หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 342 วงการบันเทิง

ตอนที่ 342 วงการบันเทิง

งานเลี้ยงอาหารค่ำที่เหวินหลวนสงจัดขึ้นน่าจะยังไม่เริ่ม ส่วนแขกทยอยนั่งตามแต่ละจุดของสวนดอกไม้ แต่แขกส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาว เหวินหลวนสงนำเยี่ยเทียนตรงเข้าไปที่ห้องรับแขก และในห้องนี้ก็มีคน กำลังนั่งคุยกันอยู่สี่ห้าคน

เหวินหลวนสงกับเยี่ยเทียนเพิ่งก้าวเข้าห้องรับแขก คนวัยกลางคนที่อยู่ด้านในต่างก็ลุกขึ้นมา และหนึ่งในนั้นออกเสียงถามว่า “คุณเหวิน คุณคนนี้คือ?”

คนที่กำลังพูดอยู่ตัวไม่สูงมากนัก แต่มีสายตาที่แหลมคม ร่างกายก็แข็งแรง แม้ว่าเขาจะสวมสูทและรองเท้าหนัง ก็ตาม แต่มันก็ยากที่จะซ่อนกลิ่นอายความบ้านนอกของเขา

เหวินหลวนสงแสดงความอบอุ่นด้วยการดึงเยี่ยเทียนเข้ามาและพูดว่า “อาเซิ่ง ผมขอแนะนำให้คุณรู้จัก คนนี้คือปรมาจารย์เยี่ย เป็นศิษย์น้องสำนักเดียวกันกับปรมาจารย์จั่ว ความสามารถไม่แพ้ปรมาจารย์จั่วแน่นอน!”

“ปร…ปรมาจารย์เยี่ย?”

คนวัยกลางคนที่ชื่ออาเซิ่งได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปสักครู่ ดวงตามองไปที่เหวินหลวนสงและพูดว่า “คุณเหวิน คน…คนนี้ก็คือปรมาจารย์เยี่ย คนที่คุณจะแนะนำให้กับพวกเรา?”

ในฮ่องกง ชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นรู้กันถ้วนหน้าแม้แต่คนข้างทาง เขามีความสันพันธ์ที่ลึกซึ้งกับมหาเศรษฐีของฮ่องกง จำนวนมาก ดังนั้นเขาสมควรแล้วที่จะถูกเรียกขานว่าปรมารจารย์

แต่เยี่ยเทียนอายุยังน้อย และไม่เคยทำอะไรออกมาให้เห็น แต่เพราะเหวินหลวนสงเรียกขานเขาว่าปรมาจารย์ ทำให้คนวัยกลางคนที่อยู่ในห้องนั้นชำเลืองมองซึ่งกันและกัน

“ถูกต้อง อาเซิ่ง คุณอย่าดูถูกปรมารจารย์เยี่ยที่อายุน้อย แม้แต่ปรมาจารย์จั่วก็ยังชื่นชมในตัวเขา”

เหวินหลวนสงกลัวว่าเพื่อนเหล่านี้ของเขาจะดูถูกเยี่ยเทียน เขาจึงรีบพูดชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นออกมา และตอนนี้เองคนเหล่านี้เพิ่งมองเห็นหลิวติงติงกับอาติงที่อยู่ด้านหลังของเยี่ยเทียน สีหน้าแปลกประหลาดไปทันที

ดูเหมือนว่าอาเซิ่งกับอาติงจะสนิทกัน เดินไปด้านข้างของอาติงและพูดว่า “พี่ติง พี่มาได้ยังไง? ไม่ต้องอยู่ดูแลคุณท่านถังหรือ?”

“อาเซิ่ง ช่วงนี้ฉันอยู่ดูแล นายน้อยมาตลอด” อาติงมองคนตรงข้ามไปแว๊บนึง กดเสียงต่ำและพูดว่า “ลำดับรุ่นของนายน้อยในแก๊งสูงมาก เวลาพูดอะไรให้ระวังหน่อย!”

