“อย่า อย่าเรียกฉันว่าท่านผู้เฒ่าหูเด็ดขาด เรียกฉันว่าเหล่าหูก็พอ ไม่อย่างนั้นเหล้านี้ฉันจะกินกับเธอไม่ลง”
ได้ยินคำเรียกของเยี่ยเทียนแล้ว หูหงเต๋อก็โบกไม้โบกมือไปมา ความสัมพันธ์ของโก่วซินเจียกับพ่อของเขาไม่ได้ตื้นเขิน ว่ากันตามหลักแล้วเขายังอ่อนกว่าเยี่ยเทียนรุ่นหนึ่ง หากเรียกว่าผู้เฒ่าหูแล้วจะเป็นการเอาเปรียบเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนเคยชินกับสถานะของตนเองในยุทธภพแล้ว ตอนนี้จึงไม่บอกปัดอีก เอ่ยปากว่า “ตกลงครับ งั้นผมเรียกว่าเหล่าหูล่ะ คุณเคยพบกับศิษย์พี่ของผมเหรอ?”
“เคยพบ ก็เมื่อปี 40 นั่นล่ะ!”
หูหงเต๋อรินเหล้าให้ตัวเอง เงยหน้าดื่มลงคอหอยหนึ่งเสียง รำลึกถึงความหลังตอบ “จินเหยี่ยนเตียวมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อติดต่อกองกำลังต่อต้านญี่ปุ่น มาเจอพ่อของฉัน ถ้าหากไม่ได้เขาฉันกับพ่อคงถูกพวกหนีเข้าประเทศล้อมเอาไว้แล้ว……”
นับตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นมาประชิดเขตสามมณฑล หูอวิ๋นเป้าที่เดิมทีเพียงเป็นนายพรานล่าสัตว์อยู่บนเขาฉางไป๋ จึงขึ้นเขาลุกต่อต้าน เรียกขานตัวเองว่านายพลหู รวบรวมสมัครพรรคพวกอีกกว่าร้อยคน
คนพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนายพรานที่ปักหลักอยู่ในเขตเขาฉางไป๋หรือไม่ก็ผู้ค้าโสมเก่า มีกระสุนปืนผาหน้าไม้ไม่ขาดมือ อีกทั้งเชี่ยวชาญเก่งกาจการรบบนป่าเขา กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ประมือกับชาวญี่ปุ่น ลุ้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียอย่างหนัก
อีกทั้งหูอวิ๋นเป้าก็มีวิทยายุทธ์ช่ำชอง เคยนำพรรคพวกแปดคนบุกเข้าตำหนักเฟิ่งเทียน บุกปล้นธนาคารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง กวาดทรัพย์สินในคลังของธนาคารแห่งนั้นจนเกลี้ยง
ขณะที่ชาวญี่ปุ่นโอบล้อมเมืองรอบด้านอยู่นั้นเอง หูอวิ๋นเป้ากลับบุกเข้าค่ายทหารญี่ปุ่นเพียงลำพัง ลอบสังหารนายพลที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในค่ายทหารในเวลานั้น ทั้งยังฉวยโอกาสขณะในเมืองกำลังสับสนวุ่นวาย พาพรรคพวกทั้งหลายหนีออกมาจากเฟิ่งเทียนได้อย่างปลอดภัย
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น หูอวิ๋นเป้าถูกคนในยุทธภพตะวันออกเฉียงเหนือยกย่องให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อเสียงโด่งดังไม่มีใครเทียบได้ แต่คนกลัวชื่อเสียงเหมือนกับที่หมูกลัวอ้วนพี เขาจึงถูกกดดันโอบล้อมโดยชาวญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเช่นกัน
แต่ว่าป่าดิบบนเขาฉางไป๋ทั้งลึกและกว้างใหญ่ พวกหูอวิ๋นเป้านั้นอยู่บนเขาราวกับปลาได้น้ำ จึงรอดพ้นจากการถูกโอบล้อมไปได้อย่างปลอดภัยไร้อันตรายหลายต่อหลายครั้ง และนั่นยิ่งกลับทำให้ชื่อเสียงขจรขจายยิ่งขึ้น กลายเป็นขุนโจรแห่งยุทธภพตะวันออกเฉียงเหนืออย่างลับ ๆ
