“เยี่ยเทียน คุณ……คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บล่ะ”
เมื่อถังเหวินหย่วนลงจากรถก็เห็นไหล่ของเยี่ยเทียนพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว รีบเดินมาสองสามก้าวมาคว้ามือของเยี่ยเทียน พูดด้วยสีหน้าที่ละอายแก่ใจว่า “เยี่ยเทียน ครั้งเป็นฉันเองเหล่าถังที่ต้องขอโทษนาย”
“ไม่ ไม่ ทั้งหมดนี้ต้องโทษเสียวเสี่ยว ถ้าไม่ใช่เพราะจะหาศพของสามี อาจารย์เยี่ยก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บกงเสียวเสี่ยวมองเยี่ยเทียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง กลับเอาความรับผิดชอบทั้งหมดดึงมาที่ตัวเอง
สองสามวันนี้นอกจากจะตามหาเยี่ยเทียนแล้ว กงเสียวเสี่ยวก็ไม่ได้ว่างเลยเมื่อเทียบดีเอ็นเอระหว่างศพนั้นกับเส้นผมและเลือดของฝูอี้ที่หลงเหลืออยู่ พิสูจน์ได้ว่าเจ้าของศพเป็นของฝูอี้อย่างไม่มีข้อสงสัย คดีที่ค้างคานี้ถูกลากยาวมาแปดปี ในที่สุดก็ได้ปิดฉากสักที
แค่อาศัยการคำนวณทำนาย ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลหาศพที่ฝังลงในดิน สำหรับกงเสียวเสี่ยวแล้ว แทบจะเป็นความฝัน
ดังนั้นภาพลักษณ์ของเยี่ยเทียน ในสายตาของกงเสียวเสี่ยวในตอนนี้ แน่นอนว่าเป็นเทพเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ความซาบซึ้งนั้นออกมาจากใจของตัวเองทั้งหมด
“พอแล้ว คุณนายกง เหล่าถัง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณจริงๆ
เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคนนี้แย่งกันรับผิดชอบความผิด เยี่ยเทียนก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
“เป็นเพราะผมเองที่ไม่ได้ตั้งใจ ไปยั่วพวกที่โกรธแค้น เลยทำให้พวกคุณต้องเป็นห่วง。”
นิสัยเดิมของเยี่ยเทียนไม่ได้เป็นคนที่พูดโอ้อวด เขายึดมั่นคำสอนของนักพรตเต๋าให้เป็นคนที่ดีในการใช้ชีวิตในโลกภายนอก หลังจากที่มาถึงฮ่องกง นิสัยของเยี่ยเทียนที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเขาหลายอย่าง ได้เปลี่ยนไปมาก แน่นอน นี่ก็มีเหตุผล พอเยี่ยเทียนมาถึงฮ่องกงก็พบประสบภัยหลายอย่าง ตอนแรกก็ต้องประลองวิชากับชาญ ทองทวน หลังจากนั้นก็ต้องเจอเรื่องฆาตกรที่ลอบฆ่า ท่ามกลางความกังวลของเยี่ยเทียน ดังนั้นจึงมีนิสัยใจร้อนและฆ่าได้ง่าย
แต่หลังจากที่อาศัยอยู่ภูเขาพระพุทธรูป บนภูเขานั้นมีพลังของความเมตตา กลับทำให้พลังบาปกรรมในตัวของเยี่ยเทียนที่มองไม่เห็นถูกกำจัดออกไปไม่น้อย รวมถึงคำชี้แนะของโก่วซินเจีย ทำให้เยี่ยเทียนตระหนักถึงจิตใจของตัวเองที่ยังบกพร่อง เยี่ยเทียนตอนนี้หลังจากที่รวบรวมพลังชี่แท้เข้าสู่ร่างกายตัวเอง ก็สามารถควบคุมได้ จึงเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป
หลังจากที่พูดกันอย่างเรียบง่ายไม่กี่ประโยค ถังเหวินหย่วนพูดว่า “ไป กลับโรงแรมก่อน ตอนบ่ายก็ค่อยกลับฮ่องกง!”
