“อาติง หาคนมาเก็บกวาดบ้านวิลล่าด้วย…” เยี่ยเทียนต่อสายถึงติงเพื่อสั่งงาน “เอาคนที่มีประสบการณ์หน่อยนะ ที่นี่ไม่ค่อยเจริญตาเท่าไหร่!”
สภาพของห้องโถงข้าวของกระจัดกระจายเละเทะ โดยเฉพาะร่างของผีร้ายที่ถูกตัดเป็นสองท่อน เกลื่อนกลาดบนพื้นอย่างน่าสยดสยอง เยี่ยเทียนกลัวว่าอาติงจะไม่เข้าใจ ถ้าเกิดเขาหาแค่แม่บ้านทั่วไปสองคน มาเก็บกวาดละก็คงจะไม่ดี
“นายน้อย ผมเข้าใจ!” อาติงตอบรับ เมื่อก่อนในการต่อสู้ของสมาคม เคยเห็นทั้งแขนขาดขาขาดก็บ่อย สำหรับงานเก็บกวาดแบบนี้เขามีประสบการณ์มาก
“แล้วก็ให้คนไปตามหาตัวชาญ ทองทวนด้วยนะ อย่าให้หนีออกจากฮ่องกงไปได้!” เยี่ยเทียนค่อนข้างแน่ใจว่าชาญ ทองทอนมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ยังอยากจะเห็นร่างไร้วิญญาณของชาญ ทองทวนกับตาจึงจะวางใจ
“ทำ…ทำไม นายน้อย เขาหนีไปได้เหรอ?” น้ำเสียงอาติงหวาดวิตก ในสายตาของอาติงเยี่ยเทียนเก่งราวกับเทพสวรรค์ ทำไมยังปล่อยให้เขาหนีไปได้?
“เอาเถอะ รีบจัดการตามนี้ ถ้าได้ข่าวอะไรรายงานฉันด้วย!” เยี่ยเทียนหงุดหงิด เรื่องกลายมาเป็นแบบนี้ เขารู้สึกไม่สบายใจมาก
คนที่เดินย่ำอยู่ริมน้ำมีหรือที่รองเท้าจะไม่เปียก? เปรียบได้กับการท่องยุทธภพ ที่มักมีอันตรายแฝงอยู่ทุกที่ เหล่าจอมยุทธจะมีชื่อเสียงได้นั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“ศิษย์พี่ ผมพยุงพี่ไปพักในห้องก่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวอาติงก็มาถึง”
วางสายแล้วเยี่ยเทียนประคองจั่วเจียจวิ้นไปพักที่ห้องชั้นสอง ส่วนตัวเองกลับไปที่ห้องโถงเก็บง้าวจันทร์เสี้ยวขึ้นมา แล้วหลับตานั่งสมาธิบนโซฟา
ผ่านไปยี่สิบกว่านาที เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นพ่นเลือดสีดำออกมาเป็นสาย ทำให้กลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เยี่ยเทียนยืนขึ้น เดินไปเปิดหน้าต่างรอบๆห้อง เพื่อระบายกลิ่น ถึงแม้เขาจะเดินพลังขับสลายพิษแล้ว หากเป็นคนทั่วไป พิษชนิดนี้จะเป็นอันตรายถึงชีวิต
“เจ้าครึ่งผีครึ่งคนนี่มันร้ายกาจจริงๆ!” การฝึกวิชาของเยี่ยเทียนถึงขั้นที่ป้องกันตัวเองจากพิษและพลังงานชั่วร้ายได้ แต่ยังหลงกลเจ้านั่นเข้าให้
หลังจากขับพิษเสร็จ เยี่ยเทียนได้ยินเสียงออดหน้าประตูดังขึ้น จึงเดินออกไปพบว่าอาติงได้พาชายหนุ่ม สี่ห้าคนเดินเข้ามาในสวน
“นายน้อย ตอนเย็นฝนตก คนของผมออกติดตามแต่คลาดไป ผมต้องขอโทษจริงๆ!”
อาติงเดินมาหยุดตรงหน้าเยี่ยเทียน แสดงสีหน้าละอายใจ ถ้าเยี่ยเทียนไม่ได้โทรศัพท์หาเขา เขาคงไม่ทราบ เลยว่าชาญ ทองทวนได้ประมือกับเยี่ยเทียนแล้ว
“ไม่เป็นไร จะโทษนายก็ไม่ได้ ชาญ ทองทวนตอนนี้อยู่ที่ไหน?” เยี่ยเทียนโบกมือ เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์พี่ ของเขาพลาดพลั้งจนบาดเจ็บ พวกลูกน้องที่อาติงสั่งให้ออกไปตามหานั้นยังมีชีวิตรอดกลับมาก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
อาติงแอบมองเยี่ยเทียน ตอบอย่างระมัดระวังว่า “นายน้อย ผมเพิ่งได้ข่าวว่ามีเรือสินค้าส่วนตัว ลำหนึ่งเพิ่งออก จากท่าไป ผมว่า ชาญทองทวน…น่าจะอยู่ในเรือลำนั้น”
“หนีไปได้?”
