หลังจากทราบวิธีการที่ผู้ร้ายเข้ามาในบ้านแล้ว อาติงนำศพและอาหารพวกนั้นออกไป สำหรับที่ว่าจะจัดการ อย่างไรนั้น เยี่ยเทียนไม่ต้องกังวล เพราะในโลกทุกวันนี้ในแต่ละวันก็มักมีคนสูญหายอย่างลึกลับอยู่แล้ว
ผ่านไปไม่นาน อาหารชุดใหม่ก็มาส่ง ถึงแม้จะฉุกละหุกไปบ้าง แต่ก็ยังคงมากมายไม่ขาด
ช่วงนี้ถูกตามล่าสังหารอยู่ไม่หยุดหย่อน แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ไปได้ เยี่ยเทียนรู้สึกราวกับยกก้อนหินออกจากอกได้ ผ่อนคลายลงไม่น้อย ค้นหาเหล้าชั้นดีที่อาติงเพิ่งเอามาให้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขึ้นมากินกับจั่วเจียจวิ้น
หลังจากดื่มไปไม่กี่แก้ว จั่วเจียจวิ้นก็สงสัยจนอดรนทนไม่ไหวถามกับเยี่ยเทียนว่า “เยี่ยเทียน นายมองออกได้ยังไงกัน ว่ามันคือนักฆ่า”
จั่วเจียจวิ้นมาฮ่องกงตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า ในเวลานี้อายุอานามก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าปีแล้ว หลายสิบปีมานี้ โลดแล่นไปทั่ว ถือได้ว่าเป็นมือเก่าคนหนึ่ง แต่ยังไงเขาก็ไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนทำอย่างไรถึงได้มองนักฆ่าคนนั้นออก
เยี่ยเทียนหัวเราะและรินเหล้าให้กับศิษย์พี่กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ไม่ทราบศิษย์พี่ดูภูมิลักษณ์เป็นหรือไม่”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้ากล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องดูเป็น หากดูศาสตร์ชัยภูมิพื้นที่ไม่เป็น ฉันจะดูฮวงจุ้ยได้ยังไงกัน”
“ศิษย์พี่ เวลาพี่ดูลักษณะชัยภูมิจะต้องเบิกเนตรดูพลังหยินหยาง และในระหว่างที่กำลังใช้วิชา มีเคล็ดวิชาลับที่สามารถดูไอพลังที่ปล่อยออกมาจากตัวคนได้ นักฆ่าเมื่อซักครู่นี้มีไอหยางปกคลุมทั่วทั้งร่าง นี่เป็นไอของคนที่ถูกเขาฆ่าเหลือทิ้งไว้ แล้วแบบนี้เขาจะเป็นคนดีได้อย่างไรกันใช่มั๊ย”
เบิกเนตรที่เยี่ยเทียนกล่าวนั้น อยูในตำแหน่งอิ้นถังด้านบนของสันจมูก จากอิ้นถังเข้าไปสองนิ้ว จะมีสิ่งที่คล้ายกับลูกสนอยู่ ในทางการแพทย์เรียกว่า ต่อมไพเนียล ในการศึกษาและวิจัยพบว่า ต่อมไพเนียลมีผลต่อการทำงานต่อจอประสาทตา สามารถเปิดและปิดจอประสาทตา เพื่อมองเห็นภาพต่างๆ ได้