ไม่เพียงแต่ชาวญี่ปุ่นที่ตามหาหูอวิ๋นเป้า สมาคมต่อต้านญี่ปุ่นแห่งตะวันออกเฉียงเหนือและรัฐบาลพรรคการเมืองล้วนส่งคนไปตามตัวหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถตามสืบร่องรอยของพวกเขาได้เลย
เวลานั้นคือฤดูหนาวหนึ่งที่เย็นเยียบจนหูสามารถแข็งจนหลุดออกมา หิมะปกคลุมภูเขาจนทั่วนานแล้ว ด้วยประสบการณ์ ที่ผ่านมา พวกลักลอบเข้าประเทศจึงไม่เข้าไปยังเขาฉางไป๋ จึงทำให้หูอวิ๋นเป้าคลายความระวังตัวลง เดิมที่เฝ้ายามทั้งสองด้านก็เปลี่ยนเป็นด้านเดียว
แต่ใครจะรู้ ว่าเมื่อเทศกาลตรุษจีนปี 40 นั้นเอง ขณะที่หูอวิ๋นเป้ากับพรรคพวกทั้งหลายกำลังดื่มเกล้ากันอย่างสุขสำราญอยู่นั้น กลุ่มลักลอบเข้าประเทศกลุ่มหนึ่งมายังตีนเขาภายใต้การนำทางของคนทรยศจากในค่าย
กองทหารกว่าร้อยคน กลุ่มลักลอบเข้าประเทศใช้กองพลนั้นทั้งหมด เห็นได้ว่ามีความตั้งใจจะปิดล้อมหูอวิ๋นเป้า แต่พวกหูอวิ๋นเป้าก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงฉลองตรุษจีนกันอย่างไม่คิดชีวิต
ทว่ามีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญมาถึงค่ายกองโจรบนเขานั้น ก่อนที่พวกกลุ่มลักลอบเข้าประเทศจะปิดล้อมป่าเขาลูกนั้นจนสนิท เขาก็คือโก่วซินเจีย
หูหงเต๋อที่อายุเพียงแปดขวบเวลานั้น ยังคงจำได้แม่นยำจนถึงบัดนี้ โก่วซินเจียใช้เพียงสามกระบวนท่า ก็สามารถจับตัวพ่อที่ได้รับขนานนามว่าไร้คู่ต่อกรทั่วทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้สำเร็จ ทั้งยังกล่าวถึงการปิดล้อมเขาของชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
ชาวยุทธภพยกย่องนับถือชายชาตรี โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตของตนเองและครอบครัว หลังถูกปล่อยตัวแล้ว หูอวิ๋นเป้าจึงส่งคนไปตรวจสอบดูทันที ไม่นานนัก ด้านล่างเขาก็เกิดเสียงปืนดังขึ้น
โชคดีที่โก่วซินเจียมาถึงไว การปิดล้อมของพวกกลุ่มลักลอบเข้าประเทศยังไม่แล้วเสร็จ หูอวิ๋นเป้าก็นำพรรคพวกกว่าหนึ่งร้อยคนเสี่ยงชีวิต ออกสังหารเพื่อหลบหนีออกไปยังส่วนลึกของเขาฉางไป๋
แต่ว่าหลังผ่านปฏิบัติการครั้งนี้ พรรคพวกของหูอวิ๋นเป้ากลับเจ็บตายไปกว่าครึ่ง กระทั่งแม่ของหูหงเต๋อ ก็ยังถูกกระสุนเสียชีวิตลงขณะที่ถูกปิดล้อมกะทันหัน
บุญคุณที่ช่วยชีวิตยิ่งใหญ่เหนือฟ้า หลังจากที่หูอวิ๋นเป้าหลบหนีรอดพ้นออกมาได้ ย่อมรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของโก่วซินเจีย ทั้งสองคนจึงดื่มเหล้าโลหิตร่วมสาบานระหว่างที่อยู่ในเขตฉางไป๋เฮยหลงเจียง อีกทั้งหูอวิ๋นเป้ายังยอมรับภารกิจจากพรรคการเมืองรัฐบาล
นับตั้งแต่ขึ้นเขาลุกขึ้นต่อต้าน หูอวิ๋นเป้าก็ไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายอีก แต่กับลูกชายคนเดียวอย่างหูหงเต๋อคนนี้ กลับไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก
เมื่อโก่วซินเจียออกจากเขตภูเขา เขาก็ส่งหูหงเต๋อให้กับพรรคพวก ให้โก่วซินเจียพาลูกชายไปยังบ้านของลูกพี่ลูกน้องชายห่าง ๆ ที่เปิดคลินิกแพทย์แผนจีนแห่งหนึ่ง
