ซ่งเฮ่าเทียนเปลี่ยนเรื่องคุย “เสี่ยวเซวีย นายติดตามฉันมาสิบปีแล้วใช่ไหม?”
“ครับ ผมติดตามท่านตั้งแต่อยู่เจียงหนาน ตอนนี้ครบสิบปีพอดีครับ” เซวียชิงเซิ่งแอบตกใจ รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น แต่ยังพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเรียบเฉย
ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบว่า “ครั้งนี้เปลี่ยนสมัยแล้ว นายกลับไปเจียงหนานไปเป็นเลขารัฐบาลเถอะ ขืนอยู่ในส่วนกลางต่อไปถึงจะดูใหญ่โต แต่นายไม่มีประสบการณ์ด้านงานบริหารเลย!”
ในใจของเซวียชิงเซิ่งลิงโลดขึ้น รีบยืนตัวตรงแล้วพูดเสียงดังหนักแน่นว่า “ครับ ท่านผู้นำ ผมจะตั้งใจทำงาน ไม่ให้เสียชื่อท่านเลยครับ”
เมืองเจียงหนานอยู่ที่ไหน? ตั้งแต่โบราณมาเป็นสถานที่ๆความเจริญฟุ้งเฟ้อรายล้อมอยู่ ยังเป็นเมืองระดับปริมณฑล ถ้าเซวียชิงเซิ่งได้ไปอยู่ที่นั่น จะต้องได้เลื่อนตำแหน่งอย่างน้อยเป็นรองผู้ว่า
“อยู่กับฉันมาก็นาน ลำบากนายแล้ว ควรจะให้นายลงไปเสียตั้งนานแล้ว”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหัวเบาๆ เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ พูดอย่างสบายๆว่า “ถ้ามีเวลาก็พาเด็กคนนั้นมาหาฉันหน่อยเถอะ ฉันติดค้างเขาเยอะเหลือเกิน”
พูดจบซ่งเฮ่าเทียนโบกมือให้สัญญาณว่าไม่ให้เซวียชิงเซิ่งตามมา เซวียชิงเซิ่งจึงยืนอยู่ด้านหลัง พบว่าเงาแผ่นหลังของท่านผู้นำแลดูชราภาพลงไปมาก
“อะไรนะ? เยี่ยเทียนไปแล้ว ไปไหน?”
เซวียชิงเซิ่งไม่ทราบที่อยู่ของเยี่ยเทียน วันรุ่งขึ้นพอสืบได้ถึงที่อยู่ของเยี่ยเทียนก็รีบไปหาถึงที่ และได้พบกับป้าใหญ่ของเยี่ยเทียนแล้วทำให้รู้ว่า เยี่ยเทียนออกเดินทางไปตั้งแต่เช้า
“ไปที่เมืองเจียงหนาน อีกสองสามสัปดาห์ถึงจะกลับ”
เยี่ยตงจู๋มองดูชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เธอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าชุมชนมาหลายสิบปี แม้ตำแหน่งทางราชการจะไม่สูง แต่พอเดาออกว่าผู้ที่มาเยือนเป็นข้าราชการเหมือนกัน ตำแหน่งก็ไม่ได้เล็กด้วย
“อ่อครับ คุณป้า ถ้าเขากลับมาแล้วช่วยบอกผมด้วยนะครับ”
เซวียชิงเซิ่งมอบนามบัตรของตนให้หญิงชราไว้ใบหนึ่ง เขาไม่สามารถตามไปถึงเมืองเจียงหนานได้หรอก อีกอย่างท่าทีของเยี่ยเทียนที่มีต่อท่านผู้นำนั้น จะพบหรือไม่พบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
……
“พี่เฟิงจื่อ รบกวนพี่อีกแล้ว นิวนิวสบายดีไหม?”