“รอก่อนครับ ยังรอคนคนหนึ่งอยู่” เยี่ยเทียนส่ายหน้า มองมาที่ถังเหวินหย่วนแล้วพูดว่า “เหล่าถัง เรื่องเมื่อก่อนยังไม่ยุ่งยากพอเหรอครับ”
เยี่ยเทียนได้ฆ่าคนยี่สิบสองคนบนภูเขาพระพุทธรูปแห่งนี้ ถึงแม้ว่าคนที่ถูกฆ่าจะเป็นกลุ่มนักรบรับจ้าง แต่ถ้าเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไป จะทำสังคมเกิดความวุ่นวาย ในใจของเยี่ยเทียนก็กระสับกระส่ายไม่น้อย
“เรื่องเมื่อก่อนเหรอ”
ถังเหวินหย่วนถึงกับตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็ตอบสนองโดยเร็วยิ้มพูดว่า “เรื่องที่นายพูดก็คือการตายของคนพวกนั้นเหรอ”
“ไม่เป็นไร พวกเขาไม่ได้ผ่านกระบวนการคัดกรองคนเข้าเมืองที่เหมาะสม ตัวเองก็ลักลอบเข้ามาที่ไต้หวัน อีกทั้งยังพกอาวุธที่ผิดกฎหมายมาอีก ไม่มีใครที่จะไต่สวนความผิดของคุณหรอก”
ใบหน้าถึงแม้จะพกพารอยยิ้ม แต่ในใจของถังเหวินหย่วนตกตะลึง เป็นอย่างที่คิด จากคำพูดของเยี่ยเทียนที่ออกมาเมื่อครู่ เขาฟังแล้วถึงกับคาดเดาได้ว่า คนพวกนั้นแท้ที่จริงแล้วตายในมือของเยี่ยเทียน
คิดถึงการเสียชีวิตของศพมากกว่า 20 ศพนั้น ถังเหวินหย่วนถึงกับอดไม่ได้ที่จะกลุ้มใจ เด็กหนุ่มใหญ่คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคน คาดไม่ถึงว่าจะลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมแบบนี้
ในสังคมปัจจุบันนี้ ความกล้าของคนจะอ่อนแอลงเรื่อย อย่างไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงถังเหวินหย่วนซึ่งมีทรัพย์สินส่วนบุตัวมูลค่านับพันล้าน เมื่อยืนอยู่หน้าเยี่ยเทียน ก็ยังรู้สึกว่าความสำคัญของตัวเอง ไม่มีทางข้อได้เปรียบอีกฝ่ายเลย
“พอแล้ว ขึ้นรถเถอะ”
มีชายหญิงใจบุญหลายคนที่กำลังมุ่งหน้าไปภูเขาพระพุทธรูปเพื่อไหว้พระ เยี่ยเทียนไม่อยากยืนรอโก่วซินเจียที่ด้านนอก หลังจากที่เรียกจั่วเจียจวิ้นแล้ว ก็เข้าไปในรถตู้
ถังเหวินหย่วนถึงแม้จะอยากถามเยี่ยเทียนว่าคนที่รอคือใคร แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนพลังก็อ่อนลง นี้กลับทำให้ไม่สามารถเปิดปากพูดได้
โก่วเจียซินไม่ทำให้เยี่ยเทียนรอนาน นั่งรอในรถประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า พระสงฆ์ทั้งสองนิกายห่มด้วยจีวรสีเหลืองเข้มจู่ ๆ ก็ลงมาจากภูเขา
หลังจากที่พระสงฆ์สองนิกายลงจากภูเขาแล้ว ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มแยกกันยืนอยู่หน้าภูเขา คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าทั้งสามคนถือร่มจีน แลเห็นได้ชัดเจนว่ามีใบหน้าที่เคร่งขรึม
พระภิกษุใบหน้ากลมและหูใหญ่ที่ห่มด้วยจีวรสว่าง กับนักบวชลัทธิเต๋าที่ตัวผอมใส่จีวรที่ไม่เก่าและไม่ใหม่ เดินออกมาจากพระทั้งสองนิกาย
