“ฉันจะไม่ต่อสู้กับเธอหรอก ดาบนั้นไร้ความปราณี ระหว่างเราก็ไม่มีความเกลียดชังและความแค้นกัน!”
เมื่อได้เห็นพัคจีฮุนมาพบตัวเอง เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะเคยมีเรื่องกับทาโร่ แต่เขาก็ไม่ได้เกลียด
ชังกับสาวเกาหลีผู้นี้
ในการประลอง มวยนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เยี่ยเทียนสามารถควบคุมความแข็งแกร่งของเขาได้ แต่ดาบและปืนนั้นไม่มีตา และเขาไม่ได้เรียนมวยจีน ที่ใช้มือเปล่าสู้มีดหรือดาบ เยี่ยเทียนไม่สามารถรับประกันว่าจะได้ชัยชนะ
หากไม่ต้องการให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าเยี่ยเทียนจะต้องจู่โจมพัคจีฮุนด้วยความรวดเร็วอย่างสายฟ้า แต่นั่นคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะเห็น
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว พัคจีฮุนก็ส่ายหัวและยืนยันว่า “ไม่ ดาบของฉันจะไม่ออกจากฝัก แต่ได้โปรดให้คำแนะนำกับฉันด้วย!”
เหตุผลที่พัคจีฮุนยืนกรานอย่างมาก ก็คือเมื่อสักครู่ที่สนาม เธอรู้สึกตกใจกับสายตาของเยี่ยเทียน ทิ้งร่องรอยความกลัวไว้ในใจ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในอนาคตของเธอ และจะเสียเปรียบอย่างยิ่ง
ต้องรู้ว่า พัคจีฮุนนั้นฝึกฝนเทคนิคการใช้ดาบ ที่ฝึกกันในญี่ปุ่นนั้นรู้จักกันในชื่อเคนโด้ ย้อนกลับไปในช่วงสงครามกลางเมืองของญี่ปุ่นที่ต่อเนื่องหลายปี นักฟันดาบหลายคนได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งสูง จึงเป็นการปฏิวัติวิชาฟันดาบหลังจากนั้นก็มี นักฟันดาบที่มีชื่อเสียงหลายคนปรากฏตัวออกมา
แต่เมื่อถึงศตวรรษนี้ การต่อสู้ของเคนโด้ถูกใช้โดยทหาร กลายเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม จึงก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น และเกิด “การโจมตีที่ยาวนาน” และ “การแตกสลาย” ซึ่งเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรม
ด้วยเหตุนี้เอง ดาบของญี่ปุ่นในเคนโด้จึงมีความดุร้าย กระทั่งที่ว่าเมื่อดาบฟันและเคลื่อนออกไปก็จะทำให้ศัตรูนั้นแพ้โดยไม่ต้องต่อสู้ สิ่งนี้จำเป็นต้องฝึกด้วยสภาพจิตใจที่สูงมาก
แต่สายตาที่ไม่ตั้งใจของเยี่ยเทียน ได้สร้างปีศาจภายในหัวใจของพัคจีฮุน และพัคจีฮุนเองก็รู้ว่า ถ้าเธอไม่ได้ประลองการต่อสู้กับเยี่ยเทียนและหากเอาชนะเขาไม่ได้ ในอนาคตของเธอก็จะไม่มีความก้าวหน้าในศิลปะการต่อสู้
ดังนั้นพัคจีฮุนจึงให้คนไปนำเอาดาบซามูไรบนรถมา และมาท้าทายเยี่ยเทียนทันที
“ดาบที่ไม่ได้ชักออกจากฝัก จะเรียกว่าการต่อสู้ด้วยดาบได้หรือ? เธอกำลังดูถูกฉัน หรือว่ากำลังดูถูกวิชาฟันดาบที่เธอกำลังฝึก?” ใบหน้าของเยี่ยเทียนเย็นลงและพูดต่อไปว่า “เมื่อฉันลงมือจะเป็นการทำให้ผู้อื่นเจ็บ การประลองระหว่างเราลืมมันไปเถอะ”
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะอยากปะลองดาบที่มีชื่อเสียงสักครั้ง แต่วันนี่อวี๋ชิงหย่าอยู่ด้วย เขาจะมีใจไปประลองกับผู้หญิงเกาหลีคนนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นความเต็มใจของพัคจีฮุน ขอให้เยี่ยเทียนสอนฉันด้วยเถอะ ขอร้องละ!!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนจะเปิดประตูรถออกมา พัคจีฮุนก็ยืนขวางอย่างดื้อรั้นอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน
“คนนี้คือใครกัน?”