ขบวนรถไฟเข้าท่าที่เมืองเจียงหนานเป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว เฟิงคว่างพอได้รับโทรศัพท์ของเยี่ยเทียนก็มารออยู่ที่สถานีรถไฟแต่หัววัน
นิวนิวเป็นชื่อเล่นของลูกสาวเขา ตอนนี้อายุสามสี่ขวบแล้ว ปีที่แล้วหวังอวิ๋นพาเด็กน้อยไปปักกิ่งพักอยู่หลายวัน เด็กน้อยนั้นติดเยี่ยเทียนแจ
“สบายดี สบายดี พี่อวิ๋นอวิ๋นของนายบ่นถึงนายออกบ่อย จะว่าไปนายไม่ได้กลับมาครึ่งปีกว่าแล้วนะ” เฟิงคว่างรับกระเป๋าเดินทางของเยี่ยเทียน รู้สึกแปลกใจที่มีอีกสองคนติดตามมาด้วย
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เฟิงคว่างจากที่เคยเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน ตอนนี้เติบโตเป็นชายวัยฉกรรจ์อายุสามสิบกว่า ดูมีความสุขุมมากขึ้น ความวู่วามแบบวัยรุ่นนั้นหายไปหมด
“พี่เฟิงจื่อ สองคนนี้เป็นศิษย์พี่ของผม คนหนึ่งมาจากไต้หวัน อีกคนมาจากฮ่องกง”
เยี่ยเทียนแนะนำให้เฟิงคว่างรู้จัก ตั้งแต่เยี่ยเทียนอายุสิบขวบก็เหมือนโตมาในบ้านของเฟิงคว่าง สนิทอย่างกับคนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบัง
“ทั้งสองท่านเชิญขึ้นรถครับ” เฟิงคว่างผงกหัวให้แล้วเปิดประตูรถ รถแล่นไปใช้เวลาอีกสามชั่วโมง เยี่ยเทียนก็พาโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นมาถึงตีนเขาเหมาซาน
เมื่อเห็นท่าเฟิงคว่างจะขึ้นเขาตามมาด้วยเยี่ยเทียนก็รีบห้ามไว้ “พี่เฟิงจื่อ พี่ไม่ต้องขึ้นไปหรอก อีกสองวันพวกผมจะลงจากเขาแล้วค่อยโทรศัพท์หาพี่ แล้วจะได้ไปเยี่ยมพี่อวิ๋นอวิ๋นด้วย”
“ได้สิ ถ้าต้องการอะไรก็บอก ฉันจะส่งขึ้นไปให้” เฟิงคว่างพยักหน้า บอกลาจั่วเจียจวิ้นกับโก่วซินเจียแล้วขับรถจากไป
“เป็นที่ๆดีจริงๆ อาจารย์สายตาแหลมคม สามารถมาพบที่นี่ได้ ต้องเป็นเพราะความประสงค์ของอาจารย์”
ระหว่างทางเดินหินเล็กแคบขึ้นไปบนเขา มีเสียงนกร้องและแมลงกรีดปีก สองข้างทางปกคลุมด้วยป่าไผ่เขียวชอุ่มร่มรื่น ทำให้โก่วซินเจียที่กำลังเดินขึ้นเขาเอ่ยชมทัศนียภาพไม่ขาดปาก
“ถนนเส้นนี้เยี่ยเทียนมาสร้างเอาตอนหลัง เมื่อก่อนเดินยากกว่านี้” ทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ เยี่ยเทียนจะสัมผัสได้ถึงความสุขสงบในจิตใจ คล้ายกับว่าคำสั่งสอนของอาจารย์เมื่อครั้งก่อนได้ฉายภาพย้อนขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ที่นี่เป็นอารามเต๋าที่อาจารย์เคยพักอยู่ตอนบั้นปลายชีวิต อาจารย์อาศัยอยู่ที่นี่ถึงสามสิบปีเต็ม”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งสามก็เดินมาถึงอารามเต๋าตรงเนินเขา ตัวอารามยังคงเหมือนกับเมื่อครั้งที่เยี่ยเทียนจากไปทุกอย่าง เพียงแต่เพิ่มเล้าเป็ดเล้าไก่ขึ้นมารายล้อม ทำให้เกิดความรู้สึกน่าโมโห
“นี่ เยี่ยเทียน เธอกลับมาแล้ว!”
เมื่อทั้งสามมาหยุดตรงหน้าอารามมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมา พี่สะใภ้เมียของพี่ทึ่มกำลังไล่แพะลงจากเนินเขาด้านบน
“พี่สะใภ้ พี่ทึ่มล่ะ?”
เยี่ยเทียนรีบเดินเข้าไปหา พิจารณาดูพี่สะใภ้อย่างละเอียดเห็นว่านางแก่ลงพอสมควร จากหญิงสาวที่เคยมีผิวพรรณเนียนละเอียด ตอนนี้ใบหน้าเริ่มปรากฎริ้วรอยแห่งกาลเวลา
พี่สะใภ้ไล่แพะกลับเข้าคอกตรงข้างอารามแล้วยิ้ม “หลานคนโตของนายขึ้นชั้นมัธยมแล้ว พี่ทึ่มไปเช่าบ้านอยู่ในตัวอำเภอแล้วอยู่กับลูก เยี่ยเทียน สองท่านนี้คือ?”
