังคงกลัวหูหงเต๋อราวกับอีกฝ่ายเป็นพยัคฆ์
“ไม่เป็นไร ฝีมือครึ่งๆ กลางๆ อย่างไอ้หูหงเต๋อน่ะสู้ฉันไม่ได้หรอก!”
ใบหน้าของไอ้บอดเมิ่งปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เมื่อก่อนเขาเคยบีบบังคับให้หูหงเต๋อประลองวิชากับเขามาหลายต่อหลายครั้ง แต่หูหงเต๋อก็ไม่เคยรับคำท้า มิหนำซ้ำมันยังมีเลือดลมแข็งแกร่ง ไอ้บอดเมิ่งจึงทำอะไรฝ่ายนั้นไม่ได้เลย
แต่วันนี้หูหงเต๋อถึงกับยอมใช้วิชาที่มีอยู่แค่หางอึ่งของมันเพื่อช่วยหลานสาว จึงทำให้ไอ้บอดเมิ่งได้โอกาสขึ้นมาแล้ว
ไอ้บอดเมิ่งใช้มือขยี้ผมจนยุ่งเหยิง แล้วถอดเสื้อคลุมหนังออก ผูกกระดิ่งใบนั้นไว้ที่เอว นุ่งเสื้อบางๆ ตัวเดียวแล้วโดดโหยงเหยงอยู่หน้าประตูอย่างกับคนเป็นตะคริว ขณะเดียวกันก็ชูมือขวาขึ้นมาแล้วตบลงไปบนกลองหนังแพะใบนั้นหนึ่งที
“ตูม!” เสียงกลองดังขึ้นมาหนักๆ แล้วไอ้บอดเมิ่งก็เริ่มร้องตามขึ้นมาว่า “อัญเชิญ…ท่านมหาเทพ!”
จะว่าไปแล้วไอ้บอดเมิ่งก็เสียงดีไม่ใช่เล่นเลย ลากเสียงได้เสียยาวยืด ระดับเสียงก็สูงคล้ายงิ้วปักกิ่งอยู่เหมือนกัน แต่สำเนียงการร้องของเขาในท่อนต่อมานั้น กลับฟังแล้วชวนขนลุกอย่างไรชอบกล
“อาทิตย์ลับลงหลังเขาฟ้ามืดเอย บ้านเรือนปิดประตูกันแล้วหนอ กางเขนแลนกกาโผสู่ไพร นกกระจอกพิราบโผสู่ชายคา ในสิบบ้านมีเก้าหลังลั่นกุญแจ ประตูบ้านข้านั้นมิได้ปิด เหวี่ยงแส้ตีกลองอัญเชิญเทพเทวาชะเอิงเอย…” (อ้างอิงบทร้องอุปรากรช่วงทรงเจ้าเข้าผี)
เมื่อไอ้บอดเมิ่งร้องไปเรื่อยๆ ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที เสียงตีกลองหนังที่ถืออยู่และเสียงกระดิ่งที่เอวดังอยู่ไม่ขาด หลังจากที่ดังก้องออกไปไกลแล้ว บ้านหลายหลังที่ตอนแรกยังมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ก็มืดดับไปทันที
การระบำของไอ้บอดเมิ่งนี้ ก็คือระบำชาแมนแบบต้นตำหรับ ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการระบำทรงเจ้าเข้าผี
ในภูมิภาคตงเป่ยนั้น หลายพื้นที่มองว่าการระบำทรงเจ้าเข้าผีนั้นเป็นศิลปะพื้นบ้านอย่างหนึ่ง และในการระบำนั้นจำเป็นจะต้องมีสองคน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย ศาสตร์แห่ชาแมนที่แท้จริงนั้นใช้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว
ปู่ของไอ้บอดเมิ่งสมัยก่อนก็คืออาจารย์พ่อมดชาแมนที่เคยไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิองค์สุดท้ายองค์นั้นนั่นเอง และตระกูลของเขานี้ก็เป็นตระกูลชาแมนประจำราชสำนักมาแต่โบราณ เทียบกับพวกที่ทรงเจ้าเข้าผีเป็นการหลอกลวงซึ่งแพร่หลายอยู่ในถิ่นตงเป่ยแล้ว เรียกได้ว่าพูดกันคนละเรื่องเลย
เสียงกระดิ่งและเสียงกลอง รวมถึงเสียงร้องเพลงที่เริ่มแหบนิดๆ นั้นดังกลบเสียงลมที่พัดอยู่รอบด้านไว้ แลดูเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างพิสดารในค่ำคืนหิมะตกอันเงียบเหงานี้ ทำเอาพวกคนที่อยู่ในกระท่อมผวากันจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดังๆ
ทันใดนั้น ไอ้บอดเมิ่งก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เสียงร้องเพลงหยุดลง ดวงตาทั้งคู่มองไปรอบทิศ ลูกตาดำถึงกับหายไปเลย และดวงตาก็เปล่งแสงสีเขียวเรืองๆ ออกมาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน
พอโดนไอ้บอดเมิ่งเหลือบมองผ่านไปแวบหนึ่ง พวกคนในกระท่อมซึ่งยามปกติเป็นชายวัยฉกรรจ์ที่แม้จะเจอเสือสิงกระทิงแรดก็ยังไม่สะทกสะท้านนั้น ต่างก็หวาดผวาจนขนลุกชัน และสั่นเทิ้มไปทั้งร่างไม่หยุดเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น
“ฮี่ๆ หูหงเต๋อ จะสู้กับฉันรึ? ฉันจะให้วิญญาณแกไม่ได้กลับเข้าร่างอีกเลย!”