เพราะท่าทีของพัคจีฮุนทำให้เยี่ยเทียนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้ชาย เขาก็คงเตะให้ แต่ผู้หญิงคนนี้ทั้งก้มหัวและโค้งคำนับ เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถลงมือได้เลยจริงๆ
“จริงสิ คนพวกนี้เอาเงินไปแล้ว จะไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ?”
เยี่ยเทียนมองไปก็เห็นคนของมาราไกย์ซึ่งอยู่ห่างออกไปยี่สิบหรือสามสิบเมตร เขาจึงตัดสินใจกวักมือเรียกมาราไกย์
นี่นับตั้งแต่ที่เยี่ยเทียนตกลงว่าจะให้พวกเขาติดตาม และเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดเผยพวกเขาต่อหน้าผู้คน มาราไกย์รีบเร่งด้วยความเร็วที่สุดมุ่งหน้ามา และถามด้วยความเคารพว่า “คุณเยี่ยครับ มีเรื่องอะไรครับ?”
การแสดงของเยี่ยเทียนในชมรมศิลปะการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ เป็นเหตุให้คนมาราไกย์และคนอื่นมั่นใจว่าเขาเป็นสาเหตุการตายของทหารรับจ้างมากกว่า 20 คน ก็เกิดความเกรงขามเยี่ยเทียนออกมาจากใจ ถลำลึกโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยเทียนชี้ไปที่พัคจีฮุน และพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้กำลังก่อกวนฉัน พวกคุณไล่เธอออกไป ไม่ให้ขวางการขึ้นรถของฉัน”
“ครับ คุณเยี่ย!”
บอดี้การ์ดมาราไกย์มีสติดีมาก หลังจากที่เจ้านายออกคำสั่งแล้ว เขากับอีกคนหนึ่งก็ยืนซ้ายคนขวาคนประกบพัคจีฮุนไว้ตรงกลาง
พัคจีฮุนยังไม่ทันรู้ตัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เธอก็โดนชายสองคนนี้ประกบให้ออกจากรถแลนด์โรเวอร์ของเยี่ยเทียน แม้แต่ดาบซามูไรในมือของเธอก็ไม่มีโอกาสถูกดึงออกมา
“เฮ้ พี่ชายใช้ได้เลยนะ กับงานประเภทนี้?” เยี่ยเทียนมองเห็นฉากนี้และยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว ในที่สุดเขาก็พบว่าชาวต่างชาติเหล่านี้ติดตามตัวเองก็มีประโยชน์อยู่นะ
“ไป รีบขึ้นรถเถอะ”
เยี่ยเทียนเปิดประตูที่นั่งคนขับและนั่ง หลังจากอวี๋ชิงหย่าขึ้นรถแล้ว เยี่ยทียนออกรถและเหยียบคันเร่ง ทิ้งพัคจีฮุนไว้กับมาราไกย์ไว้ข้างหลัง
“เยี่ยเทียน นาย … โปรดยอมรับการท้าทายของฉันด้วย!” พัคจีฮุนรู้สึกตะลึงกับการกระทำของเยี่ยเทียน เมื่อรู้ตัว รถของเยี่ยเทียนก็ขับหายไปแล้ว
—
หลังจากขับรถออกจากสวนหวาชิง ผู้คนในรถเริ่มไหวตัวตอบโต้ สวีเจิ้นหนาน มองเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ที่นอนหอพักกับเขามาครึ่งปี แล้วถามว่า “ฉันว่านะเยี่ยเทียน นายมีความลับมากแค่ไหนกันเนี่ย ?”
“ฉันมีความลับอะไรเหรอ?” เยี่ยเทียนเรียกร้องความอยุติธรรม “พี่ใหญ่ พวกเราแก้ผ้าต่อหน้ากันก็ผ่านมาแล้ว ในวันนั้นฉันถูหลังให้พี่ พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ?”
เมื่อฟังเสียงอู้อี้ของเยี่ยเทียน หลายคนในรถมีก็อาการขนลุก เว่ยหรงหรงก็บิดมือของเธอบนหูของสวีเจิ้นหนาน และเริ่มบังคับให้สารภาพ
อวี๋ชิงหย่าเองก็จิกเยี่ยเทียนไปหนึ่งที และพูดด้วยความโกรธว่า “ขยะแขยง ให้มันน้อยหน่อย”
แต่หูเสี่ยวเซียนที่นั่งอยู่แถวหลังไม่สนใจ ตบไหล่ของเยี่ยเทียน และตะโกนว่า “เยี่ยเทียน หล่อมาก แม้แต่ชาวต่างชาติก็ฟังคำสั่งของคุณ”
ไม่ต้องพูดถึงหูเสี่ยวเซียน แม้แต่อวี๋ชิงหย่าก็ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับบอดี้การ์ดเหล่านั้นและก็ถามว่า “เยี่ยเทียนชาวต่างชาติพวกนั้นทำอะไรกัน?”