เยี่ยเทียนตกใจมาก ส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “เอาเถอะ เก็บกวาดห้องรับแขกให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉันจะคุยกับเหล่าถังเอง พื้นกระเบื้องนั่นคงต้องปูใหม่หมด”
“นายน้อย ไม่เป็นไร ผู้เฒ่าถังเคยบอกไว้ว่าถึงนายน้อยจะพังบ้านทั้งหลังก็ไม่เป็นไร”
อาติงยิ้มตอบแหยๆ จากนั้นหันไปสั่งลูกน้องว่า “ยืนเซ่ออยู่ทำไม? ตามฉันเข้าไปเก็บกวาดข้างในให้สะอาด…”
“พี่ติง คนนั้นเป็นใคร?”
ผู้ที่ติดตามอาติงมาแต่ละคนหน้าตาดุร้าย ดูไปไม่เหมือนคนดีเท่าไหร่ เมื่อเห็นท่าทางอาติงเกรงใจเยี่ยเทียนขนาดนั้น แล้วยังเรียกเขาว่านายน้อยอีก จึงแปลกใจมาก
เมื่อก่อนอาติงเคยเป็นนักเลงใหญ่ในฮ่องกงมาก่อน แม้จะผ่านไปสิบกว่าปีล้างมือจากวงการไปนานแล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้อำนาจและชื่อเสียงของเขาในสมาคมนั้นลดลงเลย
ผู้ที่อำนาจบารมีขนาดอาติงนอบน้อมต่อชายหนุ่มอย่างเยี่ยเทียน คนกลุ่มนี้จึงรู้สึกไม่ยอมรับ
“อย่าพูดมาก สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม รีบๆเข้าไป!” อาติงถลึงตาใส่คนทั้งกลุ่มรีบเดินนำเข้าไปในห้องรับแขก
“พวกเราเคยเห็นสนามสู้รบมานักต่อนัก ต้องให้เราลงมือกับงานแบบนี้เหรอ?” หนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นชายที่มีรอยสักลายมังกรเต็มแขน พูดไปเบ้ปากไป เดินตามอาติงเข้าไปข้างใน
“นี่…นี่…”
เมื่อเข้าไปถึงห้องโถงทุกคนต่างตะลึงตาค้าง เศษกระเบื้องหินอ่อนแตกร้าวไปทั่ว ชิ้นส่วนอวัยวะภายในของมนุษย์หลุดรุ่ยกระจัดกระจายเต็มพื้น กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งชวนคลื่นไส้
ที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นศพที่นอนขวางอยู่กลางโถง ตอนแรกพวกเขานึกว่าเป็นสองศพแต่เมื่อดูชัดๆ แล้วกลับเป็นศพเดียวที่ถูกตัดเป็นส่วนส่วน
ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายที่ถูกตัดขาดนั้นเริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว บางส่วนมีกระดูกสีขาวโพลนโผล่ออกมา เห็นแล้วน่าอนาจใจยิ่ง
หลายคนต่างเคยเห็นเลือดมาก่อน แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเหล่าชายฉกรรจ์ถึงกับหน้าถอดสี คนที่บ่นคนสุดท้ายใช้มือปิดปากไว้ เพราะกลัวว่าจะสำรอกเอาอาหารเย็นออกมา
“ยังยืนบื้ออยู่อีก? รีบเก็บกวาดได้แล้ว!”
ตัวอาติงเองก็ตกใจมากเช่นกัน แต่เขาเรียกสติกลับคืนมา สั่งให้ลูกน้องลงมือทำงาน
การเก็บกวาดทำความสะอาดใช้เวลาถึงสองชั่วโมงเต็ม ต้องฉีดน้ำชะล้างถึงเจ็ดแปดรอบ จากนั้นฉีดพ่นน้ำหอมปรับอากาศอีกนับครั้งไม่ถ้วน จึงดับกลิ่นเหม็นร้ายกาจได้หมด
พวกเขาลากถุงใส่ศพออกมาจากห้องโถงสองถุง จากชายหนุ่มหยิ่งยะโสตอนนี้หน้าตาแต่ละคนซีดขาว พอเห็นเยี่ยเทียนก็ตกใจอย่างกับเห็นผี
พื้นกระเบื้องหินอ่อนที่แหลกลาญป่นปี้เหมือนถูกรถไฟทั้งขบวนเหยียบทับนั้นไม่เท่าไหร่ ที่ยิ่งกว่าคือศพคน ที่ถูกตัดเป็นสองส่วน พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าเยี่ยเทียนทำไปได้อย่างไร
ปกติการที่พวกเขานำลูกน้องไปไล่ฟันแทงข่มขู่ผู้อื่นให้เกรงกลัวนั้นหากเทียบกับสิ่งที่เยี่ยเทียนทำแล้ว พวกตนเป็นแค่เด็กเล่นขายของ
หลังจากเก็บกวาดเสร็จ อาติงให้คนพวกนั้นรออยู่ด้านนอก แล้วถามเยี่ยเทียนว่า “นายน้อย เก็บกวาดเสร็จแล้ว ท่านผู้เฒ่าถังให้ผมถามว่า พรุ่งนี้ท่านจะเข้ามาที่นี่ได้หรือไม่?”
