“แหะๆ อาสง คุณกับผมก็เหมือนกัน นั้นก็เป็นความบันเทิง เรื่องของบริษัทอย่าไปกังวลก่อนเลย…”
หลังจากได้ยินเหวินหลวนสง จั่วเจียจวิ้นก็หัวเราะดังขึ้นมา กลับไม่ไดัรับน้ำใจในครั้งนี้ ฐานะของเขาในปัจจุบัน เพราะหยกไม่กี่ชิ้นเป็นหนี้บุญคุณน้ำใจ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
เหวินหลวนสงรู้ว่าหยกไม่กี่ชิ้นนี้ก็คงไม่อยู่ในสายตาของจั่วเจียจวิ้นอย่างแน่นอน ตอนนั้นได้หัวเราะขึ้นมา พูดว่า “อาจารย์จั่ว ไม่อย่างนั้นพวกเราลองมาประลองกันไหม ดูว่าใครจะได้หยกดีที่สุด เป็นยังไง”
คำพูดของเหวินหลวนสงนี้กลับไม่ได้มีความหมายยั่วยุอะไร คนฮ่องกงอยู่ใกล้กับเกาะมาเก๊า แทบจะไม่มีใครที่ไม่ เล่นการพนัน ข้อเสนอแนะของเขาคือการเพิ่มโชคลาภในการซื้อขายในครั้งนี้
นี่เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในวงการเศรษฐี ก็เหมือนตอนที่หลี่เชาเหรินที่นัดฮั้วต้าเหิงตีกอล์ฟ มักจะมีการเล่นการพนันกอล์ฟ นัดหนึ่งจะมีราคาหนึ่งแสนดอลลาร์
แน่นอน ฐานะบ้านพวกเขา เงินที่เดิมพันนี้ไม่มีอะไรมาก ยิ่งกว่านั้นไม่ได้ทำร้ายน้ำใจอะไรกัน นี่ก็คือความสุข ของการเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ
“ดี ถ้าคุณสนใจ ชายชราคนนี้จะพนันเป็นเพื่อนคุณ”
จั่วเจียจวิ้นก็ไม่ได้สนใจในคำเชิญของฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นก็พูดว่า “อาสง ถ้าคุณชนะผมได้ ผมจะช่วยคุณทำนาย ดวงชะตาให้ ส่วนเรื่องน้องชายของคุณ ก็ไม่ต้องถามอะไรเยอะ เป็นการละเมิดสวรรค์และไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้”
หลังจากที่ได้ยินจั่วเจียจวิ้น สีหน้าของเหวินหลวนสงดูอึดอัดใจ ถามอย่างสงบเสงี่ยมว่า“ครับ อาจารย์จั่ว ผมจะไม่ถามถึงเขาอีกแล้ว วันนี้ผมคงต้องแพ้แล้ว หินดั้งเดิมที่ผมซื้อมาทั้งหมดก็คืนให้คุณแล้ว”
จั่วเจียจวิ้นไม่กี่ปีมานี้น้อยมากที่จะทำนายดวงชะตาให้คนอื่น ใช้ทองพันชั่งมาบรรยายตัวเขาก็ถือว่าน้อยเกินไป เหวินหลวนสงรู้ว่าถ้าตัวเองแพ้ จะทำให้อาจารย์จั่วมีความสุขได้ นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่ามาก
หลังจากที่ยืนยันว่าจะลงพนันกับเหวินหลวนสง จั่วเจียจวิ้นมองไปที่เยี่ยเทียน แล้วพูดว่า “ศิษย์น้อง ฉันจะเลือกก้อนหินมาไม่กี่ก้อน แกตามฉันมาก็พอ เดี๋ยวฉันจะเล่นสักรอบสองรอบ ถ้าไม่สนใจ ก็ไปดื่มชาที่ตรงนั้น”
“ศิษย์พี่ ไม่ต้องมาดูแลผมหรอก ไม่แน่ผมอาจจะไปพนันหินสักสองสามก้อนเล่นก็ได้”
ฉากนี้กลับเป็นฉากที่เหวินหลวนสง จดจำได้ขึ้นใจ ไม่รู้ว่าศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้นมาจากไหน ทำให้เขาใส่ใจขนาดนี้ในใจของเหวินหลวนสงกลับมีความคิดที่อยากจะคบหาเยี่ยเทียนขึ้นมา
จั่วเจียจวิ้นเรียกหลานสาวมา พูดว่า “ได้ งั้นก็ให้ติงติง ไปเดินไปเป็นเพื่อนแกหน่อย”
“ได้ ศิษย์พี่ พี่ไปทำธุระเถอะ” รอหลังจากที่จั่วเจียจวิ้นและเหวินหลวนสงจากไป เยี่ยเทียนถามว่า “ติงติง เหวินหลวนสงคนนั้นมาหาศิษย์พี่เพื่อดูดวงเหรอ”