“เอ่อ เพื่อนของฉันเอง จะบอกกับเธอภายหลังนะ”
ตอนเยี่ยเทียนอยู่ไต้หวัน คนที่บ้านก็ไม่รู้เรื่องนี้ และทุกอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว เยี่ยเทียนไม่ต้องการที่จะนึกขึ้นอีก จึงได้เปลี่ยนการสนทนา และพูดว่า “ทุกคน อยากกินอะไรกัน? ฉันเป็นคนจนนะ หรือไม่ก็กินเต้าหู้คนละหนึ่งชามละกันนะ! “
“คิดได้สวยนะ ไปร้านอาหาร “ชวนจวี้เต๋อ” เลย ไม่เพียงอาหารอร่อย ราคาก็แพงที่สุดด้วย!”
“ใช่แล้ว ขับรถคันนี้แล้ว ยังคงกล้าพูดว่าเป็นคนจน ล้อเลียนคนรวยเหรอ!”
“ไม่ได้ “ชวนจวี้เต๋อ” ถูกเกินไป ไปที่ร้าน “จิ่งเช็ง” ต้นตำรับอาหาร “ถานเจีย” ฉันต้องการกินหอยเป๋าฮื้อกับหูฉลาม!”
คำพูดของเยี่ยเเทียนทำให้เกิดสงครามในรถ สวีเจิ้นหนานตะโกนว่าอยากกินหอยเป๋าฮื้อกับหูฉลาม และได้รับการตอบรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากหญิงสาวทั้งหลายเพราะอาหารนี้สามารถช่วยบำรุงความงามได้
“พี่ใหญ่ พี่นี่ร้ายกาจมากนะ นี่จะฆ่าฉันเลยใช่มั้ย? ” เยี่ยเทียนเปล่งเสียงร้องที่น่าสงสารออกมา แม้ว่าเขาจะไม่เคย กินอาหารต้นตำรับถานเจีย เขาก็ได้ยินชื่อเสียงของอาหารต้นตำนี้
อาหารต้นตำรับถานเจียเป็นหนึ่งในอาหารขุนนางที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศจีน อาหารต้นตำรับถานเจียเป็น
เมนูอาหารในงานฉลองของครอบครัวข้าราชการถานจงในช่วงปลายราชวงศ์ชิง เพราะว่าเขาเป็นปั๋งเหยี่ยนของถงจื้อปีที่สอง และเป็นที่รู้จักกันในนาม “อาหารปั๋งเหยี่ยน” นอกจากนี้ยังเป็นร้านอาหารตำรับขุนนางในปักกิ่งร้านเดียวที่รักษาและสืบทอดต่อมา
เมื่อครั้งก่อนที่เยี่ยเทียนและเว่ยหงจวินพูดคุยกัน มักจะได้ยินว่าเขาเชิญเจ้าหน้าที่ให้ไปทานอาหารต้นตำรับถานเจียถ้ากินหนึ่งมื้อจ่ายเป็นหมื่นถือว่าเป็นเรื่องปกติ
“ใครใช้ให้แกซ่อนความลับมากมายเล่า? หรือไม่ก็บอกเราเกี่ยวกับมันเถอะ? พวกเราหาร้านอาหารเล็ก ๆนั่งคุยกันก็ได้นะ”
สวีเจิ้นหนานหัวเราะเมื่อเขาได้ยินคำพูดเขา เขาและเว่ยหรงหรงเคยไปกินที่ อาหารต้นตำรับถานเจีย มื้อเดียวพวกเขาทั้งสองกินแล้วจ่ายไปมากกว่า 7,000 หยวน แต่คราวนี้มันเพียงพอที่จะฆ่าเยี่ยเทียน
“ได้ ไปก็ได้?”
“เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าในสองปีที่ผ่านมาเขาจะทำงานได้เงิน แต่เขาก็ยากจนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ยกเว้นว่าคน
อื่นเลี้ยง เขายังไม่เคยใช้เงินหลักหมื่นเพื่อกินอาหารหนึ่งโต๊ะ
แต่ในวันนี้เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ภรรยา เยี่ยเทียนไม่สามารถที่จะตระหนี่ หลังจากเข้ามาที่ประตูร้านอาหาร เขาจอดรถให้ทุกคนลงรถ แล้วเยี่ยเทียนจึงนำรถไปจอดที่ลานจอดรถ ในปีนี้มีการบริการรับจอดรถในเมืองปักกิ่งน้อยมาก
“บรรยากาศในสถานที่นี้ค่อนข้างดีเลย?” ทันทีที่เขาออกมาจากลิฟต์บนชั้นเจ็ด เสียงกู่เจินก็แว่วเข้าหูของเยี่ยเทียน ไม่มีเสียงรบกวนและดังอย่างร้านอาหารทั่วไป
“เกิดอะไรขึ้น? หาที่นั่งสิ? รอฉันทำไมกัน?”