หลังจากเบิกเนตรแล้ว จะมองเห็นสิ่งที่เป็นพลังหยางง่ายขึ้น เด็กก่อนอายุสี่ขวบที่พึ่งแยกจากแม่ไม่นาน เบิกเนตรนั้นยังไม่เสื่อมโดยสมบูรณ์ ทำให้มักมองเห็นสิ่งที่เป็นพลังหยางที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็น
พอโตขึ้น หลังจากที่เป็นผู้ใหญ่ ต่อมไพเนียลจะทำให้เบิกเนตรเสื่อมสภาพและปิดลงโดยสมบูรณ์ จึงยากต่อการเห็นสิ่งที่เป็นพลังหยาง หากอย่างจะเปิดอีกครั้ง จะต้องฝึกตามเคล็ดวิชาลับจึงจะสำเร็จ
ในแวดวงต่อสู้ฉีเหมิน การเบิกเนตรไม่ได้เป็นเคล็ดวิชาลึกลับที่ไม่สืบทอด อาจารย์ฮวงจุ้ยจริงๆ จะสามารถหาจุดมังกรและเบิกเนตรชั่วคราวได้ ใช้ในการตรวจสอบพลังหยินและหยาง ที่มีในโลกและสวรรค์
เบิกเนตรในลัทธิเต๋าเรียกว่าดวงตาหยินหยางหรือตาเบิกวิญญาณ แต่ว่านักพรตธรรมดาในลัทธิเต๋ามักจะไม่เปิดดวงตาหยินหยาง เพราะการเปิดดวงตาหยินหยางแต่ละครั้งจะทำให้สูญเสียพลังหยินในตัวเองลงไป
ดังนั้นถึงแม้จะเป็นอาจารย์ฮวงจุ้ย ก็จะใช้เวลาที่สั้นมากในการเบิกเนตรดูลักษณะภูมิลักษณ์ จั่วเจียจวิ้นตอนนี้ที่อยู่ว่างๆ ก็เบิตรเนตรดูการแบ่งพลังหยินหยางสองสายบนร่างตนเอง
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชาลับ ที่คนโบราณใช้น้ำตาวัวที่ผ่านการปลุกเสกหรืออาจารย์ฮวงจุ้ยที่ใช้ใบหลิวมาปลุกเสก ก็จะสามารถเปิดดวงตาหยินหยางได้ชั่วคราว
นอกจากนั้นก็ยังมีอาการป่วยแต่กำเนิดทำให้เกิดดวงตาหยินหยาง เนื่องจากมีอาการผิดปกติของอวัยวะทั้งห้า หรือการที่ธาตุทั้งห้านั้นมีมาแต่กำเนิด
คนเหล่านี้มักจะเห็นภาพที่เกิดมาจากไอพลังร้ายที่ดูแปลกประหลาด หรือจะเรียกว่าเห็นผี แต่คนประเภทนี้ร่างกายจะอ่อนแอ ดวงความรัก การงาน การเงินล้วนแย่ โดยมากมักมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี
“ยังมีเคล็ดวิชานี้อีกหรือศิษย์น้อง นายจะต้องถ่ายทอดให้ศิษย์พี่!”
หลังจากฟังคำอธิบายของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็ตาเป็นประกาย เคล็ดวิชาลับของเยี่ยเทียนเท่ากับว่าสามารถ ใช้วิชาเบิกเนตรได้ตามต้องการ นี่สำหรับจั่วเจียจวิ้นดูลักษณะชัยภูมิฮวงจุ้ยก็มีประโยชน์เป็นอย่างมากทีเดียว
เยี่ยเทียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน คิดซักครู่ก็เปิดปากกล่าวว่า “ศิษย์พี่ พลังของพี่ยังฝึกไม่ถึงขั้นให้กำเนิดพลังชี่แล้วแปลงเป็นพลังเทพ เคล็ดวิชาลับแบบนี้ พี่เรียนไม่ได้หากดึงดันจะเรียนอาจจะทำให้เลือดลม ไหลเวียนกลับ ยิ่งทำให้ พลังหยางลดลงไป!”
เยี่ยเทียนเป็นเคล็ดวิชาลับนี่ที่ไหนล่ะ เพียงแต่เขาจะตอบคำถามและหาเหตุผลขึ้นมาว่าทำไมถึงมองนักฆ่านั่นออก เนตรของเยี่ยเทียนนั้น ตั้งแต่ตอนสิบขวบก็ได้รับการถ่ายทอดและก็ปรากฏขึ้นมาอย่างประหลาด
หากจะว่ากันตามจริง ดวงตาทั้งสองของเยี่ยเทียนที่สามารถมองเห็นโชคชะตาของคนได้ นี่ไม่เรียกว่าเนตรแล้ว แต่เป็นตาทิพย์ ซึ่งได้ซึมซับเข้าไปยังอวัยวะทั้งห้าเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้เท่านั้น
“เฮ้อ ชาตินี้ฉันคงไม่มีทางได้ถึงขั้นนั้นแล้วล่ะ”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็ส่ายหัวอย่างหงุดหงิด เขาอายุหกสิบกว่าแล้ว ช่วงตอนกลางคนได้รับ บาดเจ็บหนักครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นทุกขลาภ แต่อยากจะเพิ่มไปอีกถึงขั้นนั้น กลับเป็นไปไม่ได้แล้ว
จั่วเจียจวิ้นเป็นคนที่เรียนวิชาการต่อสู้ รู้ดีว่าเรื่องพวกนี้ไม่สามารถบังคับกันได้ จึงแบมือกล่าวว่า “ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ศิษย์น้อง นายจะกลับปักกิ่งเมื่อไหร่ล่ะ”
เยี่ยเทียนคิดซักครู่ กล่าวว่า “อีกประมาณอาทิตย์หนึ่ง ฮ่องกงนี่ผมยังไม่เคยมา อยากจะไปเดินเที่ยวดูหน่อย”
วิชาของเยี่ยเทียนจะสูงส่งยังไง แต่ยังไงก็เป็นแค่เด็กผู้ชายอายุยี่สิบกว่าปี สำหรับฮ่องกงที่ถูกเรียกว่าไข่มุกตะวันออก เมืองนานาชาตินั้นเต็มไปด้วยความน่าสนใจ
และเยี่ยเทียนยังรับปากว่าจะช่วยกงเสี่ยวเสี่ยวตามหาร่างที่สาบสูญของสามี หากคำนวณดูแล้วน่าจะต้องอยู่ที่ฮ่องกง อีกประมาณสัปดาห์หนึ่งถึงจะพอ
“เอาอย่างนี้เหรอ? ศิษญ์น้องเยี่ย พรุ่งนี้นายไปอยู่บ้านศิษย์พี่ซักวัน ให้ติงติงพานายออกไปเดินเล่นรอบฮ่องกง อาทิตย์หน้าฉันมีธุระ หากเสร็จธุระแล้วค่อยตามนายไปเป็นไง”
ได้ยินว่าเยี่ยเทียนจะอยู่เที่ยวที่ฮ่องกงอีกหลายวัน จั่วเจียจวิ้นถอนหายใจ หากเขากลับพรุ่งนี้อย่างนั้น ตัวเขาเองก็ไม่มีเวลา
“ศิษย์พี่ พี่มีธุระก็ไปทำเถิด ไม่ต้องสนใจผม ผมอยู่กับเหล่าถังนี่ก็โอเคแล้ว!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถึงแม้ความสัมพันธ์ของศิษย์น้องและศิษย์พี่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน แต่เยี่ยเทียนไม่คุ้นเคย กับการอยู่บ้านคนอื่น นั่นทำให้มีหลายอย่างที่ไม่สะดวก
“นั่นจะได้ยังไงนอกจากรังเกียจว่าบ้านของศิษย์พี่เล็กอยู่ไม่สบาย” จั่วเจียจวิ้นทำท่าเหมือนโกรธ
“ได้ พรุ่งนี้ผมไปกับศิษย์พี่โอเคใช่มั๊ย” เยี่ยเทียนตอบรับแบบแกนๆ
……
บ้านของจั่วจวิ้นเจียถึงแม้จะไม่หรูหราเท่าถังเหวินหย่วน แต่ก็ถือว่าเป็นบ้านเศรษฐีใหญ่แล้ว คฤหาสน์เล็กที่มีประตูและลานแยกเดี่ยวขนาดเท่านี้ในฮ่องกง หากไม่มีเงินเป็นล้านก็อย่าหวังจะมีได้เลย