ถังเหวินหย่วนและก่งเสียวเสี่ยวที่นั่งอยู่บนรถหลังจากที่เห็นใบหน้าของพระภิกษุอย่างชัดเจน สะดุ้งตกใจไปทั้งตัว ทันใดนั้นพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาจารย์ซิงหยุน เขา……คนที่เขามาส่งเป็นใครกันเหรอ”
ซิงหยุนเกิดที่จินหลิงในปี 1920 โกนผมออกบวชในวัย 20 ปี เกือบหกสิบปีที่ส่งเสริม“ศาสนาพุทธกับมนุษย์” สืบต่อพระพุทธศาสนา เผยแพร่คำสอน โดยมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลกราวพันกว่ารูปได้รับความเลื่อมใสจากคนทั้งโลกมากกว่าล้านคน
เมื่อต้นปี 1990 พระอาจารย์ซิงหยุนเป็นประธานสหพันธ์โลกขององค์กรสงฆ์และฆราวาส ยิ่งกว่านั้นได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก และถือได้ว่าเป็นบุคคลแรกในโลกพุทธศาสนาในปัจจุบัน
กงเสียวเสี่ยวกับถังเหวิยหย่วนที่นั่งอยู่บนรถ ต่างก็รู้จักพระอาจารย์ซิงหยุนดี เคยบริจาคเงินให้กับภูเขาพระพุทธรูปหลายสิบล้าน แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ พวกเขาก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติจากพระอาจารย์ซิงหยุน ที่เวลาจะลงจากภูเขาก็มาส่งด้วยตัวเอง
“เดี๋ยวผมลงรถไปทักทายอาจารย์ซิงหยุนก่อน เอ๋ เยี่ยเทียน นายไปทำไมกัน”
เมื่อถังเหวินหย่วนหันมาพูดกับเยี่ยเทียน กลับพบว่าเยี่ยเทียนผลักประตูรถลงไปแล้ว มองไปที่พระอาจารย์ซิงหยุนที่อยู่ประตูภูเขากับนักพรตเต๋าที่เดินมาด้วยกัน
ถังเหวินหย่วนรู้ดีว่าซิงหยุนนั้นมีความสำคัญกับไต้หวันมาก เกรงว่าเยี่ยเทียนเทพเจ้าแห่งการฆ่าจะทำร้ายอาจารย์เอา จึงรีบตามลงไป อย่ามองว่าเขาเป็นชายชราวัยแปดสิบปี แต่ขากลับคล่องแคล่วอย่างมาก
ไม่ได้รอให้ถังเหวินหย่วนอยู่ด้านหน้า เยี่ยเทียนยิ้มแล้วก็สนทนสกับอาจารย์ซิงหยุนที่อยู่ด้านข้างนักพรตเต๋ารูปนั้น อาจารย์ซิงหยุนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มมองมาที่ทั้งสองคน อดไม่ได้ที่จะทำให้ถังเหวินหย่วนถึงกับตกตะลึง
ปกติเต๋าและพุทธสองฝ่ายถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่าเข้าด้วยกันไม่ได้ เพราะเส้นทางการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่โบราณไม่ใช่ว่าเส้นทางพระพุทธศาสนาจะเสื่อมลง อาจารย์ซิงหยุนมาส่งนักพรตเต๋าลงจากภูเขา เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก
ไม่เพียงแต่ถังเหวินหย่วนกับกงเสียวเสี่ยวที่ประหลาดใจ ผู้ที่เลื่อมใสทั้งชายและหญิงที่กำลังจะขึ้นไปมนัสการบนภูเขา ก็ได้แต่ยืนพูดกันอยู่ที่ไกลๆ ต่างก็คาดเดาสถานะของนักพรตเต๋าคนนั้น