ต่างจากการถูกผีหมีปีศาจจิ้งจอกเข้าสิงร่างที่เป็นตำนานเล่าขานกัน ไอ้บอดเมิ่งไม่ได้ดูเหมือนคนถูกเข้าสิงเลยสักนิด สำเนียงการพูดจาก็ยังคงเหมือนปกติ แต่ดวงตาของเขานั้น กลับดูอำมหิตมากขึ้น
นอกจากนี้รอบตัวของไอ้บอดเมิ่งยังมีพลังชี่ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นไหวเวียนอยู่ ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหกของเขาไวขึ้นผิดธรรมดา ลูกตาสีขาวทั้งคู่นั้นถึงขั้นมองเห็นปราณวิเศษที่ไหลเวียนอยู่ในธรรมชาติได้เลย
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นปราณวิเศษที่แผ่มาจากทางภูเขาฉางไป๋ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏบนใบหน้าของไอ้บอดเมิ่ง ทันใดนั้นเขาก็หายใจเข้าไปฟอดใหญ่ ปราณวิเศษรอบๆ กระท่อมหลังนั้นแปรปรวนขึ้นมาในพริบตา ธงเรียกวิญญาณบนเสาไม้ไผ่เปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน แล้วโบกพลิ้วขึ้นมาตามลมเหนือ
“เอ๊ะ? มีคนทำพิธีอยู่เรอะ?!” เยี่ยเทียนที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นในห้องคนไข้พลันลืมตาโพลง แล้วลุกขึ้นมายืนทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ตามทฤษฎีของศาสนาเต๋า แม้คนจะตายไปแล้ว แต่พลังปราณบนร่างกายก็จะยังไม่สลายตัวออกไปในทันทีทันใด วิชาเรียกวิญญาณที่เยี่ยเทียนใช้ไปนี้ ก็ใช้โดยหมายที่จะเรียกพลังปราณของหูเสี่ยวเซียนที่รั่วไหลออกไปนอกร่างกายกลับคืนมา เพื่อเยียวยาอาการป่วยของเธอ
เมื่อครู่นี้เยี่ยเทียนสัมผัสถึงตำแหน่งพลังปราณของหูเสี่ยวเซียนได้อย่างรางๆ และก็กำลังจะชักนำกลับมาได้อยู่แล้ว แต่ใครเลยจะรู้ว่า ตอนนั้นกลับมีคนสอดมือทำให้ปราณวิเศษในบริเวณนั้นแปรปรวนขึ้นมา ทำให้สายที่เชื่อมโยงถึงพลังปราณนั้นถูกตัดขาดไป
“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนลุกขึ้นมากะทันหัน หูหงเต๋อที่นั่งอยู่ข้างประตูก็ลุกขึ้นมาบ้าง
เยี่ยเทียนโบกมือ “เจอคนในสายอาชีพเดียวกันน่ะ ผมเคยไปมาตั้งหลายที่แล้ว แต่นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอกับยอดฝีมือที่มีความชำนาญขนาดนี้”
“พูดว่าอะไรนะ? อุ่ย พอดีอุดหูไว้อยู่น่ะ” หูหงเต๋อเห็นแต่เยี่ยเทียนขยับปาก แต่กลับไม่ได้ยินเสียง หลังจากงงไปครู่หนึ่งถึงจะจำได้ว่าตัวเองอุดหูไว้อยู่
“ไม่เป็นไร การจับวิญญาณของคนอื่นไว้ก็ไม่ใช่การกระทำที่ถูกทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็จะขอสู้กับมันดูสักตั้ง!”