“อะไรนะ?” หลังจากได้ยินอาติงพูดดังนั้น ครั้งนี้ทำให้อาเซิ่งรู้สึกตกใจจริงๆ ใบหน้าที่ดูน่าตกใจปรากฏขึ้น บนใบหน้าของเขา

เมื่อก่อนอาติงเคยติดตามคุณท่านของบ้านเขามาก่อน ถ้านับตามลำดับรุ่นจะต้องเรียกเขาว่าพี่ติงด้วยซ้ำ ตั้งแต่ออกจากยุทธภพและติดตามถังเหวินหย่วน ก็ยิ่งทำให้ตัวตนของเขานั้นบริสุทธิ์ ถึงแม้อาติงจะเป็นเพียงบอดี้การ์ด แต่เวลาที่อยู่ฮ่องกงไม่ว่าจะเป็นพวกสายดำหรือพวกสายขาวก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา

บุคคลที่ทำตัวกระด้างกระเดื่องตลอดเวลาอย่างอาติงกลับเรียกเขาคนนั้นว่า”นายน้อย” มันพิสูจน์ได้แล้วว่าตัวตนของคนนั้นไม่ธรรมดา และที่สำคัญจากคำพูดของอาติง เขายังเป็นคนของแก๊งด้วย?

ข้อนี้ทำให้อาเซิ่งไม่เข้าใจที่สุด เหตุผลเพราะว่าพ่อของตนมีตำแหน่งที่สูงมากในแก๊งของฮ่องกง ในโลกใต้ดินของฮ่องกงอาจกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่ใช้มือข้างเดียวปกคลุมท้องฟ้าก็ว่าได้ แต่ว่าปรมาจารย์เยี่ย นี่สิที่เขาไม่เคยได้ยินเลย?

“น้องเยี่ย คุณคนนี้ชื่อหวาเซิ่ง เจ้าของบริษัทภาพยนตร์หวาเซิ่ง คุณคนนี้คือหยางต้าเฉิง พี่ต้าเฉิงคือคนคัดท้ายเรือ ของอิงหวงกรุ๊ป…”

เหวินหลวนสงแนะนำคนที่อยู่ตรงหน้าให้กับเยี่ยเทียนไปหนึ่งรอบ ทุกคนล้วนเป็นเถ้าแก่ของบริษัทภาพยนตร์ ขนาดใหญ่ของฮ่องกงทั้งนั้น ภาพยนตร์มากมายที่เยี่ยเทียนเคยดูก็ผลิตจากบริษัทของพวกเขา

ส่วนหวาเซิ่งคนนั้น เยี่ยเทียนคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพราะว่าหวาเซิ่งเคยรับบทนักฆ่าในหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งเขาเคยดูเมื่อนานมาแล้ว และคนที่รับบทต่อกับเขาก็คือราชาภาพยนต์โจวเหวินฟะนั่นเอง

“น้องเยี่ยเป็นคนที่อายุน้อยแต่มากประสบการณ์จริงๆ วันหลังขอเชิญไปเป็นแขกที่บริษัทหวาเซิ่งนะ…”

หวาเซิ่งรอเหวินหลวนสงแนะนำแขกในห้องจนหมด เขายิ้มและยื่นมือไปหาเยี่ยเทียน เขาไม่เชื่อคำพูดของ อาติงเท่าไหร่ จึงยื่นมือไปทดสอบฝีมือของเยี่ยเทียน

“คุณหวานี่เกรงใจเกินไปแล้ว” เยี่ยเทียนยิ้ม ยื่นมือออกไปทักทายกับมือทั้งสองข้างของหวาเซิ่งเหมือนไม่รู้เรื่อง

“ขอโทษด้วยครับ!”

