เช้าวันรุ่งขึ้น กงเสียวเสี่ยวส่งรถมารับเยี่ยเทียนไปที่สนามบินนานาชาติฮ่องกง เครื่องบินส่วนตัวของเธอได้ขอทำการขึ้นบินสำเร็จแล้ว รอแค่ให้เยี่ยเทียนมาถึงแล้วออกเดินทางไปไต้หวันได้ทันที
“เยี่ยเทียน ครั้งนี้ฉันไม่ได้ไปด้วย นายช่วยน้องสาวคนนี้ด้วย ต้องหาร่างของน้องฝูอี้ให้เจอนะ ถึงตอนนั้นฉันกับเสียวเสี่ยวจะขอบคุณนายอย่างสุดซึ้ง”
ถังเหวินหย่วนได้มาถึงสนามบินแล้วเช่นกัน แต่เพราะเขาอายุมากแล้ว จึงไม่สะดวกจะเดินทางบุกบั่นไปกับเยี่ยเทียน ได้แต่ให้อาติงติดตามเยี่ยเทียนไปเพื่อคอยช่วยเหลือรับใช้ในเรื่องจิปาถะ
เยี่ยเทียนผงกศีรษะตอบ “เหล่าถัง วางใจเถอะ ช่วยดูแลเจ้าเหมาโถวด้วย แล้วก็เก็บรักษาง้าวจันทร์เสี้ยวของผมให้ดี อย่าให้คนอื่นมาขโมยไป”
ไม่รู้ทำไมเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท ลางบอกเหตุเหมือนกำลังเตือนเขาว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น พอผูกกว้าตรวจดูดวงชะตาแล้วก็ไม่พบอะไร จึงไม่เหมาะจะกลับคำอย่างกะทันหัน
เพราะมีลางสังหรณ์แบบนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่ยอมให้จั่วเจียจวิ้นกับหลิวติงติงตามไปไต้หวันด้วยกัน ยิ่งกว่านั้นยังฝากเหมาโถวไว้ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นจริง เขาตัวคนเดียวสามารถเอาตัวรอดได้ง่ายกว่า ถ้าพาเหมาโถวไปด้วยจะเป็นการดึงดูดสายตาคนอื่น
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังสั่งเสียกับถังเหวินหย่วนอยู่ มีชายวัยกลางคนสวมแว่นดำ เดินเข้ามาข้างตัว เยี่ยเทียนแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “คุณเยี่ย คุณนายกงรออยู่ เครื่องบินกำลังจะออกเดินทางแล้วครับ!”
ตั้งแต่ฝูอี้ถูกลักพาตัวสองครั้ง เศรษฐีใหญ่ในฮ่องกงต่างยิ่งระวังตัว ยอมลงทุนจ้างเจ้าหน้าที่จากกองกำลัง “เสือบิน” ที่ปลดประจำการแล้วหรือไม่ก็บอดี้การ์ดชาวต่างชาติในราคาสูง เพื่อให้ความคุ้มครองตัวเอง
เยี่ยเทียนทราบว่าชายตรงหน้าเคยได้รับหน้าที่คุ้มครองพยานในฮ่องกง แม้จะไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจ แต่ความรู้สึกในการระวังภัยนั้นดีเยี่ยม
เยี่ยเทียนพยักหน้า มองไปที่ถังเหวินหย่วน “เราไปก่อนนะ อย่างมากอีกสามวันก็กลับมา แล้วผมจะกลับปักกิ่งทันที”
จากบ้านมาสามเดือนกว่าแล้ว แม้จะโทรศัพท์กลับไปบ่อยๆ แต่ป้าใหญ่ในบ้านก็บ่นหนักมาก แม้แต่อวี๋ชิงหย่ายังร่ำร้องจะมาช้อปปิ้งที่ฮ่องกงให้ได้ เพราะว่าคิดถึงเยี่ยเทียนมาก
เครื่องบินส่วนตัวของกงเสียวเสี่ยวลำนี้ดูหรูหรากว่าของถังเหวินหย่วน สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้สิบสองคน นอกจากเยี่ยเทียน กงเสียวเสี่ยวและอาติง ยังมีบอดี้การ์ดอีกห้าคนและนักบินอีกสามคน
กงเสียวเสี่ยวดูอ่อนล้าเพราะขาดการพักผ่อน วันนี้เธอสวมชุดที่ดูเคร่งขรึม เปียผมยาวที่เคยถักตลอด วันนี้เปลี่ยนเป็นผมสยายยาวตรงกับหน้าม้าแบบทรงตุ๊กตา เธอบอกว่าตอนที่ฝูอี้ยังมีชีวิตอยู่ชอบให้เธอแต่งตัวแบบนี้