และสิ่งที่เยี่ยเทียนคิดว่าไม่สะดวกก็ไม่มี เพราะในคฤหาสน์หลังนี้นอกจากคนรับใช้แล้ว ก็มีตัวเขาเองที่อาศัยอยู่
หรือบางทีเป็นเพราะเหตุ ห้าขาดตกสามบกพร่องของอาจารย์ฮวงจุ้ย จั่วเจียจวิ้นจึงเสียภรรยาไป มีแต่ลูกสาว ดังนั้นเขาถึงได้รักและตามใจหลานสาวคนเดียวที่เหลืออยู่อย่างหลิวติงติงเป็นอย่างมาก
สำหรับการที่เยี่ยเทียนจะมาเป็นแขกที่บ้าน จั่วเจียจวิ้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แฟนของลูกสาวถูกเขา เรียกตัวมาวันนี้
ลูกเขยของจั่วเจียจวิ้นชื่อหลิวคังกั๋ว อายุสี่สิบต้นๆ เป็นคนฮ่องกงโดยกำเนิดและโตมาในฮ่องกง มีความเคารพพ่อตาเป็นอย่างมาก หลังจากได้ยินจั่วเจียจวิ้นแนะนำแล้ว สำหรับการเรียกเยี่ยเทียนว่าอาจารย์อาก็ไม่ได้ขัดเขิน
หลิวติงติงยิ่งเรียกอา อาไม่ขาดปาก เพราะเธอรู้ความสามารถของเยี่ยเทียนดี คิดหาทางที่จะเรียนรู้วิชาจากเยี่ยเทียนหนึ่งถึงสองวิชา มีเธออยู่คอยขัดตลอด บรรยากาศในห้องนั้นก็พลันเป็นกันเองขึ้นมา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย จั่วเจียจวิ้นเรียกเยี่ยเทียนและลูกเขยนั่งลงบนโซฟา กล่าวออกมาอย่างเรื่อยเปื่อย “คังกั๋ว เรื่องพรุ่งนี้เตรียมการเป็นอย่างไรบ้างเรื่องเงินเตรียมไว้พร้อมแล้วหรือยัง”
หลังจากได้ฟังพ่อตากล่าวจบ หลิวคังกั๋วก็รีบนั่งหลังตรง ตอบกลับว่า “พ่อ ตอนนี้ฝั่งพม่ากำลังทำสงคราม ราคาของหินเริ่มพุ่งขึ้นอย่างมาก ผมเกรงว่าเงินที่เตรียมไว้จะไม่พอ”
“ศิษย์พี่ พรุ่งนี้พี่จะไปทำอะไรกัน”
เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวแทรกขึ้นมา เพราะจั่วเจียจวิ้นพูดภาษาจีนกลางแต่หลิวคังกั๋วพูดภาษากวางตุ้ง เยี่ยเทียนพอฟังได้แต่ไม่ค่อยเข้าใจ
“เหอๆ ศิษย์พี่เมื่อก่อนได้ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ตอนนี้ให้คังกั๋วเป็นคนดูแล มีเรื่องที่เขาตัดสินใจไม่ได้ ฉันยังต้องคอยกำกับดูแลอยู่…” หลังจากได้ฟังคำถามของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็ยิ้มพร้อมกล่าวอธิบาย
ไม่ว่าเป็นการฝึกวรยุทธ์หรือการฝึกเคล็ดวิชา ที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือ “วิชา เพื่อน เงิน สถานที่” ปัจจัยทั้งสี่อย่างนี้
“วิชา” หมายถึงวิชาเต๋าที่อาจารย์ถ่ายทอด เป็นวิชาหลักที่ฝึก
“เพื่อน” ความหมายโดยนัยก็หมายถึงคนที่เป็นเพื่อนคอยดูแลกัน เพราะเมื่อกำลังฝึกอยู่แล้วบรรลุขั้นใดขั้นหนึ่ง อาทิ พลังประทุหกฐาน วิญญานออกจากการจำศีลและอื่นๆ จะต้องมีคนดูแล นี่เป็นสิ่งจำเป็น