หลังจากกุมมือของเยี่ยเทียนแล้ว หวาเซิ่งค่อยๆเพิ่มแรงมากขึ้น หลายปีที่ผ่านมานี้ถึงแม้จะทำงานอย่างหนักหน่วง แต่เขาไม่เคยละเลยการฝึกฝนฝีมือเลยแม้แต่วันเดียว

พ่อของหวาเซิงเป็นพลตรีของพรรคก๊กมินตั๋งในสมัยนั้น หลังจากที่พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้กองทหารในเกาะไต้หวัน เขาได้เดินทางมาพัฒนาตนเองที่ฮ่องกง พึ่งพาเงินทองและลูกน้องในมือจนก่อตั้งบริษัทซินอันขึ้น และถูกมองว่า เป็นผู้ก่อตั้งแก๊งซินยี่อัน

หวาเซิ่งรับช่วงธุรกิจของครอบครัวมาทำต่อในช่วงต้นของยุค 80 ตอนนั้นสภาพแวดล้อม การอยู่อาศัยของแก๊งฮ่องกง ลำบากถึงขั้นสูงสุด

หวาเซิ่งจึงหาวิธีทางใหม่โดยการร่วมมือกับพี่ชายของตนหวาเฉียงก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์บันเทิงหวาเซิ่งขึ้นมาและพึ่ง พาความสัมพันธ์ต่างๆ นาๆ พัฒนาจนยิ่งใหญ่ขึ้น

จนถึงทุกวันนี้ บริษัทหวาเซิ่งถือว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงของเกาะฮ่องกงก็ว่าได้ และหวาเซิ่งเอง ก็กระโดดข้ามจากสมาชิกของแก๊งกลายมาเป็นเจ้าสัวของวงการบันเทิง การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ทำให้หลายคน ทึ่งไปตามๆ กัน

เรื่องเหล่านี้เป็นที่รู้กันในหมู่คนฮ่องกง แต่สำหรับเยี่ยเทียนเขากลับไม่รู้เรื่องอะไร เขาเพียงแต่สงสัยว่าหวาเซิ่ง ที่เป็นเจ้าของใหญ่ของบริษัทหนึ่ง ทำไมถึงมีฝีมือที่ไม่เลวเช่นนี้

“หืม?”

ขณะที่มือของหวาเซิ่งค่อยๆเพิ่มแรง จู่ๆเขาก็รู้สึกว่ามือของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นนุ่มขึ้น เหมือนกับแป้ง ที่ให้เขานวดอย่างอิสระ

“แย่แล้ว……”

หลังจากที่สัมผัสถึงมือที่เปลี่ยนไปของเยี่ยเทียน หวาเซิ่งตะโกนอย่างลับๆ และรีบคลายมือออกทันที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาไม่สามารถคลายมือออกแล้ว มือขวาที่อ่อนนุ่มเหมือนไม่มีกระดูกของฝ่ายตรงข้าม จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นมือแข็งดั่งเหล็กทองในทันทีทันใด

เยี่ยเทียนกุมมือของหวาเซิ่งและเขย่าสองครั้ง ยิ้มและพูดว่า”ฝีมือของคุณหวาไม่เลวทีเดียว อยู่ตำแหน่งที่สูงขนาดนี้แต่ก็ยังขยันฝึกฝนฝีมือ หายากจริง…หากยากจริงๆ”

“ไม่หรอกครับ ไม่หรอกครับ เทียบกับคุณเยี่ยแล้ว ของผมไม่สมควรเอ่ยถึงเลยครับ”

สองมือที่กุมมือซึ่งกันและกันเอาไว้ยังไม่ถึงสิบนาที แต่หน้าผากของหวาเซิ่งเริ่มมีเม็ดเหงื่อละเอียดซึมออกมา คนที่อยู่ด้านข้างหากเขาตั้งใจสังเกตจะสามารถมองเห็นอาการสั่นเล็กน้อยของมุมปากของหวาเซิ่ง

เหวินหลวนสงดูออกแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจึงเปิดปากพูดว่า “น้องเยี่ย พวกคุณกำลัง?”