“อาจารย์เยี่ย คือ…ครั้งนี้จะหาร่างของสามีฉันเจอแน่ใช่ไหมคะ?” ตั้งแต่ขึ้นมาบนเครื่องกงเสียวเสี่ยวที่อดกลั้นอารมณ์ไว้ แต่สุดท้ายก็อดถามออกมาไม่ได้
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบว่า “คุณนายกง วางใจเถอะ สามีคุณนายเป็นคนถ่อมตน ปกติก็ใจบุญสุนทาน ผมจะไม่ยอมให้ร่างของเขาต้องอยู่ในที่รกร้างแน่นอน”
ครั้งแรกที่ฝูอี้ถูกลักพาตัว เขาเป็นแค่เศรษฐีที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง จนถึงตอนที่คดีดังขึ้น คนอื่นถึงจะรู้ว่าเขามีฐานะ และข่าวว่าฝูอี้ที่เป็นคนใจบุญก็ได้แพร่ออกไปด้วย
ถังเหวินหย่วนเล่าให้เยี่ยเทียนฟังว่าช่วงกลางของยุคปี 80 ฝูอี้เคยบริจาคเงินกว่าร้อยล้านหยวนให้องค์กรในพื้นที่ ถ้าไม่อายุสั้นเสียก่อนตำแหน่งหัวหน้าพรรครัฐบาลคงไม่ตกไปถึงมือคนปัจจุบันแน่นอน
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เยี่ยเทียนคงไม่รับปากออกตามหาให้เปลืองแรง แต่สามีภรรยาคู่นี้ เป็นผู้ที่สมควรแก่การเคารพยกย่อง
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี” ที่กงเสียวเสี่ยวถามไม่ได้อยากได้คำตอบนัก เพียงแต่เพื่อชวนคุยลดความตึงเครียด และความเจ็บปวดในใจของตัวเองลง
ระยะทางระหว่างฮ่องกงถึงไต้หวันไม่ได้ไกลมาก แค่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เครื่องบินส่วนตัวก็เดินทางมาถึงไต้หวัน เครื่องลงจอดสนิทแล้ว มีรถบัสระดับกลางคันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาจอดข้างเครื่องบิน
กงเสียวเสี่ยวรวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้น รอจนคนอื่นๆ ย้ายไปขึ้นรถกันหมดแล้ว เธอกล่าวกับคนขับรถ อย่างเรียบเฉยว่า “ไปโรงแรม”
ตามความต้องการของเยี่ยเทียน ตอนที่เขาอยู่ฮ่องกงจะร่ายเวทย์ไปถึงไต้หวันระยะทางก็ไกลเกินไป แม้จะสัมผัสได้ว่าร่างไร้วิญญาณของฝูอี้น่าจะอยู่ในบริเวณเมืองเกาสง แต่การจะระบุตำแหน่งที่แน่ชัดยังต้องคำนวณดูอีกครั้ง
นี่เป็นการมาไต้หวันครั้งแรก เยี่ยเทียนตื่นตาตื่นใจมองดูทัศนียภาพภายนอกหน้าต่างรถ
มองออกไปจากตัวรถ ทิวทัศน์บรรยากาศไม่ต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่มากเท่าไหร่ ผู้คนเป็นคนผิวเหลืองผมดำ คล้ายกับชาวจีนดั้งเดิม เยี่ยเทียนมองดูแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่งในประเทศจีน
กงเสียวเสี่ยวเห็นเยี่ยเทียนตื่นตาตื่นใจพูดทักขึ้นว่า “เยี่ยเทียน คุณมาไต้หวันครั้งแรก เดี๋ยวฉันจะให้คน พาคุณเที่ยวชมรอบเมืองเกาสง”
เยี่ยเทียนส่ายหัว “ไม่ต้องหรอกครับ รอให้หาร่างของคุณฝูอี้เจอก่อน แล้วผมจะรีบกลับฮ่องกงทันที”
การมาไต้หวันครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกเบิกบานใจนัก ในใจลึกๆ ยังรู้สึกถึงความหวั่นใจอย่างประหลาด เหมือนว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
กงเสียวเสี่ยวให้คนจองห้องชุดของโรงแรมห้าดาวเอาไว้แล้ว พอมาถึงโรงแรม เยี่ยเทียนเข้าห้องพัก แล้วสั่งอาติงว่าห้ามคนนอกเข้ามาเด็ดขาด
นำเอาของที่มีคราบเลือดครั้งสุดท้ายของฝูอี้ออกมา เยี่ยเทียนเริ่มทำพิธีวาดค่ายกลเรียกวิญญาณบนพื้นห้องโรงแรม เมื่อค่ายกลเสร็จสมบูรณ์ เยี่ยเทียนซึ่งเสียพลังไปมากก็หลับไปอย่างอ่อนแรง
เยี่ยเทียนหลับลึกจนถึงเที่ยงคืนถึงจะรู้สึกตัวตื่นพลิกตะแคง รู้สึกได้ถึงพลังชี่ดั้งเดิมในร่างกาย เขาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ แล้วหายใจเข้าออก
เมืองเกาสงตั้งอยู่ริมทะเล ตกดึกมักจะมีฝนตกพรำ เมื่อฟ้าสางฝนตกหนักขึ้น เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมองออกไป นอกหน้าต่าง วิวภายนอกปกคลุมไปด้วยหมอกหนามองอะไรไม่ชัด
“อย่างนี้ก็ลำบากแล้วสิ!”
เยี่ยเทียนสั่นหัว น้ำฝนมักจะดูดกลืนพลังลมปราณไว้ การทำนายเหตุการณ์ในท้องทะเล มักยากกว่าการทำนายบนพื้นดิน ฝนตกหนักแบบนี้การผูกกว้าทำนายต้องสิ้นเปลืองพลังมากกว่าปกติ
ค่ายกลที่วาดจากเลือดสดนั้นไม่คงทน เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุด คงทำได้แค่ดันทุรังทำนายไป แล้วหยิบเอา”เหรียญโบราณต้าฉีทงเป่า” กับเหรียญสัมฤทธิ์สามอันออกมาเริ่มการทำนาย
ค่ายกลเรียกวิญญาณที่วาดด้วยเลือดของฝูอี้ ตอนที่เยี่ยเทียนทำนาย มีลมหายใจเบาบางที่ไม่มีรูปร่าง แผ่กระจายออกมา นี่เป็นข้อความที่ฝูอี้เหลือไว้ในลมหายใจสุดท้าย
หลายร้อยปีมานี้ โลกตะวันตกมีความเชื่อเรื่องวิญญาณ หลายคนเชื่อว่าพอตายแล้ววิญญาณจะยังคงอยู่ วิญญาณเหล่านั้นเพียงแต่มีชีวิตอยู่ด้วยวิธีอื่น
พวกเขาเชื่อว่าร่างกายของคนเป็นเพียงเครื่องมือ ให้วิญญาณเป็นผู้สั่งการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังนั้นชีวิตจะต้องประกอบด้วยวิญญาณเป็นหลัก ถ้าตายไปแล้ววิญญาณจะล่องลอยออกท่องเที่ยวไปในโลก
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า วิญญาณนั้นไม่มีจริง เป็นแค่จินตนาการที่ตอนที่เพิ่งตายใหม่ๆอาจจะมีอยู่จริง แต่บางคนที่จิตใจเคียดแค้นอาฆาตหรือยิ่งไปกว่านั้นคือ ความพยาบาทของพวกเขาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นพลังอาฆาต หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าวิญญาณร้าย
แต่การปรากฎของสิ่งเหล่านี้นั้นมักเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ความพยาบาทเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานชั่วร้าย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมในโรงพยาบาลจึงเป็นแหล่งสะสมของพลังพิฆาต
เพราะความแตกต่างมนุษย์แต่ละบุคคล พอตายไปแล้วจะยังหลงเหลือข้อความหรือสารสุดท้ายเอาไว้ เพียงแต่ข้อความสุดท้ายนี้ช่างบางเบาเหลือเกิน ถ้าไม่ได้วิชาอาคมของเยี่ยเทียน ก็ไม่มีใครสามารถสัมผัสถึง
“ฮือ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้!”