เยี่ยเทียนมองใบหน้าของเหวินหลวนสง ถึงแม้ว่าจะมีดวงดอกท้อ แต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อโชคลาภทางการเงิน และโชคลาภในช่วงวัยกลางคนนั้นจะแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็สิบปีโดยไม่มีปัญหาใดๆ
แต่คางของเหวินหลวนสงสั้นไปหน่อย เกรงว่าหลังจากที่ผ่านอายุหกสิบจะเกิดเรื่องยุ่งยากไม่หยุด และไม่แน่ว่าอาจจะติดคุกได้
“อาเล็ก คุณอาที่เจ้าชู้คนนั้นมาหาคุณตาตลอดตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่คุณตา ไม่ชอบพวกคนที่เล่นหุ้นจึงไมค่อยยุ่งด้วย คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้การพนันหินมาดึงดูดคุณตา…”
เห็นได้ชัดว่าหลิวติงติงมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับเหวินหลวนสง แต่เรื่องนี้เธอก็เข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่จริงหลังจากการเริ่มต้นของความวุ่นวายทางการเงินในเอเชียเมื่อปีที่แล้ว ธุรกิจของเหวินหลวนสงก็มีปัญหามาก ทรัพย์สินของเขาหดตัวลงอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่อึดอัดมาก เลยคิดถึงคำแนะนำของ จั่วเจียจวิ้น เมื่อสิบปีที่แล้ว
สิบปีก่อนจั่วเจียจวิ้นเคยดูดวงให้กับเหวินหลวนสง ให้เขาระวังช่วงวัยกลางคนไว้ ไม่อย่างนั้นในตอนอายุ 46 จะเสียทรัพย์สิน ถ้านับปีที่แล้วตัวเองเพิ่งจะอายุ 46 ปีพอดี เหวินหลวนสงตอนนี้ก็มาเจอกับจั่วเจียจวิ้น เลยอยากจะสอบถาม หาทางแก้ปัญหา
“ศิษย์พี่บอกว่าพี่ชายคนนั้นเป็นใครนะ”เยี่ยเทียนถามต่อ
“คนนั้นคือครอบครัวที่รวยชั่วข้ามคืน เมื่อก่อนเคยเป็นอัจฉริยะด้านอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่อายุยังน้อย วัยอายุยี่สิบก็กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน แต่ละวันก็เล่นดาราหญิงไปวันๆ ต่อมาเหวินหลวนสงก็เล่นหุ้นจนขาดทุน หลังจากประสบกับความวุ่นวายทางการเงิน ครั้งนี้ทรัพย์สินในตระกูลของเขาก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง
หลิวติงติงมีประสบการณ์ที่แย่กับคนนั้น ตอนที่พูดมีใบหน้าที่ดีอกดีใจกับความโชคร้ายของคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด หรือในสายตาของผู้หญิง ผู้ชายเจ้าชู้ไม่ใช่คนดีใช่ไหม
“ติงติง เธอมาที่นี่ได้ยังไง” ในขณะที่เยี่ยเทียนและหลิวติงติงคุยกันอยู่ตรงนั้น เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา
หลิวติงติงก็มองไปยังที่มาของเสียง ตำแหน่งนั้นอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนสี่ห้าเมตร ผู้ชายหนึ่งผู้หญิงหนึ่งที่ยืนอยู่ หันมาโบกไม้โบกมือให้กับตัวเองมีสีหน้าดีอกดีใจ ตะโกนเสียงดังว่า “นันนัน เฮ้ ยัยลูกบอลก็มาแล้ว”
เสียงของหลิวติงติงดังมาก ดึงดูดให้คนรอบข้างต่างก็มองไปที่ชายหญิงคู่นั้น ทั้งคู่ดูมีสีหน้าที่ดูอึดอัดใจ เดินมาด้านข้างหลิวติงติงอย่างอารมณ์ไม่ดี เดินมาชนแขนด้านหลังแล้วพูดว่า “หลิวติงติง ไม่อนุญาตให้เธอตะโกนชื่อเล่นพวกเราออกมา ยัยอ้วน”
“เอาล่ะ ที่ฉันตะโกนออกไปเพราะไม่ใช่ดีใจหรือยังไง” หลิวติงติงรีบขอความเมตตาแต่โดยดี