“เหอะเหอะ ไม่มีอะไรอะไรหรอก”เยี่ยเทียนไม่ทำให้หวาเซิ่งลำบากใจอีกต่อไป ตั้งแต่เหวินหลวนสงเปิดปากพูด เขาก็ได้คลายมือออกแล้ว และยิ้มพร้อมกับพูดว่า”วันหลังถ้าหากมีโอกาส ผมจะขอคำสั่งสอนจากคุณหวาเยอะๆเลยนะครับ”

“ปรมาจารย์เยี่ยพูดเกรงใจไปแล้ว น่าจะกระผมหวาต่างหากที่จะต้องมาขอคำสั่งสอนจากปรมาจารย์เยี่ย!”

หลังจากที่เยี่ยเทียนคลายมือออก หวาเซิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ มือขวาอดไม่ได้ที่เกิดอาการสั่น สายตาจ้องมองไปที่เยี่ยเทียนพร้อมกับความหวาดกลัว และไม่กล้าดูถูกแม้แต่เล็กน้อยอีกต่อไป

“เอาหล่ะ แขกก็มากันพอสมควรแล้ว อาเซิ่ง เยี่ยเทียน ไปกัน พวกเราออกไปกันเถอะ”

เหวินหลวนสงดูออกว่าหวาเซิ่งเสียเปรียบกว่าเล็กน้อย เกรงว่าทั้งสองคนจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก มือแต่ละข้างก็ดึงคนไว้หนึ่งคนและเดินออกไปฝั่งสวนดอกไม้

เยี่ยเทียนยิ้มและส่ายหัว ภายในใจของเขาไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขามา ร่วมงานชุมนุม เขามักเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้อยู่บ่อยๆ

หลังจากเดินมาถึงที่สวน หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวหน้าตาสะสวยเดินมาข้างๆเหวินหลวนสง เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมองเธอหนึ่งครั้ง ถอยไปข้างหลังอย่างเงียบๆ

ผู้หญิงคนนี้ถึงแม้หน้าตาสะสวย แต่คางแหลมเกินไป ที่สำคัญโหนกแก้มสูงและเนื้อแก้มน้อย และเป็นประเภทใบหน้าที่ไม่ถูกชะตากับผู้ชายแบบนั้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือ นางเอกที่เหวินหลวนสงกำลังดันอยู่ตอนนี้

“น้องเยี่ย และคนอื่นๆ ผมขอตัวสักครู่” เขาเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินมาทางนี้ เหวินหลวนสงจึงขอตัวกับทุกคนและเดินเข้าไปต้อนรับพวกเขา และจับมือของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้

“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เพื่อนๆทุกคน ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณไช่ในค่ำคืนนี้ ให้พวกเราร่วมกันอวยพรคุณไช่ให้สาวและไม่แก่ลงครับ!”

ถ้าจะให้พูดถึงเหวินหลวนสงมีความสัมพันธ์กับดาราสาว หนึ่งคือฟาดด้วยเงิน สองคือมีฝีมือจริงๆ คำอวยพรพวกนั้นทำให้ดาราสาวตาเป็นประกาย แสดงการมีความสุขอย่างเต็มใบหน้า และหันไปหอมเหวินหลวนสงฟอดใหญ่ ต่อหน้าแขกในงาน

“เค้ก!”

เหวินหลวนสงแค่ชูฝ่ามือขึ้น ไฟที่อยู่ในสวนทั้งหมดก็ดับลง ตรงหน้าประตูมีรถเข็นอาหารที่ส่องแสงไปทั้งคัน กำลังเข็นเข้ามาอย่างช้าๆ บนรถเข็นอาหารถูกวางไว้ด้วยเค้กก้อนใหญ่ที่มีทั้งหมด 18 ชั้น ข้างหูยังมีเพลงอวยพรวันเกิด ภาษาอังกฤษดังขึ้น

ในตอนนี้ดาราสาวผู้นั้นตื้นตันจนน้ำตาคลอ ภายใต้ความช่วยเหลือของเหวินหลวนสง เค้กก้อนนั้นถูกตัดแบ่งและถูกมอบให้กับแขกรอบๆ ตัว จากนั้นในสวนดอกไม้ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