หลังจากผูกกว้าทำนายแล้ว เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นฉับพลัน เขาพบว่าทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโรงแรม ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร มีพลังงานของข้อความปรากฏขึ้นอย่างเบาบางมาเชื่อมกับค่ายกลของเขา
เยี่ยเทียนตั้งจิตให้มั่น พลิกมือหยิบเอาจานเข็มทิศที่ตกทอดมาจากอาจารย์ แล้ววางไว้ศูนย์กลางของค่ายกล มือขวาดีดนิ้ว ปากพึมพำคาถาแล้วสั่งว่า “นิ่ง!”
ตามเสียงสั่งของเยี่ยเทียน ข้อความสุดท้ายของฝูอี้เป็นสายใยเชื่อมเข้ามาที่ค่ายกล อยู่ๆ ก็เหมือนถูกสะกดนิ่ง แล้วไหลรวมเข้ามาอยู่ในจานเข็มทิศ
หลังจากพลังงานอันเบาบางเข้าไปอยู่ในจานเข็มทิศแล้ว ค่ายกลที่ถูกวาดด้วยเลือดสดก็ค่อยๆ จางลงจนหายไป
“เรียบร้อย!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจอย่างโล่งอก ถือจานเข็มทิศขึ้นมาพลางอธิษฐานจิตถึงชื่อฝูอี้ มีพลังงานไหลเข้าสู่จานเข็มทิศ แล้วตัวเข็มก็หมุนติ้ว สุดท้ายปลายเข็มได้ชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
เยี่ยเทียนเดินออกจากห้องนอนของตัวเองไปเคาะประตูห้องอาติง “อาติง เชิญคุณนายกงมาได้แล้ว แล้วก็สั่งอาหารเช้ามาสามที่ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว!”
การบริการสำหรับห้องชุดสูทของโรงแรม แน่นอนว่าต้องดีที่สุด เมื่อกงเสียวเสี่ยวมาถึง โต๊ะอาหารเช้าเป็นอาหารทะเลชุดใหญ่ยกเข้ามาเสิร์ฟ ตอนนั้นเยี่ยเทียนไม่สนใจกงเสียวเสี่ยวแล้ว สนใจอาหารของตัวเองก่อน
หลังจากรับประทานจนอิ่มแล้ว กงเสียวเสี่ยวถามอย่างร้อนใจแล้ว “อาจารย์เยี่ย เป็น…เป็นอย่างไรบ้าง?”
เยี่ยเทียนหยิบกระดาษมาเช็ดปาก แล้วตอบว่า “หาเจอแล้ว อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร”
“จริง…จริงหรือ? งั้น…งั้นเรารีบไปกันเลยเถอะ!” ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ กงเสียวเสี่ยวลุกพรวดขึ้น จนทำแก้วชาตรงหน้าหกแล้วยังไม่รู้ตัว
เยี่ยเทียนหันไปมองนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “ฝนตกหนักขนาดนี้ จะขุดดินขึ้นมาไม่สะดวก คุณนายกง ไม่งั้น…เรารอให้ฝนซาลงหน่อยค่อยไป?”
จานเข็มทิศได้ชี้ไปในทิศทางที่ร่างของฝูอี้อยู่แล้ว เพียงแค่เดินทางไปตามทิศทางที่เข็มทิศชี้ก็จะหาพบ เยี่ยเทียนจึงไม่ได้รีบร้อนอะไร
“ไม่…ต่อให้ต้องขุดด้วยมือ ฉันก็จะขุดเอาร่างของอาอี้ออกมาให้ได้” กงเสียวเสี่ยวส่ายศีรษะยืนกรานหนักแน่น
“ก็ได้ เราไปกันเลย” ดูสภาพฝนภายนอก เยี่ยเทียนทนต่อความดื้อรั้นไม่ไหว ความรู้สึกหวาดหวั่นในใจยิ่งทวีคูณขึ้น
เยี่ยเทียนอึดอัดใจอย่างประหลาด ชาญ ทองทวนถูกจัดการไปแล้ว นักฆ่าก็ถูกอาติงจับโยนลงทะเล ยังจะมีใครมาปองร้ายเขาอีกหรือ?
เยี่ยเทียนไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันก่อน กลับก่อให้เกิดความโกรธแค้นฝังลึก ก่อนที่เขาจะมาถึงไต้หวันเพียงหนึ่งวัน ได้มีกลุ่มคนยี่สิบกว่าคนเดินทางมารอเขาที่เมืองเกาสงแล้ว
……