“ดีใจก็ไม่ให้ตะโกน”
เด็กหญิงคนนั้นมองมาที่เยี่ยเทียน ทันใดนั้นใบหน้าก็ปรากฏความเจ้าเล่ห์ออกมา ยิ้มพูดว่า “คุณติงติงของพวกเรามีความรักเมื่อไหร่กันทำไมจู่ๆไม่พูดไม่จาก็มีแฟนแล้ว”
“เธออย่าพูดจามั่วซั่วสิ…”
หลิวติงติงตกใจกับคำพูดของหญิงสาวคนนั้น รีบปิดปากของเธอ พูดว่า “นั่นคือศิษย์น้องของตาฉัน ฉันต้องเรียกว่าคุณอา เธออย่าพูดมั่วซั่วเด็ดขาดนะ”
การฝึกฝนในวัยเยาว์ของเยี่ยเทียนนั้นสูงมาก ในสายตาของหลิวติงติงถือว่าเป็นตัวประหลาด มีบางอย่างที่ทำให้อาวุโสขึ้น เธอกับเยี่ยเทียนไม่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรเกิดขึ้นแน่นอน
“อาเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นถึงกับมีสายตาที่ตะลึง พูดต่อพลางเบะปาก “ใครจะเชื่อ หลิวติงติง เธอจะหลอกก็หาเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อย”
“ติงติง สองท่านนี้คือ” ในขณะที่ฟังทั้งสองพูดกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว ในใจของเยี่ยเทียนได้แต่ขำ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเที่ยววิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ทำให้เยี่ยเทียนกลับไม่ชิน
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หลิวติงติงก็ชี้ไปยังชายหนุ่มคนนั้นแล้วพูดว่า “อา เขาชื่อว่าฟ่านเฉ่ากั๋ว เขาเป็นผู้สืบทอดเครื่องประดับจินไท่ฟู่ ตอนเล็กๆ อ้วนราวกับลูกบาส ดังนั้นพวกเราก็เลยเรียกเขาว่าลูกบอล…”
ชายหนุ่มคนที่ถูกหลิวติงติงพูดถึงก็ทำหน้าอย่างจนปัญญา พูดออกมาว่า “หลิวติงติง ตอนที่เธอยังเล็กก็ไม่ผอมไปมากกว่าฉันหรอก”
“ไม่ต้องเรียกฉายาอีกแล้วนะ” ชายหนุ่มช่วยออกรับแทนแฟน
“ได้ ไม่เรียกแล้ว”หลิวติงติงยิ้มหัวเราะชอบใจ ชี้ไปที่หญิงสาวแล้วพูดว่า“อา เธอชื่อเหวินเหวิน เป็นเพื่อนสนิทของฉัน ชื่อเล่นของเธอคือ “นันนัน”
“ฉันอีกทีสิ” เหวินเหวินกับหลิวติงติงชอบหยอกล้อกัน เดินมาข้างหน้าเกาที่ตรงเธอคัน ทั้งสองก็หัวเราะด้วยกัน
“คุณเยี่ยท่านนี้…คุณเยี่ย คุณเป็นผู้อาวุโสของติงติงจริงเหรอ ”ฟ่านเฉ่ากั๋วพูดกับคนอื่นอย่างสุขุม มองไปที่แฟนสาวที่กำลังหยอกล้ออยู่ด้านข้าง กลับชวนเยี่ยเทียนพูดคุยด้วย
“ใช่ ผมกับตาของเธอมีความสัมพันธ์กัน ”เยี่ยเทียนยิ้มแล้วพยักหน้า ในใจก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อหลิวติงติงต้องมาเจอกับเพื่อนสนิทอย่างนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ฟ่านเฉ่ากั๋วถึงกับระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด
จั่วเจียจวิ้นเป็นใคร ฟ่านเฉ่ากั๋วก็รู้เป็นอย่างดี และเยี่ยเทียนก็เป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้น และแน่นอนก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสกว่าตัวเอง แค่เยี่ยเทียนเด็กเกินไปก็เท่านี้เอง ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะเรียกว่ายังไงดี