แต่ดาราสาวที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับความสุขกลับไม่รู้เลยว่า หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ไป เหวินหลวนสงจะบอกเลิกกับเธอ และนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เหวินหลวนสงจะใช้จ่ายเพื่อเธอ

“อดีตกลายเป็นหมอกควัน สลายไปต่อหน้าเราสอง แม้เอ่ยคำลาออกไป แต่กลับไม่เห็นว่าเธอเศร้าเสียใจ”

เพลงรักหนึ่งเพลงดังขึ้น ยิ่งทำให้บรรยากาศในงานถึงขีดสูงสุด มีบางคนที่สนใจและขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเพลงนี้ดูไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้หรือเปล่า?

“จางเสวียโหย่ว คุณอา นั่นมันจางเสวียโหย่วนี่!”

หลังจากได้ยินเสียงเพลง หลิวติงติงตื่นเต้นจนลุกขึ้นเต้น ไม่แม้แต่จะสนใจเยี่ยเทียน หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าตนเอง คือผู้หญิง ก็คงกรี๊ดออกมานานแล้ว

มองดูคนที่เห็นไอดอลจนไอคิวตกไปที่ศูนย์อย่างหลิวติงติง เยี่ยเทียนหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เหลือบมองครู่นึงพบว่าหลังจากที่อาติงถูกหวาเซิ่งดึงเอาไว้และพูดคุยอยู่นั้น เยี่ยเทียนก็แอบหนี ออกจากลุ่มคน มานั่งลงที่มุมหนึ่ง

ทุกครั้งที่เข้าร่วมงานเลี้ยงหรูหราเหล่านี้ เยี่ยเทียนมักจะรู้สึกแปลกแยกอยู่เสมอ แต่งานวันนี้ไม่น่าเบื่อเท่าไหร่ เพราะว่าสิ่งที่เห็นได้ด้วยสายตา ล้วนแต่เป็นซุปเปอร์สตาร์ที่คุ้นเคย

ซุปเปอร์สตาร์เหล่านี้ ในวันปกติที่หรูหราฟุ้งเฟ้อ แต่ตอนนี้กลับราบเรียบอย่างมาก เนื่องจากคนในงานนั้นเป็นทั้งหัวหน้าวงการบันเทิงหรือเถ้าแก่ มหาเศรษฐีของห้างสรรพสินค้าทั้งนั้น เวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขา ตนเองเป็นเพียงตัวละครระดับสูงนิดหน่อยคนหนึ่งเท่านั้น

ที่จริงแล้วซุปเปอร์สตาร์เหล่านี้เบื้องหน้าน่าประทับใจ แต่เบื้องหลังของพวกน่าสงสารมาก ก็เหมือนกับ เมื่อหลายปีก่อน ซุปเปอร์สตาร์มากมายล้วนถูกบังคับให้ถ่ายภาพยนต์ทั้งนั้น พวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่า เป็นเครื่องมือสร้างรายได้เพื่อชื่อเสียงของนักล่าเหล่านี้

“อ้า ปล่อย ปล่อยมือของเธอเดี๋ยวนี้นะ!”

จู่ๆ ก็มีเสียงร้องดังออกมาจากสวนดอกไม้ เยี่ยเทียนตะลึงไปครู่นึง มองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเพราะเขาได้ยินเสียง ผู้หญิงที่คุ้นเคยมาก

ในเวลานี้ไฟในสวนยังไม่ถูกเปิด แต่ว่าสายตาของเยี่ยเทียนสามารถมองเห็นคนสองคน ที่ดึงกันไปดึงกันมา อยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก ใบหน้าของเขาก็แสดงความโกรธแค้นออกมา

“อาฮุย หยุดนะ คุณทำอะไร? ที่นี่เป็นสถานที่ที่ทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ?” เยี่ยเทียนยังไม่ทันเดินไปถึงจุดนั้น ไฟก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงตำหนิจากเหวินหลวนสง

 ………..

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset