ยังถือว่าเคราะห์ดีที่ตอนนั้นฝนกำลังตกหนัก โลหิตที่เปื้อนเต็มหน้าเยี่ยเทียนจึงถูกชำระล้างไปหมด หลังจากพยายามอาเจียนไปหลายที เยี่ยเทียนก็เริ่มจะคุ้นชินกับรสชาติของโลหิตขึ้นมาแล้ว
เมื่อคนอื่นจะฆ่าเรา เราก็ต้องฆ่าคนอื่นเช่นกัน ยามนี้เยี่ยเทียนและฝ่ายตรงข้าม อยู่ในสภาพที่ต้องสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว แม้ว่าบนภูเขาฝอก่วงซานนี้จะไม่สามารถใช้วิชาอาคมได้ แต่เยี่ยเทียนก็ยังปล่อยคนพวกนี้ไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นปัญหาก็จะไม่มีวันจบสิ้น
จากปฏิกิริยาของอาหลางเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนก็ดูออกแล้วว่า อีกฝ่ายจะต้องเป็นนักฆ่ามือเก่าอย่างแน่นอน หากไม่สังหารคนพวกนี้เสียให้หมดสิ้น จากนี้ไปเยี่ยเทียนก็อย่าหวังว่าจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุขอีกเลย
“แย่แล้ว!”
ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนได้สติกลับมา เสียงเท้าย่ำลงไปบนกิ่งไม้แห้งก็ดังแว่วมาจาก ตำแหน่งที่ไม่ได้ไกล ออกไปนัก จากนั้นลำแสงสว่างจ้าหลายสายก็สาดส่องมาทางเขา
เยี่ยเทียนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ร่างโถมออกไปข้างหน้าจนราบกับพื้น สองมือกางเหมือนกรงเล็บ ออกแรงถีบขาไปข้างหลัง แล้วร่างก็พุ่งกระโจนออกไปจากป่ารกราวกับลูกหินที่ยิงด้วยหนังยางทันที
นอกจากนี้ ร่องรอยจากร่างของเยี่ยเทียนที่คืบคลานไปบนพื้นนั้นก็ผิดธรรมดาอย่างยิ่ง ร่างทั้งร่างอ่อน เหมือนไร้กระดูก เมื่อผ่านตอไม้แต่ละตอ ก็ถึงกับเลี้ยวอ้อมไปราวกับงูก็ไม่ปาน ด้วยระดับความเร็วที่ ไม่อาจมองเห็น ด้วยตาเปล่าได้เลย
“ปัง…ปังๆ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะเริ่มเคลื่อนไหว เสียงปืนระลอกหนึ่งก็ดังรัวขึ้นถี่ยิบยิ่งกว่าสายฝนที่กระหน่ำลงมาจากฟ้าเสียอีก ลูกกระสุนพุ่งออกไปพร้อมประกายไฟแลบท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืน ครอบคลุมบริเวณที่เยี่ยเทียนหยุดร่าง อยู่เมื่อครู่นี้ ไว้ทั้งหมด
มือปืนรับจ้างที่มีประสบการณ์บางคนลดปลายกระบอกปืนลงแล้ว จากนั้นก็สำรวจดูรอบๆ พื้นที่นั้น พวกเขาเชื่อว่า ตราบใดที่อีกฝ่ายยังเป็นสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้อยู่ ก็คงไม่มีทางรอดพ้นมาจากการกระหน่ำยิงเช่นนี้ได้อยู่แล้ว
“ปังๆ…ปังๆๆ!”
เสียงปืนดังอยู่สองนาทีกว่าๆ ถึงจะสงบลง มือปืนรับจ้างทุกคนเปลี่ยนซองกระสุนกันคนละสามซอง ลูกกระสุนกระหน่ำยิงออกไปหลายร้อยนัด พายุฝนพร้อมเสียงฟ้าผ่าและเสียงปืน ประสานกันขึ้นจนเกิด เป็นลานประหารยุคใหม่
เมื่อเสียงปืนหยุดลง แสงสว่างจ้าจากไฟฉายหลายกระบอกส่องไปบนพื้นที่โล่งแห่งนั้น ต้นไม้ที่เดิมมีอยู่ไม่กี่ต้นนั้นยามนี้ถูกยิงจนลำต้นพรุน แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่นี้กระสุนยิงออกไปถี่ยิบเพียงใด
เมื่อกลุ่มมือปืนรับจ้างหลายกลุ่มมาเห็นสภาพนี้ ก็ต่างผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาล้อมจู่โจมเข้ามาจากรอบด้าน การกระหน่ำยิงเมื่อครู่นี้จึงไม่มีมุมไหนที่รอดจากกระสุนเลย พวกนี้จึงเชื่อว่าศัตรูคงจบชีวิตไปภายใต้ปากกระบอกปืนแล้ว
ขณะที่เทียนหลงกำลังพาพวกเข้าไปใกล้ที่โล่งนั้นอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกใจหายวาบ เพราะภายใต้แสง จากฟ้าแลบนั้น มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งพลันกระโจนขึ้นมาที่เบื้องหน้าห่างไปยี่สิบกว่าเมตร เทียนหลงตื่นตระหนก รีบตะโกนขึ้นมาว่า “อาหู่ ระวังนะ มันไปทางแกแล้ว!”
แม้ในจะถือปืนอยู่ แต่คนในกลุ่มของเทียนหลงกลับไม่มีใครกล้าลั่นไกปืนเลยสักคน เพราะฝั่งตรงข้าม ก็มีกลุ่มมือปืนกลุ่มอื่นๆ ล้อมเข้ามาเช่นกัน ท่ามกลางสายฝนยามค่ำคืนเช่นนี้มองเห็นเป้าหมายไม่ชัดเจน หากยิงออกไปก็อาจจะกลายเป็นทำร้ายพวกเดียวกันเอง
“เร็ว ตามมันไป!”
เทียนหลงร้อนใจมาก เขาเคยเห็นอาการบาดเจ็บบนร่างของศิษย์พี่แล้ว จึงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีวรยุทธสูงมาก ถึงบรรดาสมุนของเขาจะเคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนแล้ว แต่ถ้าต้องสู้กันตัวต่อตัวละก็ ต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนแน่นอน
……-
“เวรเอ๊ย บาดเจ็บจนได้เหรอวะ?!”
หลังจากโดดขึ้นมาจากพื้น ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังรู้สึกโกรธจัด แม้ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนจะเคลื่อนไหว ด้วยความเร็วสูงอย่างยิ่งแล้ว แต่การระดมยิงอันถี่ยิบเมื่อครู่นี้ก็ยังสร้างความลำบากให้เยี่ยเทียนอยู่ดี
ด้านหน้าหัวไหล่ของเยี่ยเทียนโดนกระสุนไปหนึ่งนัด แต่ตอนที่ลูกกระสุนยิงมาถูกตัวเขานั้น เยี่ยเทียนอาศัยจังหวะ กลิ้งไปกับพื้น และรวบรวมพลังชี่จากทั่วร่างไว้ที่หัวไหล่ ทำให้ลดทอนพลังของลูกกระสุนไปได้ครึ่งหนึ่ง
ดังนั้นแม้จะโดนยิง แต่กระสุนนัดนั้นกลับถูกเยี่ยเทียนใช้กล้ามเนื้อหนีบไว้ จึงไม่ได้บาดเจ็บไปถึงกระดูก นอกจากนี้บนใบหน้าของเยี่ยเทียนยังถูกกระสุนยิงถากไปนัดหนึ่ง โลหิตไหลอาบแก้มและเข้าไปในปากของเขา
“พวกแกมันสมควรตายให้หมด!”
ความรู้สึกที่ได้เข้าใกล้ความตายอย่างเฉียดฉิวนั้น ทำให้เยี่ยเทียนระเบิดโทสะออกมา ตอนแรกเขาอยู่ห่างจากสามคน นั้นไปสิบกว่าเมตร แต่เมื่อเยี่ยเทียนกระโจนลงไป ระยะห่างนี้ก็หดใกล้เข้ามาภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
หลังจากได้ยินเสียงตวาดของเทียนหลง อาหู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วยิ่ง มือขวาถือปืนกล มือซ้ายถือปืนพกอีกเล่มหนึ่ง ขณะนั้นมีฟ้าแลบสว่างขึ้นมาพอดี เงาร่างของเยี่ยเทียนที่กำลังโถมเข้ามาจึงปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า
“ปัง… ปังๆ ปัง!”
เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด เยี่ยเทียนที่ตอนแรกกำลังกระโจนอยู่กลางอากาศปลิวกระเด็นลงไปอยู่บนพื้นเหมือนกับถูกยิง อาหู่ดีใจ ถือปืนสาวเท้าออกไปสองก้าว เตรียมจะลั่นไกใส่เยี่ยเทียนซ้ำอีกหลายๆ นัด
แต่ทว่าเมื่อแสงสว่างจากไฟฉายในมือส่องลงไปตำแหน่งที่เยี่ยเทียนตกลงไป บริเวณนั้นกลับว่างเปล่าไร้เงาคน อาหู่ตกตะลึง ขณะที่กำลังจะมองหาไปรอบๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีเสียงดัง “กรอบแกรบ” ดังขึ้นมาจากบริเวณน่องของตน
อาหู่ก้มหน้าลงไปดู มือข้างหนึ่งยื่นขึ้นมาราวกับออกมาจากขุมนรกก็ไม่ปาน แล้วบีบคอของเขาไว้โดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ เสียง “เป๊าะ” ดังขึ้นเบาๆ แล้วลูกตาของอาหู่ก็ปูดถลนออกมาทันที
“พี่หู่!”
มือปืนรับจ้างอีกห้าคนที่ตามมาข้างๆ ก็ตอบสนองได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ในระยะใกล้เช่นนี้ไม่สามารถใช้ปืนกลได้ สองคนในนั้นจึงหยิบปืนพกออกมายิงรัวใส่เยี่ยเทียนติดๆ กัน
แต่ตอนที่เยี่ยเทียนบีบคอของอาหู่ไว้นั้น ก็ได้ซ่อนร่างไว้ในอ้อมอกของอาหู่แล้ว มือขวาดึงร่างของอีกฝ่ายมากำบังตัวไว้อย่างมิดชิด ลูกกระสุนสิบกว่านัดจึงยิงใส่ร่างของอาหู่ซึ่งยังไม่สิ้นใจดี จนร่างสั่นกระตุกราวกับถูกดึงเส้นเอ็น
เยี่ยเทียนบีบคอของอาหู่ไว้แล้วโยนออกไปอย่างแรง คราวนี้เขาออกแรงมากจนกะโหลกศีรษะ ของอาหู่บิดไปทั้งกะโหลก แล้วปลิวไปชนกับร่างของมือปืนรับจ้างหนึ่งในนั้นเสียงดัง “โครม” ทำให้ทั้งสองล้มลงไปกองอยู่ด้วยกันทันที
ขณะเดียวกับที่โยนร่างศพของอาหู่ออกไป ร่างของเยี่ยเทียนก็หมอบลงไปกับพื้นอีก แล้วเริ่มคืบคลานด้วยแขนขา ทั้งสี่ข้างราวกับแมวใหญ่
แทบจะครู่เดียวกับที่ร่างศพพุ่งไปชนกับมือปืนรับจ้างคนนั้น เยี่ยเทียนก็ไปถึงตรงหน้ามือปืนอีกคนหนึ่งแล้ว แสงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง มือปืนคนนั้นเปล่งเสียงดัง “อึกอัก” ออกมาจากปาก แล้วก็กุมลำคอล้มตัวอ่อนลงไปกับพื้น
หลังจากปาดคอชายคนนั้นขาดไป ร่างของเยี่ยเทียนก็ยังคงไม่ลุกขึ้นมายืน แต่กลับหมอบอยู่ท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้ ขาขวาถีบยันพื้น แล้วร่างก็มาอยู่ตรงหน้ามือปืนรับจ้างที่ถูกชนล้มลงไปกับพื้นคนนั้นทันที
เยี่ยเทียนคลานไปบนร่างของชายคนนั้นราวกับเสือดาวตัวหนึ่ง แต่ขณะที่ผ่านไปบนร่างของขายคนนั้น เท้าซ้ายของเยี่ยเทียนก็กระทืบลงไปบนหน้าอกของเขาหนึ่งที
การกระทืบครั้งนี้ทำให้บริเวณอกของมือปืนรับจ้างที่ใส่ชุดกันกระสุนอยู่นั้นจมลงไปทั้งหน้าอก กระดูกซี่โครงทั้งสองข้างหักจนหมด แล้วทิ่มแทงเข้าไปในทรวงอกราวกับมีดสั้น พอมือปืนที่นอนอยู่บนพื้นหายใจออก เป็นเฮือกสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้หายใจเข้าอีกเลย
ขณะนั้นที่เบื้องหน้าเยี่ยเทียนยังเหลืออยู่อีกสามคน เยี่ยเทียนโถมเข้าไปอยู่ท่ามกลางคนทั้งสาม มือขวาวาดโค้งเป็นวง
หลังจากได้รับพลังชี่ที่ถ่ายเทเข้าไปแล้ว มีดสั้นอู๋เหินเปล่งประกายมีดออกมายาวถึงหนึ่งเชียะ ศีรษะสามหัวกระเด็นลอยขึ้นไปสูงลิ่ว โลหิตฉีดพุ่งออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขึ้นสู่ฟ้า
วิชาเต๋านั้นเน้นหลักการเป็นไปโดยธรรมชาติ ตั้งแต่เยี่ยเทียนเริ่มฝึกบำเพ็ญมา พรตเฒ่าก็พร่ำสอนมาตลอดว่าจงประพฤติต่อผู้อื่นด้วยดี
แต่ตอนนี้คนทำดีกลับถูกคนรังแก ม้าดีกลับถูกคนขี่ ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น คนเราไม่อาจจะใจอ่อนได้อยู่แล้ว ยามนั้นในใจของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม จิตสังหารแผ่ออกมาทั่วร่าง
หลังจากสังหารพวกอาหู่ไปหกคน เยี่ยเทียนก็รุดหน้าต่อไป ขยับร่างไปปราดเดียวก็ประจันหน้า กับมือปืนรับจ้างอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างไปนัก และตะลุยเข่นฆ่าต่อไป
หลังจากที่แสงสว่างวาบขึ้นเมื่อครู่ ทั่วทั้งป่าทึบนั้นก็ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอีกครั้ง
ยิ่งรวมกับพายุฝนที่เทกระหน่ำลงมา คนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรจึงมองไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นอีกฟากหนึ่งเลย กลุ่มมือปืนที่มีอาเปาเป็นหัวหน้านั้น จึงไม่รู้เลยว่าทางกลุ่มของอาหู่นั้นถูกกวาดล้างไปจนหมดแล้ว
เยี่ยเทียนในขณะนั้นกำลังฮึกเหิมในการต่อสู้ แม้พายุฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่สติของเยี่ยเทียนกลับแจ่มใส ทั้งร่างกาย พลังปราณและจิตใจต่างก็แทบจะอยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่ได้ฝึกบำเพ็ญตนมาเลย ความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย อย่างลมพัดต้นหญ้าไหวในรัศมีหลายสิบเมตรนี้ ต่างก็ปรากฏชัดในใจของเยี่ยเทียนราวกับส่องกระจก
ป่าทึบช่วยอำพรางร่างของเยี่ยเทียนไว้ พายุฝนก็ช่วยกลบเสียงเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียน เมื่อเข้าไปใกล้กลุ่มของอาเปาซึ่งมีอยู่หกคนนั้นในระยะสามสี่เมตรแล้ว เยี่ยเทียนก็กระโจนร่างเข้าไปบุกสังหารทันที
วิธีการรับมือกับอาวุธปืนที่ดีที่สุดก็คือใช้การต่อสู้ระยะประชิด กล้ามเนื้อตลอดร่างของเยี่ยเทียนขมวดเกร็ง พลังชี่แผ่ออกมา แล้วโถมลงไปกลางวงของฝ่ายตรงข้ามราวกับพยัคฆ์ร้ายกระโจนลงเขา
อาเปาที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดรู้สึกเพียงว่า มีสายลมแรงพัดผ่านหน้าไป แล้วพายุฝนก็กระหน่ำลงมาบนใบหน้าอีก
อาเปายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ร่างก็แหลกราวกับถูกรถถังบดทับ โครงกระดูกทั่วร่างหักจนหมด แล้วล้มตัวอ่อนลงไปกองกับพื้นราวกับโคลนกองหนึ่ง
สถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ชีวิตราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลังจากโจมตีใส่อาเปาจนร่างแหลกไปแล้ว มือซ้ายของงเยี่ยเทียนก็ฟาดฝ่ามือใส่หน้าอกของมือปืนคนหนึ่ง พลังแฝงแผ่ออกไป ทำให้หัวใจของมือปืนคนนั้นแหลกไปทันที โลหิตสาดกระจายออกมาจากปาก
ขณะเดียวกันกับที่ปล่อยฝ่ามือออกไป มีดสั้นอู๋เหินในมือขวาของเยี่ยเทียนก็แทงออกไปติดต่อกัน ประกายมีดสว่างวาบขึ้นหลายครั้ง กลางลำคอของมือปืนอีกสี่คนปรากฏรูขนาดใหญ่ แต่ละคนต่างมีแววตารู้สึกเหลือเชื่อ ส่วนร่างก็ค่อยๆ ล้มลงไปกับพื้น
ฟ้าแลบสว่างขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดเทียนหลงและมือปืนอีกกลุ่มหนึ่งก็เร่งรุดมาถึง แต่เมื่อเห็นซากศพเต็มพื้น บรรดามือปืนรับจ้างที่ผ่านการฆ่าฟันมานานเหล่านี้ต่างก็หน้าซีดเผือดไปกันหมด บางคนถึงขั้นพิงกับลำต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ แล้วอาเจียนออกมาเลย
สามคนเป็นศพที่ไร้ศีรษะ สี่คนปราศจากบาดแผลภายนอกแต่กลับมีโลหิตหลั่งออกจากทุกทวารบนใบหน้า ร่างของอาหู่ก็ถูกยิงจนพรุนเป็นรวงผึ้ง ส่วนคนอื่นอีกสี่คนล้มคอพับกองอยู่บนพื้น ที่ลำคอเหลือผิวหนัง และเนื้อเชื่อมกับส่วนศีรษะอยู่เพียงน้อยนิด
นอกจากอาหู่แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็เสียชีวิตจากการจู่โจมเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีจังหวะให้เคลื่อนไหวตอบโต้ได้เลย ความสามารถในการควบคุมพลังของฝ่ายตรงข้ามนั้น เรียกได้ว่าอยู่ในระดับเทพแล้ว
แม้ว่ามือปืนรับจ้างเหล่านี้จะดำรงชีพมากับการเข่นฆ่ากันทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่เคยเห็นการลงมือที่โหดเหี้ยม เช่นนี้มาก่อนเลย ฝ่ายตรงข้ามต้องไม่ใช่คนแล้วแน่ๆ แต่เป็นเครื่องจักรที่รู้จักแต่การฆ่าฟัน
ตอนนี้ถ้านับรวมเทียนหลงด้วยแล้ว ฝ่ายนี้ก็จะเหลืออยู่ทั้งหมดสิบคน นอกจากเทียนหลง คนอื่นๆ ที่เหลืออีกเก้าคนต่างก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง พวกเขาไม่รู้เลยว่า คนต่อไปที่จะต้องตายอย่างอเนจอนาถนั้น จะเป็นตัวเองหรือไม่?
“ว้าก…ว้าก!!!”
เมื่อเห็นลูกสมุนที่ติดตามตนมาสิบกว่าปีถูกเยี่ยเทียนสังหารไปสิบสองคนในชั่วพริบตา เทียนหลงก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน เพลิงโทสะพุ่งขึ้นสมอง จนอดแหงนหน้าหน้าตะเบ็งเสียงร้องออกมาไม่ได้
คนอื่นที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้มีจิตใจหยาบกระด้างเหมือนอย่างเทียนหลง หัวหน้ากลุ่มมือปืนรับจ้างกลุ่มย่อย ที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายเอ่ยขึ้นว่า “พี่หลง มัน…มันไม่ใช่คนแล้ว พวก…พวกเราลงเขากันก่อนดีกว่าไหม?”
“ลงเขา? พวกแกนึกว่ามันจะยังยอมให้พวกแกลงเขาไปได้อีกรึไง?”
เทียนหลงแค่นเสียงดังเฮอะอย่างเย็นชา โยนปืนกลที่ถืออยู่ทิ้ง แล้วฉีกเสื้อออกเสียงดัง เผยให้เห็นรอยแผลเป็นเต็มหน้าอก
……….