“นี่……ไวน์ลาฟีท 3 ขวด ก็……150,000?”
มองดูตัวเลขที่เขียนไว้ในบิล เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าไวน์แดงที่เขาสั่งไปงั้นๆ กลับเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดของวันนี้
“คุณผู้ชายครับ ไวน์แดงที่คุณสั่งเป็นของปี 82 และปี 82 เป็นหนึ่งในปีที่มีเงื่อนไขดีที่สุดในการทำไวน์ ทั้งฝนตกและอุณหูมิอากาศก็เหมาะแก่การปลูกองุ่นมากที่สุด ดังนั้นไวน์องุ่นของปีนั้นจึงมีคุณค่ามากที่สุด
และที่สำคัญไวน์ลาฟีทจะผลิตเพียง 240,000 ขวดต่อปีเท่านั้น ในจำนวนนั้นมีเพียง 20,000 ขวดที่นำเข้ามายังประเทศจีน ดังนั้นราคาจะแพงกว่าต่างประเทศนิดหน่อย หวังว่าคุณจะเข้าใจครับ……”
พูดตามตรง ผู้จัดการใหญ่คนนี้เริ่มสงสัยฐานะของเยี่ยเทียนแล้ว เพราะว่าลูกหลานตระกูลขุนนางในปักกิ่งเวลาที่มากินข้าวที่นี่ เอาใบเสร็จรับเงินกลับไปเบิกกับบริษัทอะไรสักบริษัทหนึ่ง พวกเขาไม่เคยต้องถามรายละเอียดเหล่านี้เลย
แต่เรื่องที่เยี่ยเทียนตบบ้องหูหวงซือจื้อเมื่อสักครู่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เขาเปิดดูแม้กระทั่งกล้องวงจรปิดเรียบร้อย คนที่ไม่มีพื้นหลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ใครจะกล้าทำ? ดังนั้นผู้จัดการใหญ่จึงใช้ความอดทนอธิบายความรู้พื้นฐานของไวน์แดงให้กับเยี่ยเทียนฟัง
“เหล่าถังนะเหล่าถัง ครั้งนี้คุณทำฉันแย่จริงๆ พูดก็พูดคุณวางไวน์ราคาแพงขนาดนี้ไว้ในตู้ไวน์ทำไม? แต่รสชาติของไวน์นี้ก็ไม่เลวนะ คราวหน้าไปฮ่องกง คงต้องปล้นสักหน่อยแล้ว!”
ความคับแค้นใจของเยี่ยเทียนทำให้ถังเหวินหย่วนที่อยู่ไกลถึงฮ่องกงอดไม่ได้ที่จะจามหนึ่งที จึงรีบปิดแอร์ในห้อง อายุเยอะแล้วทนหนาวไม่ค่อยได้
“ฉันก็ไม่ขาดทุนหรอก ไวน์นี้ส่วนใหญ่ก็ถูกฉันดื่มไป” เยี่ยเทียนพูดปลอบใจตัวเอง ไวน์ 3 ขวดนั้นมี 2 ขวดที่น่าอยู่ไหลเข้าท้องเขาหมดแล้ว
ดูรายการในบิลลงไปเรื่อยๆ ในใจของเยี่ยเทียนก็ยิ่งสงบนิ่งลง เพราะเขาพบว่า ค่าอาหาร 260,000 ตัวเขาคนเดียวอย่างน้อยก็น่าจะกินไปแล้ว 230,000-240,000 แล้ว
ที่จริงแล้วหอยเป่าฮื้อหูฉลามพวกนั้นถึงแม้ราคาไม่ถูกเหมือนกัน แต่ปกติแล้ว กลุ่มเยี่ยเทียนกินด้วยกันหกคน ดังนั้น2-3 หมื่นก็เพียงพอแล้ว
วันนี้เยี่ยเทียนอารมณ์ไม่ดี แต่เจริญอาหารมาก แค่เขาคนเดียวก็กินปริมาณของ 4-5 คนไปแล้ว ดังนั้นราคาจึงพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว และทำให้ผู้จัดสาวคนนั้นตกใจจนไม่สามารถปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ต้องรีบไปรายงานให้ผู้จัดการใหญ่ทราบ
“โอเค รูดบัตรครับ……”
รังนกล้างปากหูฉลามกินกับข้าวอร่อย วันนี้เยี่ยเทียนก็ฟุ่มเฟือยไปยกใหญ่ หยิบเครดิตขึ้นมารูดอย่างสง่างามด้วยจำนวน 260,000 กับเครื่องรูดบัตรเครดิตของทางร้าน