“พี่สะใภ้ ทั้งสองคนเป็นศิษย์ของอาจารย์ผมเหมือนกัน พวกเขามากราบหลุมศพของอาจารย์” เยี่ยเทียนอธิบายถึงสถานะของโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นให้พี่สะใภ้ฟัง
แม้ว่าโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นรู้ว่าเยี่ยเทียนได้ออกเงินจ้างคนมาเฝ้าอารามแห่งนี้ แต่ทั้งสองคนก็ยังให้ความเคารพพี่สะใภ้มาก จั่วเจียจวิ้นถึงกับนำอั่งเปาให้ที่เตรียมมายัดใส่มือเธอ
รอจนพี่สะใภ้รับอั่งเปาแล้ว เยี่ยเทียนยิ้ม “พี่สะใภ้ วันนี้พี่ลงเขาไปเถอะ ผมกับพวกศิษย์พี่จะอยู่เอง พรุ่งนี้เช้าค่อยไปไหว้หลุมศพอาจารย์”
“ได้สิ เยี่ยเทียน ข้าวสารอาหารในอารามมีไม่ขาด ทั้งเป็ดไก่พวกนี้ พวกเธอฆ่ากินได้ตามสบายเลย ไม่เป็นไร” เมื่อสั่งเสียกับเยี่ยเทียนเสร็จ พี่สะใภ้ก็หยิบเอาของเล็กน้อยลงจากเขาไป
“ศิษย์พี่ คืนนี้เราพักที่นี่แล้วกัน ห้องด้านข้างใช้นอนได้ทั้งสองห้อง”
เยี่ยเทียนเดินไปดูห้องทางด้านหลังอาราม พี่สะใภ้เก็บกวาดไว้สะอาดเรียบร้อยมาก ห้องทั้งสองมีเตียงไม้ไผ่อยู่สามเตียง ยังมีอีกห้องที่มีตำราหนังสือเรียนระดับชั้นประถม น่าจะเป็นของลูกชายพี่ทึ่มที่มาอยู่ตอนปิดเทอม
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เยี่ยเทียนไปที่ห้องครัวทางสวนด้านหลังก่อไฟต้มน้ำ จากนั้นจับเป็ดไก่มาฆ่าถอนขน เด็ดพริกเขียวจากแปลงผักมาทำอาหารมื้อเย็นที่ไม่ได้อู้ฟู่หรูหราแต่ได้รสชาติอาหารป่า
เสียงน้ำค้างหยดลงพื้นกับเสียงแมลงกลางคืนทำให้เยี่ยเทียนนอนหลับสนิทยันเช้า ความวุ่นวายในเมืองหลวงที่แออัดคึกคักไปด้วยเสียงแตรรถและผู้คนไม่เคยปรากฎในสถานที่นี้เลย
วันรุ่งขึ้นตอนตีห้ากว่า ศิษย์พี่น้องทั้งสามก็ลุกขึ้นแต่งตัว ออกกำลังกายเดินเล่นสำรวจรอบๆอารามแล้ว เยี่ยเทียนต้มโจ๊กเป็นอาหารเช้าสำหรับทุกคน
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น นั่งชมแสงแรกของวันอยู่หน้าอาราม พลางรับประทานโจ๊กข้าวกล้องรสหวานกับผักดองที่ทำเอง เสียงลมกระทบอยู่ข้างหู ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์
“อยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วมาอยู่ที่นี่เสียจริง!” จั่วเจียจวิ้นรู้สึกว่าบ้านวิลล่าหลังงามของเขาเทียบไม่ได้เลยกับสถานที่แห่งนี้
โก่วซินเจียพยักหน้าเห็นด้วย ถามเยี่ยเทียนขึ้นว่า “ศิษย์น้องเล็ก อีกสองปีฉันจะกลับมาอยู่ที่นี่กับอาจารย์!”
“ทำไมต้องสองปีด้วย?”
เยี่ยเทียนอึ้งไป หัวเราะแก้เก้อแล้วตอบว่า “ได้สิ ศิษย์พี่ใหญ่ พี่พูดเองนะ สองปีให้หลังถ้าผมสร้างค่ายกลรวมพลังจักรวาลได้ที่ฮ่องกงพี่ห้ามกลับคำนะ!”