“อาจารย์ซิงหยุน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ยิ่งนับวันพระอาจารย์ก็ยิ่งมีความรู้ความสามารถมากขึ้น ” ถังเหวินหย่วนกดความสงสัยไว้ในใจ ขึ้นบันไดมาทักทายอาจารย์ซิงหยุน
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วน อาจารย์ซิงหยุนถึงกับพนมมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นอุบาสกถัง อุบาสกร่างกายแข็งแรง มีความสุขดีนี่”
เมื่อคิดถึงการส่งเสริมพุทธศาสนา จะขาดอุบาสกที่มีกำลังทรัพย์มหาศาลเหล่านี้ไม่ได้ ท่านอาจารย์ซิงหยุนและคนจีนที่ร่ำรวยทั่วมุมโลกต่างก็รู้จักกันดี ในนั้นก็รวมถึงถังเหวินหย่วนกับกงเสียวเสี่ยวเป็นต้น
“พระอาจารย์ ท่านนี้คือ”
ถังเหวินหย่วนมองมาที่เยี่ยเทียนกับนักพรตเต๋าครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรในใจก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ นี่เป็นคนสูงศักดิ์ที่พบเจอยากในโลกนี้หรือ คุ้มค่าที่ซิงหยุนจะต้องมาส่งลงภูเขาเองเลยเหรอ
“เพื่อนเก่าแก่ของอาตมาวันนี้จะต้องไปจากภูเขาพระพุทธรูป อาตมาก็เลยมาส่ง”
สำหรับซิงหยุนแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดให้คนฟังได้ รวมถึงเจียงไคเชกที่ได้เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว ไต้หวันก็ไม่ได้ฟื้นฟูตระกูลเจียงอีกเลย โก่วซินเจียก็ไม่จำเป็นต้องลักลอบเข้ามาเหมือนหลายปีก่อน
“ขอบคุณท่านอาจารย์ซิงหยุนที่ดูแลศิษย์พี่ในหลายปีมานี้”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซิงหยุนแล้ว เยี่ยเทียนก็หันกลับมาน้อมแสดงความเคารพกับพระภิกษุ โก่วซินเจียได้ฝึกปฏิบัติบำเพ็ญตบะหลายสิบปีมานี้ ที่จริงต้องขอบคุณพระองค์นี้
“ฮา ฮา อาตมากับหยวนหยางจื้อคบหากันมาหกสิบกว่าปี พวกนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ”อาจารย์ซิงหยุนได้ฟังก็ยิ้มขึ้นมา มองมาทางเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “คงมีโอกาสได้สนทนากันนะ”
ซิงหยุนกับโก่วซินเจียต่างก็พูดกันด้วยศักดิ์ที่เสมอกัน ต่อหน้าเยี่ยเทียนก็ไม่ได้วางมาดเป็นพระอาจารย์ใหญ่อะไร น้ำเสียงที่พูดก็อบอุ่น ทำให้คนรู้สึกถึงลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ขอท่านอาจารย์กรุณา” เยี่ยเทียนพยักหน้า ทำท่าทางราวกับได้รับการสั่งสอน
“โยมเยี่ยเทียนเป็นผู้มีความสามารถ อายุยังน้อยก็สามารถฝึกวิชาของนักพรตเต๋าได้อย่างลึกซึ้ง เป็นคนแรกที่ตลอดชีวิตพระอาจารย์ใหญ่พบเจอ
ซิงหยุนชมเยี่ยเทียนสักพักหนึ่ง หัวข้อสนทนาจู่ๆก็เปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “แต่พลังพิฆาตของโยมมีมากเกินไป ต้องรู้ว่า ต้นไม้ใบหญ้ายังมีจิตวิญญาณ ยิ่งกว่านั้นแล้ววิญญาณมนุษย์ ยังหวังว่าวันข้างหน้าโยมเยี่ยจะฆ่าให้น้อยลง แล้วทำความดีให้มาก”
เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูขาพระพุทธรูปวันก่อน แน่นอนว่าปิดบังหูตาของซิงหยุนไม่ได้ เยี่ยเทียนถึงแม้ว่าจะรวบรวมพลังชี่ได้ แต่ยังคงไม่สามารถหลบหนีการตอบสนองพลังชี่ของซิงหยุนที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมได้
“พระอาจารย์ ศิษย์น้องจะให้ท่านมาสอนได้อย่างไรกัน”
เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบ โก่วซินเจียไม่พอใจเท่าไหร่ ถือหางพรรคพวกของตัวเองเป็นธรรมเนียมที่ดีที่สุดของสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ จากหลี่ซั่นหยวนมาที่เยี่ยเทียน มาถึงโก่วซินเจียอีก แทบจะเป็นอย่างนี้
“ศิษย์พี่ ไม่เป็นไร”
เยี่ยเทียนยิ้มมาที่โก่วซินเจียพร้อมโบกไม้โบกมือ ดวงตาคู่หนึ่งมองที่ซิงหยุนด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา พูดว่า “ท่านอาจารย์ ศาสนาพุทธยังมีพระสกันทโพธิสัตว์ กำจัดความชั่วร้ายด้วยการทำความดี คนที่พวกเยี่ยเทียนฆ่าเป็นคนที่สมควรฆ่า ต่อให้วันข้างหน้าต้องตกนรกหมกไหม้ เยี่ยเทียนถึงจะฆ่าคนตายเท่าไหร่ก็ไม่เสียใจภายหลังเป็นอันขาด”
นับตั้งแต่ฝึกจนสำเร็จ ในมือของเยี่ยเทียนก็แปดเปื้อนเลือดไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นโจรปล้นหลุมศพหรือฆาตกรตะวันตกอย่างชาญ ทองทวน รวมถึงเทียนหลงเป็นต้น เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกไม่ฆ่าต้องมีภัย แน่นอนว่าเยี่ยเทียนไม่เคยฆ่าคนดีเลยสักคน
“ฮ่าๆ พระอาจารย์ ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ ศิษย์น้องเยี่ยเป็นเจ้าสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์รุ่นปัจจุบัน จะให้ท่านมาสั่งสอนได้ยังไงกัน
เมื่อเห็นซิงหยุนที่พูดไม่ออกเมื่อเยี่ยเทียนถาม ทันใดนั้นโก่วซินเจียก็หัวเราะดังขึ้นมา หลายสิบปีมานี้มักจะโต้แถ้งกับซิงหยุนเป็นประจำ เมื่อเห็นซิงหยุนเกือบจะเสียหน้า นักพรตเต๋ากลับสบายอกสบายใจขึ้นมา
“เป็นเพราะอาตมาวู่วามไป ขอให้โยมเยี่ยเทียนยกโทษให้ด้วย”
เมื่อได้ยินโก่วซินเจียบอกสถานะของเยี่ยเทียน ซิงหยุนรู้ว่าที่ตัวเองพูดนั้นไม่สมควรพูด เยี่ยเทียนเป็นถึงเจ้าสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ มีสถานะไม่น้อย ไม่ใช่ว่าตัวเองจะสั่งสอนได้
“ท่านอาจารย์อย่าจริงจังเกินไป เรื่องของเยี่ยเทียนไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจไปทั้งหมด แต่ขอให้ตัวเองไม่ละอายใจในสิ่งที่ทำก็พอแล้ว” น้ำเสียงของเยี่ยเทียนเสียงดังกังวานและเต็มไปด้วยพลัง เขาชี้แจงจุดยืนของตัวเองด้วยคำพูดของปรมาจารย์ฉีเหมิน “หลิวป๋อเหวิน”
…………