เยี่ยเทียนเผยรอยยิ้มเย็น เขารู้สึกได้ว่า ถึงคนฝ่ายนั้นจะสามารถทำให้ปราณวิเศษในบริเวณโดยรอบนั้นแปรปรวนขึ้นมาได้ แต่กลับไม่สามารถปล่อยการโจมตีตามดวงจิตของเขามาได้
“จับวิญญาณ? เวรเอ๊ย นี่มันฝีมือของไอ้บอดเมิ่งไม่ใช่เรอะ?” พอได้ฟังเยี่ยเทียนพูด หูหงเต๋อก็โมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที และกระทืบเท้าด่าทอออกมา
ก่อนหน้านี้หูหงเต๋อนึกว่าหลานสาวคงถูกทำให้ตระหนกเสียขวัญหรือไม่ก็ประสบเรื่องอะไรเข้า วิญญาณถึงได้หลุดจากร่าง ไม่ได้นึกไปถึงไอ้บอดเมิ่งเลย
เพราะถึงแม้ว่าหูหงเต๋อกับไอ้บอดเมิ่งจะไม่ถูกชะตากัน แต่ถึงอย่างไรทั้งสองครอบครัวก็ถือว่ารู้จักกันมานาน และก็ไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงถึงขั้นเป็นตาย ไอ้บอดเมิ่งจึงไม่น่าจะลงมือทำร้ายเสี่ยวเซียน
แต่เมื่อเยี่ยเทียนพูดออกมาแบบนี้ หูหงเต๋อก็แน่ใจแล้วว่าต้องเป็นฝีมือของไอ้บอดเมิ่งแน่นอน จึงโมโหจนเส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนขึ้นมา นึกอยากจะไปคิดบัญชีกับไอ้บอดเมิ่งเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“หยุดพูด เงียบไว้!”
เยี่ยเทียนเหลือบมองหูหงเต๋อแวบหนึ่ง แค่คำพูดธรรมดาๆ สี่พยางค์นี้ ก็ทำให้หูหงเต๋อสงบเสงี่ยมลงไปทันที ราวกับถูกราดน้ำเย็นรดศีษะ
หลังจากดุหูหงเต๋อไปแล้ว เยี่ยเทียนก็เริ่มก้าวเดินในห้องคนไข้ตามตำแหน่งแปดทิศ กระแสพลังพิฆาตกลุ่มหนึ่งพุ่งมารวมตัวกันจากทุกทิศทางตามการเคลื่อนไหวของฝีเท้า
โรงพยาบาลปกติก็เป็นสถานที่ที่พลังพิฆาตก่อตัวขึ้นมาอยู่แล้ว หากต้องการจะรวบรวมพลังพิฆาตที่นี่ขึ้นมาก็ย่อมจะเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงไม่นาน อุณหภูมิทั่วทั้งห้องคนไข้ก็ลดลงไปเจ็ดแปดองศาในฉับพลัน ถึงไฟจะเปิดอยู่ แต่ก็กลับให้ความรู้สึกมืดทึมชวนสยองขวัญอย่างไรชอบกล
เมื่อพลังพิฆาตภายในห้องเย็นลงจนแม้แต่หูหงเต๋อยังรู้สึกหนาวขึ้นมา เยี่ยเทียนก็ยืนกางขาออก สองมือประสานกันในท่ามหาวัชระ ปากก็ตวาดขึ้นมาว่า “ทหาร!”