หลังจากเข้ามาแล้ว เยี่ยเทียนก็ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นสวีเจิ้นหนานกับพรรคพวกพากันยืนอยู่ข้างที่จ่ายเงิน ไม่รู้ว่าพวกเขารอตัวเองอยุ่หรือไม่?
“เยี่ยเทียน ไม่มีที่นั่งแล้ว”
เว่ยหรงหรงจ้องมองสวีเจิ้นหนานอย่างไม่พอใจ แล้วพูดว่า “นายไม่ใช่ไม่รู้ว่า มากินข้าวนายต้องจองที่นั่ง แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรล่ะ?”
“ฉันจำได้ที่ไหนเล่า?”
แม้ว่าฐานะทางบ้านของสวีเจิ้นหนานจะไม่ยากจน แต่สำหรับนักศึกษาคนหนึ่งกับการกิน จะเลือกได้มากน้อยเท่าไหร่กัน? โดยปกติแล้วก็กินอยู่แถวบริเวณมหาลัย ร้านทั่วไปก็สามารถนั่งกินแล้วดื่มเบียร์ได้แล้ว
ร้านอาหารต้นตำรับถานเจียนี้สวีเจิ้นหนานก็เคยมาเพียงแค่ครั้งเดียว จะจำได้อย่างไรว่าจะต้องสำรองที่นั่งเพื่อมาทานอาหาร?
เมื่อเห็นว่าสวีเจิ้นหนานและแฟนของเขากำลังจะต่อสู้กัน เยี่ยเทียนกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “พอได้แล้ว จะทะเลาะกันทำไมเราสามารถเปลี่ยนไปร้านอื่นได้นี่”
เมื่อขณะที่เยี่ยเทียนและคนอื่น ๆ กำลังจะจากไป มีพนักงานเสิร์ฟมา และพูดว่า “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มีแขกในห้องส่วนตัวได้ยกเลิกการจองอย่างกะทันหัน ไม่ทราบว่าพวกคุณต้องการหรือไม่?”
“ อ้า ฉันจะออกไปแล้ว กลับมีห้องส่วนตัวมาอีก วันนี้ก่อนออกมาไม่ได้เช็คดวง ดูเหมือนว่าจะเสียทรัพย์แล้วสินะ?”
หน้าตาที่ยิ้มอย่างขมขื่นของเยี่ยเทียน เป็นเหตุให้พนักงานก็หัวเราะตาม แต่กลุ่มคนในช่วงในปี 98 มาทานอาหารที่นี่ได้นั้น ไม่ใช่คนธรรมดา พนักงานยิ้มอย่างสุภาพและพาทุกคนไปที่ห้องส่วนตัว
เว่ยหรงหรงที่เดินตามหลังมา กระซิบว่า “จริง ๆ แล้วพวกเขามีห้องส่วนตัวที่สงวนไว้จำนวนมาก ซึ่งสงวนไว้สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีห้องวีไอพีบนชั้นแปด ได้ยินมาว่าพวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่กว่า!”
เยี่ยเทียนเมื่อได้ยินแล้วก็ส่ายหัวของเขา เแม้ว่าคนร่ำรวยจะมากขึ้นเรื่อยๆ ชนชั้นทางสังคมก็ค่อยๆแยกออกจากกัน เช่นเดียวกันสโมสรของซ่งอิงหลันรวมถึงอาหารต้นตำรับถานเจียแห่งนี้มันค่อยๆกลายเป็นสถานที่ที่บางคนแสดงความมั่งคั่งและอำนาจของพวกเขา
อย่างไรก็ตามสังคมมนุษย์เป็นเช่นนี้มาตลอด โครงสร้างปีรามิดจะไม่เปลี่ยนแปลง เยี่ยเทียนเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถนี้ สิ่งที่เขาทำได้คือปกป้องครอบครัวของเขาจากการถูกกลั่นแกล้ง
“เสี่ยวหลี่ รอก่อน … “
ขณะที่เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ กำลังเดินไปที่ประตูห้อง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสูทกระโปรงสีดำรีบวิ่งเข้ามา
“ผู้จัดการมีอะไรเหรอ?” พนักงานหญิงมองด้วยความไม่รู้
ผู้จัดการหญิงมองเยี่ยเทียนและคนอื่น ๆด้วยสีหน้าขอโทษ และพูดว่า “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ขอโทษจริง ๆ ห้องส่วนตัวนี้ถูกจองแล้ว เป็นความผิดพลาดของทางเรา ขณะนี้แขกมาที่นี่แล้ว!”
…………..