เยี่ยเทียนเป็นคนที่มีสายตาเฉียบแหลม ดูออกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นธรรมชาติ ในตอนนั้นก็ได้แต่ยิ้มพูดว่า “น้องฟ่าน พวกคุณคุยกันไปนะ ผมจะไปเดินคนเดียวก่อน…”
“เอ๋ อาฉันล่ะ”หลังจากที่สติของหลิวติงติงกลับมา เยี่ยเทียนก็หายไปจากข้างหน้าเธอแล้ว
หญิงสาวไม่ยอมปล่อยหลิวติงติงไป ยิ้มแล้วพูดว่า “ติงติง อาเธอคนนั้นหล่อจริงๆ นะ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉ่ากั๋วของฉัน”
“อะไร พวกคุณไม่รู้เหรอ อาของฉันเก่งมากๆ…” หลิวติงติงพูดถึงตรงนี้ถึงกับหยุดพูดทันที ไม่อยากพูดมากกว่านี้ ความสามารถวิชาอาคมไม่อยากให้คนอื่นรู้ ถ้าตารู้ว่าตัวเองพูดจาเหลวไหล ต้องถูกต่อว่าอย่างแน่นอน
……
เยี่ยเทียนเดินออกไปจากหลิวติงติงและคนอื่นๆตั้งนานแล้ว ในตอนนั้นเขายืนคิดอยู่ข้างวัตถุก้อนหนึ่ง ที่หนักถึงหนึ่งพันกิโลกรัม วัตถุก้อนนี้เป็นวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในงาน
นี่คือวัตถุหนึ่งก้อนที่พนันแบบครึ่งหนึ่ง ด้านข้างของวัตถุถูกให้เห็นช่องโหว่ใหญ่ๆอันหนึ่ง แค่ปาดครั้งเดียวมีดก็คงหัก เพราะช่องหน้าต่างที่เปิดออก เต็มไปด้วยผลึกหมอกสีขาว ไม่มีร่องรอยของหยกปรากฏขึ้นมาเลย
“วัตถุที่ใช้พนันทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยหิน ไม่สามารถรับรู้ถึงพลังด้านใน แต่วัตถุการพนันแบบครึ่งหนึ่งสามารถทำได้ ถ้าเปิดออกจากตรงนี้ ก็น่าจะรับรู้ได้แล้วใช่ไหม”
เมื่อครู่จั่วเจียจวิ้นได้อธิบายให้เยี่ยเทียนฟังถึงความแตกต่างระหว่างการพนันแบบเต็มและการพนันแบบครึ่ง เยี่ยเทียนก็ใช้ความคิด ถ้าเข้าไปในหลุมทรัพย์แล้วกลับมามือเปล่าก็คงไม่ใช่สไตล์ของเขา เมื่อได้มาแล้ว ก็น่าจะเอาอะไรกลับไปด้วยหน่อย
และคุณสมบัติพวกมรกตจะแข็งกว่าหยกหน่อย รวมทั้งเหมาะกับการใช้ในค่ายกล หากเจอคุณสมบัติหยกที่ดี วางไว้ในเรือนสี่ประสาน ผ่านไปหลายปีก็อาจจะกลายเป็นเครื่องรางได้
เยี่ยเทียนเคยสอบถามราคาของมรกต มรกตที่ดีมีราคานับสิบล้าน อาศัยฐานะตัวเองในตอนนี้ไม่สามารถซื้อได้แน่ๆ ดังนั้นได้แต่เอาความคิดไปวางไว้บนหินดั้งเดิม
แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เยี่ยเทียนดูเหมือนว่าจะยืนพิจารณาหินดั้งเดิมอยู่ตรงนั้น ความเป็นจริงพลังจากด้านในได้ทะลักออกมาจากด้านในร่างกายของเขา ค่อยๆ มุดเข้าไปที่ด้านหน้า หินดั้งเดิมที่เปิดออกนั้นอย่างเงียบๆ
“ไม่น่าล่ะถึงบอกว่าเป็นการพนันหิน ด้านในนี้ไม่มีพลังสักนิด ใครซื้อไปก็คงซวยน่าดู”
หลังจากที่พลังที่อยู่ในหินดั้งเดิมลอยไปสักครู่ใหญ่ๆ ใบหน้าของเยี่ยเทียนมีสีหน้าที่ผิดหวังเมื่อตอนที่เก็บพลัง จู่ๆ คิ้วก็ยกขึ้น
“อืม นี่…หรือว่าเป็นหยกเหรอ” สายตาของเยี่ยเทียหันไปจ้องที่มุมขวาของหินดั้งเดิม เพราะเขารับรู้พลังได้จากตรงนั้น
ไม่เหมือนกับกระแสพลังหยินหยาง พลังในก้อนหินนี้แฝงด้วยความเยือกเย็นและความเงียบเหงา แต่กลับมีความบริสุทธิ์มาก ซึ่งคล้ายกับโสมร้อยปีที่ซ่อนอยู่ในบ้านของเยี่ยเทียน ทั้งหมดเป็นการตั้งจิตวิญญาณ แห่งสวรรค์และโลกไว้ในที่เดียว
……