จวบจนห้าปีหลังจากนั้นเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและยอมจำนน หูหงเต๋อจึงได้พบกับพ่ออีกครั้ง เวลานั้นหูอวิ๋นเป้าก็มียศเป็นถึงนายพลในกองทัพรัฐบาลแล้ว
แต่ว่าหลังจากขับไล่ชาวญี่ปุ่นออกไปได้ หูอวิ๋นเป้าก็ไม่มีความสนใจทำสงครามภายในประเทศ จึงอาศัยอยู่ที่บ้านลูกพี่ลูกน้อง วรยุทธ์ของหูหงเต๋อจึงฝึกได้ถึงระดับพื้นฐานในเวลานั้น อีกทั้งยังได้รับสืบทอดความสามารถด้านการแพทย์แผนจีนมาจากท่านปู่ลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นด้วย
“เหล่าหู คุณมีความเกี่ยวพันกับศิษย์พี่ของผมล้ำลึกขนาดนี้เชียว?”
หูหงเต๋อเล่ามาถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนถึงกับฟังจนอ้าปากค้างหุบไม่ลง ตำนานสงครามต่อต้านสังหารผีญี่ปุ่นเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน ได้ฟังแล้วเขายังเลือดร้อนพุ่งพล่าน นึกเสียดายที่ตนเองไม่ได้เกิดในยุคสมัยนั้น
อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็รู้สึกชื่นชมนับถือศิษย์พี่ใหญ่จากใจ เนื่องจากได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องพรรคประเทศชาติ ทีแรกจึงไม่นึกเห็นดีเห็นงามกับสถานะของโก่วซินเจียนัก
แต่วันนี้ถึงได้รู้ว่า ขณะที่ประเทศตกอยู่ในช่วงยากลำบาก ศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองไม่ได้นั่งออกกฎอยู่ภายในห้องทำงาน แต่ว่าใช้มันสมองเพื่อต่อสู้กับพวกญี่ปุ่นอย่างสุดชีวิต!
“ใช่แล้ว เวลานั้นท่านอาเดินเคียงข้างฉันในพื้นที่หิมะสูงถึงเอวเป็นเวลาสามวัน ถึงออกมาจากป่าเก่าได้ หากไม่มีเขา ฉันกับพ่อคงไม่เหลือชีวิตไปนานแล้วล่ะ!”
ดวงตาของหูหงเต๋อแดงก่ำเล็กน้อย หลังออกจากเขา โก่วซินเจียยังอยู่กับเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายจึงได้จากไป ตอนจากยังทิ้งทองคำเล็ก ๆ จำนวนสิบก้อนที่ท่านพ่อให้เป็นของขวัญเอาไว้
“เยี่ยเทียน ตอนนี้ท่านอาอยู่ที่ไหน? ฉันอยากไปพบเขา อยากไปก้มศรีษะคำนับท่านอา!” หูหงเต๋อเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยเส้นเลือดด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“เหลาหู่ ไม่ต้องตื่นเต้นไปครับ หลานสาวของคุณยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลย!” เยี่ยเทียนกล่าวเสียงต่ำ ในน้ำเสียงแฝงพลังวิญญาณเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่เสียงดัง แต่ก็สะเทือนใจจนหูหงเต๋อได้สติขึ้นมา
“เฮ้อ ต้องโทษฉันที่ตอนนั้นเอาแต่เรียนวิชาต่อสู้ ไม่ยอมเรียนวรยุทธ์ที่สืบทอดต่อกันมา ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้น……” หูหงเต๋อถอนหายใจยาวด้วยความสำนึกผิดไม่เลิก
“ผมกำลังจะถามคุณเรื่องนี้อยู่พอดีครับ”
ได้ยินหูหงเต๋อเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเอง เยี่ยเทียนจึงกล่าวว่า “เหล่าหู ในเมื่อคุณกับศิษย์พี่ของผมมีความเกี่ยวดองกันล้ำลึกอย่างนี้ คุณก็คงรู้จักสำนักของเราด้วยใช่หรือเปล่า?”
หูหงเต๋อพยักหน้ากล่าว “รู้สิ ท่านอาเคยบอกกับฉันว่า พวกเธอคือสำนักเทพพยากรณ์เสื้อป่าน เป็นผู้นำวรยุทธ์ในเขตทุ่งหญ้าภาคกลาง”
“งั้นตระกูลหูของคุณเดิมคือลัทธิตะวันและจันทรา รับสืบทอดมาอย่างไรจึงไม่สามารถถ่ายทอดต่อได้?” เยี่ยเทียนถาม
“เฮ้อ ต้องโทษฉันที่ตอนอายุน้อยโง่เขลา……” หูหงเต๋อกระดกเหล้าดื่มอีกแก้วด้วยความอึดอัดใจ พูดถึงเรื่องหลังจากพ่อลงจากภูเขา
หูหงเต๋อรู้จักวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลของตน แต่ว่าเขาอายุยังน้อยสนใจฝึกแต่วิทยายุทธ์ ไม่มีความสนใจต่อการอัญเชิญเทพเขียนยันต์ร่ายคาถาอะไรพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว หูอวิ๋นเป้าคว้าไม้เรียวมาจึงจะทำให้เขาเรียนได้สักนิดหนึ่ง
พอถึงช่วงหลังปฏิรูปเศรษฐกิจ เนื่องจากหูอวิ๋นเป้าเคยเป็นข้าราชการในรัฐบาลพรรคการเมือง ถูกคนกล่าวหาขับไล่ออกมา เมื่ออับจนหนทางจึงหนีกลับเข้าป่าลึกอีกครั้ง จวบจนปี 60 ก็ยังไม่ออกจากเขา จึงไม่สามารถแนะนำฝึกฝนวิชาความรู้ให้แก่ลูกชายอีก
จนถึงเวลาที่เกิดการกวาดล้างทั่วประเทศอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ครั้งนั้น ภรรยาของหูหงเต๋อเกิดกลัวว่าตำรายันต์คาถาภูตผีที่สืบต่อกันมาในตระกูลจะนำพาภัยพิบัติ จึงยัดลงเตาไฟเผาทิ้งจนหมดสิ้น
นับจากนั้น วิชาแถบตะวันออกเฉียงเหนือที่สืบทอดกันมาในตระกูลหู จึงมาจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของหูหงเต๋อนั่นเอง
แม้ว่าหลังจากเกิดเรื่องหูหงเต๋อจะสำนึกเสียใจไม่สิ้นสุด แต่สิ่งที่ตกทอดกันมานั้นก็ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านนานแล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอาศัยความรู้ทางด้านแพทย์แผนจีนที่ร่ำเรียนมาเมื่อยังเด็ก เปิดคลินิกเล็กๆ ขึ้นแห่งหนึ่ง
ดังนั้นแม้หูหงเต๋อจะรู้คาถาอาคม อีกทั้งรู้แนวในหนทางแห่งเต๋าอยู่บ้าง แต่ว่าตนเองก็ได้ถูกขับออกนอกสำนักไปแล้ว เฉกเช่นครั้งนี้ที่เขาสงสัยว่าหลานสาวจะถูกเวทมนตร์คาถา แต่ก็ไร้ความสามารถช่วยเหลือ
หูหงเต๋อพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงคว้ามือของเยี่ยเทียนเอาไว้ กล่าวว่า “เยี่ยเทียน ท่านอาสามารถช่วยเซียนเอ๋อร์ ท่านอาจะต้องช่วยนางได้แน่!”
เวลานั้นที่ถูกกลุ่มลักลอบเข้าประเทศปิดล้อมเขา โก่วซินเจียเคยใช้ค่ายกลสกัดกั้นศัตรูเอาไว้ ให้ชาวญี่ปุ่นถูกกักอยู่ที่เดิมเป็นเวลาตลอดหนึ่งคืน ไม่อย่างนั้นทางหูอวิ๋นเป้าคงจะไม่สามารถหลบหนีออกมาได้อย่างง่ายดาย
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาอันหม่นมัวของหูหงเต๋อที่พูดถึงหลานสาว ก็พลันสว่างไสวขึ้นมาในทันใด น้ำเสียงกลับกลายโหวกเหวกขึ้นไม่น้อยอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านผู้เฒ่า ขืนท่านยังโวยวายอีกล่ะก็ ร้านนี้คงบริการท่านต่อไม่ได้แล้วนะ”
พนักงานคนหนึ่งเดินมาหาอย่างอารมณ์เสีย ตาแก่คนนี้โวยวายไม่ยอมเก็บเสียง เมื่อครู่พ่อครัวตกอกตกใจสะดุ้ง จนครั้งนี้สับถูกนิ้วเข้าจนได้
“อย่ายุ่งน่า ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังคุยธุระอยู่?”
หูหงเต๋อถลึงตามอง ทำเอาพนักงานคนนั้นตกใจหดคอลงในทันที ล้วงมือลงไปหยิบเงินออกมากองหนึ่ง จำนวนกว่าเจ็ดแปดร้อยทิ้งเอาไว้ “ขืนยังมาวุ่นวายอีกฉันจะพังร้านนายเสีย!”
แม้คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะอารมณ์ร้อน แต่ก็เป็นกับคนเท่านั้น หูหงเต๋อนั้นหนึ่งมีอายุมาก สองรูปลักษณ์หน้าตาดุดันน่าเกรงขาม ทำให้พนักงานร้านนั้นตกใจกลัวรับเงินไปแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก
“เยี่ยเทียน นายพาฉันไปหาท่านอาที เขาจะต้องช่วยเสี่ยวเซียนได้แน่!”
พอไล่พนักงานออกไปแล้ว หูหงเต๋อก็เอ่ยปากขอร้องเยี่ยเทียน ด้วยสาเหตุเพราะคู่ชีวิตจากไปครั้งนั้น ความสัมพันธ์ของเขากับลูกชายและลูกสะใภ้จึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงได้ใส่อกใส่ใจหลานสาวคนเดียวผู้เฉลียวฉลาดว่านอนสอนง่ายคนนี้เป็นอย่างมาก
“เหล่าหู ไม่ต้องรีบร้อน ครั้งนี้เสี่ยวเซียนอาจสะเทือนใจแต่ไม่อันตราย ไม่บาดเจ็บถึงแก่ชีวิตครับ”
เยี่ยเทียนปลอบโยนหูหงเต๋อประโยคหนึ่ง พลันเปลี่ยนหัวข้อ เอ่ยถาม “ผมเห็นว่าภายในร่างกายเสี่ยวเซียนมีไอวิญญาณกระจัดกระจาย ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง? ถ้าหากไม่มีไอวิญญาณพวกนี้คอยป้องกันไว้ล่ะก็ เกรงว่าครั้งนี้เสี่ยวเซียนอาจจะต้านทานไม่ไหวไปแล้ว……”
“อ้อ นั่นคือเรื่องเมื่อตอนเสี่ยวเซียนอายุแปดขวบ ฉันเชิญเทพจิ้งจอกมาคุ้มครองร่างของเธอไว้ แต่ว่าวรยุทธ์ของฉันไม่ถึงขั้น พลังอัญเชิญเทพจิ้งจอกตนนั้นจึงไม่เพียงพอ”
พอได้ยินคำถามของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าชราของหูหงเต๋อก็แดงก่ำขึ้นอย่างหาได้ยาก นั่นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขาใช้คาถาอาคมสำเร็จ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยอัญเชิญมาอีกเลย
……….