เมื่อเยี่ยเทียนร้องตวาดออกไป พลังพิฆาตทั้งหมดภายในห้องก็มารวมตัวกันภายในมือทั้งคู่ของเยี่ยเทียนที่ประสานกันในท่ามหาวัชระ เขาผลักมือออกไปกลางอากาศ ดวงจิตส่วนหนึ่งของเยี่ยเทียนส่งตรามหาวัชระนั้นพุ่งแหวกออกไปกลางอากาศแล้ว
นี่ยังไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ คำว่า “ทหาร” เพิ่งจะเปล่งออกไป มือของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเป็นท่าราชสีห์นอกแล้ว หลังจากตวาดคำว่า “รุก” ออกไป ตราจากมือนั้นก็พุ่งตามตราทหารไปทันที
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะอยู่ห่างจากภูเขาฉางไป๋ไปหลายสิบกิโลเมตร แต่วาจาสองคำนี้ก็พุ่งแหวกอากาศไป และไปถึงหมู่บ้านเล็กๆ บนเขาที่ไอ้บอดเมิ่งอาศัยอยู่ในพริบตา
“เกิดอะไรขึ้น นี่…นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ไอ้บอดเมิ่งที่ตอนแรกกำลังทำให้พลังชี่ในธรรมชาติแปรปรวน เพราะนึกว่าจะสามารถทำร้ายหูหงเต๋อได้อยู่นั้น พลันรู้สึกใจสั่นขึ้นมา เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ตรามหาวัชระอันยิ่งใหญ่อลังการดั่งขุนเขาก็มาปรากฏขึ้นเหนือกระหม่อมของเขาแล้ว
“เวรละ ไม่ใช่หูหงเต๋อนี่ นี่มันฝีมือของใครกัน?” ไอ้บอดเมิ่งหวีดร้องออกมาแล้วรีบหลบไป แต่ต่อให้เขาเคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่านี้ ก็ยังไม่ทันดวงจิตของเยี่ยเทียนอยู่ดี
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับท้องฟ้าถูกจุดระเบิด ปราณวิเศษสองกลุ่มปะทะเข้าหากัน เกล็ดหิมะนอกกระท่อมฟุ้งกระจายจนบดบังสายตาไปหมด
“แค่ก…แค่กๆ!”
เสียงไออย่างแรงดังขึ้นมาครู่หนึ่ง ร่างของไอ้บอดเมิ่งปรากฏออกมา ในใจนอกจากความตื่นตระหนกแล้วก็ยังมีความยินดีปนอยู่ด้วยเล็กน้อย เดชะบุญที่วันนี้ผีที่เชิญมาเป็นผีหมีฉกรรจ์ แม้พลังโจมตีจะไม่เพียงพอ แต่ด้านพลังป้องกันนั้นแข็งแกร่งมาก
แต่ทว่ายังเร็วเกินไปที่ไอ้บอดเมิ่งจะดีใจตอนนี้ ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นไปดูธงเรียกวิญญาณ ความรู้สึกใจสั่นนั้นก็ประดังขึ้นมาในใจอีกแล้ว เงารูปราชสีห์ตัวผู้เงาหนึ่งพุ่งตรงมาที่เขา
เมื่อครู่นี้การป้องกันบนร่างถูกตราวัชระนั้นพังทลายจนย่อยยับไปหมดแล้ว ตรารุกโจมตีของเยี่ยเทียนครั้งนี้ ไอ้บอดเมิ่งจึงไม่อาจต้านทานไว้ได้อีกแล้ว
ภายใต้การโจมตีของปราณวิเศษอันแข็งแกร่งราวกับจะจับต้องได้นั้น ร่างของไอ้บอดเมิ่งปลิวเข้าไปในกระท่อมดัง “โครม” ราวกับถูกกระสุนปืนใหญ่ก็ไม่ปาน ระหว่างที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ ดลหิตก็สาดกระจายออกมาจากปากไปด้วย
“แม่ง ตาคนนี้มันบินได้ด้วยเรอะ?”
วันนี้พวกกัวจื่อเชินที่อยู่ในกระท่อมนับว่าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ที่แท้การทรงเจ้าเข้าผีนี่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องโม้จริงๆ แต่ถึงขั้นทำให้คนลอยคว้างขึ้นมากลางอากาศได้ด้วยรึ?
แต่หลังจากนั้นพวกนี้ก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะไอ้บอดเมิ่งที่บินอยู่กลางอากาศนั้น กำลังกระอักโลหิตออกมาเป็นการใหญ่ จนกระทั่งไอ้บอดเมิ่งไปกระแทกชนเข้ากับโต๊ะแล้ว พวกนั้นจึงรีบล้อมวงเข้าไป
“ไป…ขึ้นเขา เจอ…เจอยอดคนเข้าให้แล้ว!”
ยามนี้ไอ้บอดเมิ่งหน้าเหลืองราวกับกระดาษทอง ปราณวิเศษที่ไหลเวียนอยู่รอบกายสลายหายไปแล้ว ลมหายใจก็รวยรินจนดูใกล้เคียงกับหูเสี่ยวเซียนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้