“สถานที่” หมายถึงสถานที่ที่มีฮวงจุ้ย คนที่ฝึกบำเพ็ญตั้งแต่โบราณกาลมาถึงปัจจุบันจะระเหเร่ร่อน จุดมุ่งหมายหลักคือการหาสถานที่ที่มีพลังไอธรรมชาติ เพราะหากอยู่ในสถานที่เดิม หากฤดูเปลี่ยนผันใบไม้ผลิ ร้อน หนาว ใบไม้ร่วง การเพิ่มลดของพลังหยินหยางก็เปลี่ยนแปลงไม่หยุด แต่ก็เพียงพอกับความต้องการในการฝึกให้ก้าวหน้าแล้ว
เมื่อเป็นดังนี้ จึงได้แต่ร่อนเรไปทั่ว ที่ไหนดี ก็นั่งพำนักอยู่ที่นั่น ฝึกสองสามวัน หากจำเป็นจริงๆ ก็สร้างที่พำนักอาศัยที่นั่นเลย สำหรับการสร้างที่พำนักอาศัยกลางหุบเขานั้น ก็มีเหตุผลด้วยประการฉะนี้
สำหรับ “เงิน” กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในสี่ปัจจัยนี้ มิเช่นนั้นหากไม่มีเงิน จะไปเชิญอาจารย์ที่มีชื่อ มาเป็นเพื่อนฝึกบำเพ็ญได้อย่างไร จะไปร่อนเร่ทั่วสารทิศเรียนรู้ประสบการณ์เพิ่มเติมได้อย่างไร
ดูอย่างเยี่ยเทียน เขาไม่มีเงิน เขาก็จะไม่สามารถซื้อเรือนสี่ประสานนั้นได้ และก็ไม่สามารถวางค่ายกล รวมวิญญาณได้ คิดอยากจะบรรลุวิชากำนิดพลังชี่แปลงเป็นพลังเทพได้ ก็มีเพียงแต่ต้องคิดฝันเอาเท่านั้น พูดถึงนี่ก็คงจะเห็นความสำคัญของเงินทองกันแล้วนะ
จั่วเจียจวิ้นในปีเจ็ดศูนย์เปิดร้านทองที่ฮ่องกง จนตอนนี้พัฒนากลายเป็นร้านเพชรพลอยเครื่องประดับถึงหกสาขาแล้ว ถึงแม้จะไม่เทียบเท่ากับ “โจวต้าฝู “ ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ แต่แวดวงเพชรพลอยก็ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง
แต่ทว่าไม่กี่ปีมานี้คนที่สวมใส่ทองคำเป็นเครื่องประดับค่อยๆ ลดน้อยลง แต่หันไปให้ความสนใจกับ หยกเฝ่ยชุ่ยกันเป็นอย่างมาก ผู้ประกอบการธุรกิจไข่มุกล้วนแล้วแต่พกเงินฟ่อนใหญ่ไปซื้อหยกไกลถึงพม่าแหล่งผลิต
แต่ว่าขนาดธุรกิจในเครื่องประดับเพชรพลอยของจั่วเจียจวิ้นไม่ใหญ่มาก เงินทุนมีจำกัด โดยมากมักจะซื้อหินดั้งเดิม ผ่านคนกลางที่ขาย ถึงแม้ตรงกลางจะต้องผ่านคนอื่นก่อน แต่ความเสี่ยงก็ถือว่าน้อยกว่าที่จะไปซื้อถึงพม่าโดยตรง
จั่วเจียจวิ้นที่ว่าพรุ่งนี้มีธุระ ก็คือการเข้าร่วมการซื้อขายหินดั้งเดิมที่จัดขึ้นในกลุ่มธุรกิจเครื่องประดับ การประมูลหยกเฝ่ยชุ่ยจากพม่าเพิ่งจบไป หินหยกแรกเริ่มจำนวนมากก็เข้ามาในฮ่องกง
เมื่อได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเครื่องประดับ เยี่ยเทียนก็ใจเต้นอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่ พรุ่งนี้ผมก็ว่างไม่มีอะไร ไปดูไปทำความรู้จักกับศิษย์พี่ด้วยดีกว่า!”
เคล็ดวิชาที่เยี่ยเทียนฝึกทั้งหมด ต้องการหินประดับที่คุณภาพค่อนข้างสูง ก่อนหน้านั้นหากไม่ได้ ใช้หยกเกรดต่ำไม่มีคุณภาพมาวางเป็นค่ายกล ชาญ ทองทวนก็ไม่สามารถใช้ยันต์หนังมนุษย์ทำลายลงได้โดยง่าย
……