ก่อนออกจากร้านเยี่ยเทียนสั่งให้พนักงานบริการห่อหอยเป่าฮื้อกับข้าวถ้วยสุดท้ายมาให้ด้วย เพราะเหมาโถวชอบกินปลามากที่สุด วันนี้ลูกพี่สะใจ ต้องปลอบใจเจ้าตัวน้อยสักหน่อยสิ
ส่วนพนักงานบริการที่แสดงสายตาดูถูก เยี่ยเทียนทำเป็นมองไม่เห็น เก็บหอมรอมริบเป็นคุณงามความดีของคนจีน จะมีเงินมากมายแค่ไหนก็ห้ามลืมกึ๋นของตัวเอง พวกเราก็มีชาติกำเนิดจากคนจนเหมือนกัน
หลังจากออกจากร้านอาหารและเข้าไปที่ลิฟต์แล้ว หูเสี่ยวเซียนมีความอยากรู้อยากเห็นมองไปที่เยี่ยเทียนถามว่า “เยี่ยเทียน นายห่อกับข้าวจากร้านอาหารกลับบ้านไม่อายคนเหรอ?”
หูเสี่ยวเซียนพูดออกไป แม้แต่อวี๋ชิงหย่าก็จ้องไปที่เยี่ยเทียน กิริยาท่าทางของเยี่ยเทียนเมื่อสักครู่ กลับทำให้พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ สองแสนก็จ่ายไปแล้ว ทำไมถึงยังจะเอากับข้าวเหลือแค่นี้อีก?
ต้องรู้ว่า ปี 1998 แบบนี้ ผู้คนต่างๆยังไม่มีจิตสำนักการห่อกับข้าวกลับบ้าน เยี่ยเทียนนั้นเรียนรู้จากที่ฮ่องกง เขากับถังเหวินหย่วน เวลาที่ไปดื่มชาตอนเช้า ตาแก่นั่นเหลือลูกชิ้นเหลือสองลูกยังเรียกพนักงานบริการช่วยห่อกลับบ้านเลย
“ฉันใช้เงินซื้อของพวกนี้มา กินไม่หมดทำไมนำกลับไปด้วยไม่ได้ล่ะ?”
เยี่ยเทียนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เด็กประถมยังรู้เลยว่าการประหยัดเป็นสิ่งดี การฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งน่าอับอาย ความรู้สึกตัวของพวกคุณก็ต่ำเกินไปหรือเปล่า? มหาเศรษฐีพันล้านของฮ่องกงยังห่อข้าวกลับบ้านเลย แล้วอย่างฉันนี่คืออะไร?”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้อวี๋ชิงหย่าและคนอื่นๆต่างก็มองหน้าซึ่งกันและกัน เดิมเป็นเรื่องที่ทำให้สูญเสียหน้าอย่างมากแต่ถูกเยี่ยเทียนพูดแบบนี้แล้ว ดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจยิ่งนัก
แต่พอมาคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว คำพูดของเยี่ยเทียนก็มีเหตุผลพอสมควร เป็นความจริงที่ไม่ควรนำเรื่องการห่อข้าวกลับบ้านมาตัดสินความใจกว้างหรือไม่ของคน นี่เป็นปัญหาเรื่องแนวคิด
และแน่นอนว่า อย่างน้อยในปัจจุบันก็ยังไม่ค่อยนิยมการห่อข้าวกลับบ้านกันเท่าไหร่ เพราะว่ามหาเศรษฐีพันล้านห่อกลับเรียกประหยัด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอาจจะถูกเรียกว่าขี้งกก็เป็นไปได้
“คุณผู้หญิงทั้งหลาย รอก่อนนะครับ ผมจะไปขับรถมาที่นี่” ขณะที่พูดคุยหยอกล้อกันทุกคนก็ออกจากลิฟต์ ให้อวี๋ชิงหย่าและคนอื่นๆรออยู่ด้านหน้าร้านอาหาร ส่วนเยี่ยเทียนเดินไปฝั่งลานจอดรถ
“อืม? คนพวกนี้ทำเกี่ยวกับอะไรกัน?”