เยี่ยเทียนทราบว่าโก่วซินเจียเสียไปข้างหนึ่ง เส้นลมปราณของร่างกายครึ่งหนึ่งได้รับความเสียหายและอยากได้พลังจากค่ายกลในบ้านเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนเพื่อรักษาโรคเก่า จึงบอกว่าขอเวลาสองปี
โก่วซินเจียหัวเราะออกมา พูดว่า “ฉันอยู่ในป่าในเขามาก่อน ถ้าไม่ได้จะมากราบอาจารย์ ฉันคงไม่ออกจากเขาฝอกว่างซานหรอก จะกลับเข้าป่าอีกครั้งจะเป็นไร”
สภาพภูมิทัศน์ของเขาฝอกว่างซานนั้น แตกต่างจากเขาเหมาซานแห่งนี้มาก ที่นั่นเป็นภูเขาที่ถูกสร้างจากภูเขาร้างกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม จะเทียบกับเขาเหมาซานที่เป็นพื้นที่อันเป็นมงคลได้อย่างไร?
“ได้สิ เราไปกราบหลุมศพอาจารย์กัน”
เยี่ยเทียนกลับไปเก็บของในห้องเล็กน้อย ตอนที่ออมาได้ถือห่อของอันใหญ่ติดมือมาด้วย โก่วซินเจียและจัวเจียจวิ้นเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าสะอาด เดินตามหลังเยี่ยเทียนไปอย่างเงียบๆ
“好地方……”
“เป็นสถานที่ๆดีจริง…”
เดินขึ้นไปตามทางเขาประมาณยี่สิบนาที ทางเดินเล็กๆหายไป แต่ทิวทัศน์ตรงหน้าเปิดเผยสู่สายตา ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นอุทานชื่นชมออกมาพร้อมกัน
มือข้างที่เหลืออยู่ของโก่วซินเจียถือจานเข็มทิศไว้ หมุนมองตามทิศทาง กล่าวด้วยความอัศจรรย์ใจว่า “หลังพิงภูเขา ซ้ายมีมังกรเขียว ขวามีพยัคฆ์ขาว ด้านหน้ามีเขาเตี้ย ตรงกลางเป็นห้องโถง แม่น้ำไหลคดเคี้ยว เป็นที่ดินฮวงจุ้ยชั้นยอด!”
ตอนที่เยี่ยเทียนเลือกตำแหน่งที่ฝังศพของอาจารย์ กลับพบว่าฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดบนเขาเหมาซานถูกครองไปแล้ว ที่นี่มีเขาล้อมรอบสามทิศ จุดที่ยืนอยู่นี้เป็นแหล่งน้ำใหญ่ของเขาเหมาซาน สมกับคำที่ว่า “อิงเขาเลียบน้ำเป็นจุดศูนย์รวมของพลัง”
มาถึงตรงนี้ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนบอก ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นเดินต่อเพียงไม่กี่ก้าวก็พบกับหลุมศพของอาจารย์ หน้าหลุมศพมีแท่นหินแกะสลักด้านบนเขียนว่า: หลุมศพของอาจารย์หลี่ซั่นหยวน โดย:ลูกศิษย์เยี่ยเทียนเป็นผู้ตั้ง!
ด้านหลังของแท่นหินได้มีการสลักด้วยตัวอักษรเล็กๆกล่าวถึงเรื่องราวเมื่อครั้งนักพรตเฒ่ายังมีชีวิตและวันเดือนปีเกิด
เยี่ยเทียนทำแบบนี้เพื่อว่าหากหลี่ซั่นหยวนยังมีเชื้อสายสืบสกุลหลงเหลืออยู่ ด้วยพลังแห่งฮวงซุ้ยหลุมศพบรรพชนสามารถดลบันดาลให้ลูกหลานในตระกูลมีความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยไปทุกรุ่น
“อาจารย์!”
มองดูตัวอักษรบนแท่นหิน ศิษย์มีอายุทั้งสองคุกเข่าลงที่พื้น เดินเข่าเข้าไปใกล้กับหลุมศพ โขกศีรษะลงบนพื้นอย่างแรง น้ำตาไหลเป็นสายอย่างควบคุมไม่อยู่
“ศิษย์พี่ ลุกขึ้นมา จุดธูปให้อาจารย์ก่อน!”
เยี่ยเทียนรุดเข้าไปประคองศิษย์พี่ทั้งสองให้ลุกขึ้น หยิบธูปเทียนและเครื่องเซ่นออกมาจากห่อ ยังมีเหล้าเหมาไถสี่ขวด ตั้งไว้ที่หน้าป้ายวิญญาณของอาจารย์
ปักธูปเสร็จ เยี่ยเทียนพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ตาท่านแล้ว!”
“ได้!”
โก่วซินเจียเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างศิษย์น้องทั้งสอง พูดวา “ศิษย์โก่วซินเจีย หลายสิบปีไม่ได้มาหาอาจารย์เลย เพราะศิษย์อกตัญญู วันนี้ได้มาถึงที่นี่ เพื่อมาคารวะวิญญาณอาจารย์ที่อยู่ในปรโลก!”
……..