เยี่ยเทียนเพิ่งเดินออกมาสิบกว่าเมตร ก็พบว่ามีผู้ชายสามคนกำลังเดินตามหลังตนเองอยู่ และสิ่งที่อยู่ข้างหลังผู้ชายสามคนนี้คือคนมาราไกย์สี่คน เยี่ยเทียนไม่รู้เหมือนกันว่าอาหารกลางวันของพี่ฝรั่งพวกนี้แก้ปัญหากันยังไง?
“หรือจะเป็นนักฆ่าที่หวงซือจื้อหามา?”
เยี่ยเทียนเพิ่งคิดถึงข้อนี้ได้ ทันใดนั้นก็ถูกกำจัดออกไป อย่าพูดว่าคนพวกนี้ไม่มีความอยากฆ่า ถึงจะเป็นหวงซือจื้อก็ไม่มีความกล้าแบบนี้หรอก การซื้อโจรเพื่อให้ไปฆ่าคนในปักกิ่ง งั้นหวงซือจื้อไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีแล้วแต่เป็นไอ้โง่
แต่ใช้เวลาไม่นานเยี่ยเทียนก็จะรู้ตัวตนของพวกนี้แล้ว ตอนที่เขาเปิดประตูรถออก ผู้ชายสามคนนั้นเร่งฝีเท้าวิ่งมาประกบหน้าประกบหลังเยี่ยเทียน คนที่อยู่ยืนอยู่ข้างหน้าถือบัตรไว้ในมือหนึ่งอัน พูดว่า “คุณชื่อเยี่ยเทียนใช่ไหม? พวกเรามีคดีตั้งใจฆ่าและทำร้ายร่างกายหนึ่งคดี ขอให้คุณช่วยตรวจสอบด้วยครับ!”
“ตำรวจ?”
เยี่ยเทียนเริ่มขมวดคิ้ว ยืนมือไปหยิบบัตรตำรวจมาดู ดูชื่อบนบัตรพูดว่า “คุณตำรวจหยาง ผมคือเยี่ยเทียนครับ ไม่ทราบว่าผมไปทำร้ายใครครับ? ใครสั่งให้พวกคุณมาหาผมเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ใช้ก้นคิดยังคิดได้เลยว่าเรื่องแบบนี้มีแต่หวงซือจื้อเท่านั้นที่คิดได้ แต่เขาโตขนาดนี้ยังไม่เคยถูกจับเข้าสถานีตำรวจเลยสักครั้ง และไม่อยากถูกคนพวกนี้จับไปแบบนี้แน่ๆ
“คุณทำร้ายคุณหวงซือจื้อครับ เขาได้แจ้งความไว้แล้ว ดังนั้นขอเชิญคุณไปกับเราหน่อยครับ นี่คือหมายเรียกตัวครับ!” เห็นเยี่ยเทียนนิ่งสงบขนาดนี้ ตำรวจที่เป็นหัวหน้ากลับยิ่งสุภาพมากขึ้น จึงได้หยิบหมายเรียกตัวออกมาจากกระเป๋า
ตำรวจทั้งสามคนนี้เห็นกับตาว่าเยี่ยเทียนเดินออกจากร้านอาหารปักกิ่ง และมีสาวๆ อีกสี่คนเดินตามหลัง และยังขับรถหรูหนึ่งคันที่เรียกชื่อไม่ถูกหนึ่งคัน
ร่องรอยต่างๆแสดงให้เห็นว่า คนหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ประชาชนธรรมดาที่ยอมให้ใครทำอะไรก็ได้แน่นอน ถ้าหากตนเองจัดการกับคดีไม่ระวังเพียงนิดเดียว ต้องถูกฝั่งตรงข้ามจับจุดอ่อนได้แน่นอน
แต่คดีนี้เป็นคดีที่ต้องจัดการ เพราะว่าเป็นคำสั่งจากอธิบดีสำนักย่อย
และตอนที่หวงซือจื้อแจ้งความ พวกเขาอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ในเมื่ออธิบดีจนบันทึกและยืนยันคดีนี้ด้วยตนเองแล้วการดำเนินคดีให้เสร็จด้วยความรวดเร็วจะเป็นการทำลายสถิติที่เคยมีในสำนักย่อยของพวกเขาอย่างแน่นอน
ตำรวจหยางและคนอื่นๆล้วนเป็นตำรวจอาชญากร เรื่องการชกตีกันเล็กน้อยแบบนี้ถึงตาพวกเขาออกหน้ามาจัดการเมื่อไหร่กัน? ถ้าไม่ใช่เพราะอธิบดีสั่งลงมา แม้แต่ชุดเครื่องแบบยังไม่ทันใส่ก็ต้องรีบมาจัดการแล้ว
แต่หลังจากที่ได้เจอเยี่ยเทียนแล้ว ตำรวจพวกนี้เพิ่งจะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นบุคคลที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นจึงใช้ความสุภาพเช่นนี้
ถ้าหากว่าคนตรงหน้าแต่งตัวซกมกไม่เรียบร้อย แล้วยังปั่นจักรยานไว้ละก็ เกรงว่าผู้ชายกลุ่มนี้ก็คงนำกุญแจข้อมือคล้องเยี่ยเทียนไว้และพากลับไปแล้ว
“คุณเยี่ยครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกับตำรวจพวกนั้นกำลังคุยกันอยู่นั้น มาลาไกย์และคนอื่นๆก็วิ่งมาหา สองคนในนั้นผลักตำรวจสามคนออกไป ส่วนอีกสองคนบังไว้ที่ี่่ตรงหน้าเยี่ยเทียน
“พวกคุณจะทำอะไร?” มองเห็นฝรั่งสี่คนแทรกเข้ามาตรงหน้าอย่างกระทัน ตำรวจทั้งสามคนต่างก็ขวัญหายกันหมด
สุภาษิตกล่าวไว้ว่าการทูตไม่มีเรื่องเล็ก โดยเฉพาะที่ปักกิ่ง ฝรั่งถึงแม้ไม่ได้สูงกว่าคนอื่นหนึ่งระดับ แต่คดีที่มีต่างชาติเกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากที่สุด
“พวกเราคือตำรวจ มีเรื่องต้องขอให้คุณเยี่ยเทียนช่วยตรวจสอบครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์ยังไงกับเยี่ยเทียนเหรอครับ?” ตำรวจหยางที่เป็นหัวหน้าเรียนจบจากมหาวิทยาลัยตำรวจ ภาษาอังกฤษระดับ 6 เวลาพูดคุยกับฝรั่งไม่เคยมีอุปสรรคใดๆ
ได้ยินคนตรงข้ามพูดอังกฤษ มาลาไกย์และคนอื่นๆสบตาซึ่งกันและกัน พูดว่า “คุณเยี่ยเป็นเป้าหมายที่พวกเราจะต้องปกป้อง ไม่ทราบว่าเขาทำผิดกฎหมายอะไรของประเทศคุณเหรอ? ถ้ามีความจำเป็น พวกเราจะเชิญทนายที่เก่งที่สุดในโลกให้
กับเขา!”
มาลาไกย์เป็นแค่บอดี้การ์ด สิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบคือความปลอดภัยของเยี่ยเทียน แต่ถ้าเยี่ยเทียนทำผิดกฎหมายจริง เขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไง แน่นอน มาลาไกย์รู้วิธีกดดันตำรวจที่อยู่ตรงหน้าแน่นอน
“แม่งเอ้ย ไอ้หนุ่มนี่มันเป็นใครกันแน่? ถึงกับมีฝรั่งสี่คนเป็นบอดี้การ์ด” หลังจากได้ยินคำพูดของมาลาไกย์แล้ว ตำรวจหยางที่พาทีมมาด้วยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
เขาเป็นตำรวจมาสิบกว่าปี และเคยรับภารกิจรักษาความปลอดภัยสำหรับแขกชาวต่างชาติ เคยเห็นบอดี้การ์ดหลายคนที่ปกป้องผู้มีเกียรติจากต่างประเทศมาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าในปักกิ่งจะมีใครเชิญชาวต่างชาติมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว?
“คุณผู้ชายทุกท่าน ตอนนี้เยี่ยเทียนเพิ่งอยู่ขั้นตอนตรวจสอบ พวกเราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเขามีความผิดหรือไม่ แต่เขาต้องกลับไปพร้อมกับพวกเราเพื่อเข้ารับการตรวจสอบ หวังว่าพวกคุณจะไม่ขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา!”
คดีนี้ถึงแม้ในใจของตำรวจหยางจะคดงอไปบ้าง แต่อธิบดีสำนักย่อยมีคำสั่งลงมาแล้ว ยังไงก็ต้องนำตัวเยี่ยเทียนกลับไปด้วย ดังนั้นท่าทีของเขาจึงค่อนข้างแข็ง
“พวกคุณพาคู่กรณีของพวกเราไปได้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ความทรมานเพื่อให้เขาสารภาพ พวกเราจะขอตามไปด้วย”
หน้าที่ของมาลาไกย์และคนอื่นๆ ก็คือป้องกันเยี่ยเทียนไม่ให้รับบาดเจ็บ ถ้าเยี่ยเทียนถูกตีที่สถานีตำรวจ แน่นอนแสดงว่าพวกเขาป้องกันได้ไม่ดี
“มาลาไกย์ เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่ง ฉันจัดการเองได้”
เยี่ยเทียนรู้ว่าวันนี้ต้องตามพวกเขาไป จึงได้ตอบตำรวจพวกนั้นไปว่า “รถของฉันต้องส่งไปให้เพื่อนของฉันขับ รอฉันขับไปข้างหน้าประตูร้านอาหารก่อนแล้วค่อยขึ้นรถของพวกคุณ”
“ได้ ไม่มีปัญหา!”
ได้ยินว่าเยี่ยเทียนตกลงที่จะไปสถานีตำรวจ ตำรวจหยางรู้สึกโล่งใจทันที เพราะอย่างไรแล้วอธิบดีมีคำสั่งก็คือพาเขากลับไป หลังจากที่ไปถึงสถานีตำรวจตนเองจะลาพักทันที มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยุ่งกับเรื่องนี้
หลังจากที่ขับรถไปถึงหน้าประตูร้านอาหาร เยี่ยเทียนนำกุญแจรถโยนให้กับอวี๋ชิงหย่า มองดูรถที่ตามหลังมาและพูดกับตำรวจที่ลงจากรถว่า “ชิงหย่า เธอขับรถกลับไปนะ หวงซือจื้อแจ้งว่าฉันตั้งใจทำร้ายร่างกายผู้อื่น ฉันจะไปสถานีตำรวจกับตำรวจพวกนี้!”
………..