การมาของเยี่ยเทียนในครั้งนี้ก็เพื่อจัดการกับชาญ ทองทวน เมื่อศัตรูพ่ายแพ้หลบหนีไป คงไม่มีอันตรายอีก ถังเหวินหย่วนอยากจะให้เยี่ยเทียนช่วยตามหาร่างผู้เสียชีวิตที่เป็นสหายเก่าของเขาต่อ
เยี่ยเทียนส่ายศีรษะ “พรุ่งนี้อย่าเพิ่งมาเลย ถ้าฉันไม่บอก พวกนายก็ไม่ต้องมาเหมือนกัน”
ไม่รู้ว่าทำไม ชาย ทองทวนนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้อีก แต่เยี่ยเทียนยังไม่วางใจ
ความไม่สบายใจอันไม่มีสาเหตุไม่รู้ว่ามาจากไหน ความรู้สึกมันชัดเจนมาก ภัยอันตรายครั้งต่อไปนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าครั้งชาญ ทองทวนเลย
คิดไปคิดมา เยี่ยเทียนสั่งอาติงว่า “ช่วงนี้ให้คนคุ้มกันเข้มงวดหน่อย อย่าให้คนนอกเข้าใกล้ที่นี่ได้”
หลังจากเหตุการณ์ชาญ ทองทวน เยี่ยเทียนไม่กล้าประมาทอีก ถ้าตอนนั้นไม่ได้มีง้าวจันทร์เสี้ยวอยู่ในมือละก็ คงไม่สามารถเอาเจ้าครึ่งผีครึ่งคนนั้นได้อยู่หมัด
“รับทราบครับ นายน้อย!” ฟังเยี่ยเทียนจบ อาติงก็ตื่นตกใจ
ตอนแรกชาญ ทองทวนเป็นฝ่ายมาหาเรื่อง แต่เยี่ยเทียนสั่งให้ผ่อนคลายการรักษาความปลอดภัย ตอนนี้ฝ่ายศัตรูพ่ายแพ้ไปแล้ว กลับสั่งให้เข้มงวดขึ้น ยังจะมีศัตรูที่เก่งกาจกว่านี้อีกหรือ?
อาติงรู้ดีว่าไม่ควรจะเข้าไปแทรกแซง จึงไม่ได้ซักต่อ พาคนพวกนั้นออกจากบ้านวิลล่าไป แล้วจัดหาลูกน้องในสมาคม มาอารักขาบ้านวิลล่าหลังนี้
……
ในท้องทะเลอันมืดมิด มีเรือสินค้าลำหนึ่งกำลังบุกฝ่าคลื่นลูกใหญ่ไปเบื้องหน้า
ชาญ ทองทวนอยู่ในเรือ ร่างกายชักเกร็ง บาดแผลทั้งที่ช่องท้องแล้วดวงตาถูกผ้าพันแผลห่อหุ้มไว้ แต่เลือดยังคงซึมออกมาไม่หยุดจนเกือบทั้งร่างถูกย้อมไปด้วยสีแดง
สถิรพันธิ์ยืนอยู่หน้าเตียง ดวงหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ตั้งแต่ขับรถออกมาจากภูเขาไท่ผิง ชาญ ทองทวนอดทนฟื้นสติของตัวเองไว้ สั่งให้ขับตรงไปที่ท่าเรือปากอ่าว มาทันพอดีกับเรือสินค้าที่ยังไม่ออกไป ท่าทางชาญ ทองทวนดุเดือดราวกับมารร้ายบีบบังคับ ให้คนเรือขับเรือ ออกจากท่าเรือฮ่องกง
แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากขึ้นเรือ ชาญ ทองทวนก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เริ่มพูดเพ้อ กึ่งหมดสติ ร่างกายชักเกร็งอยู่บนเตียง
สถิรพันธิ์กลัวว่าชาญทองทวนจะตายเสีย หมอไสยศาสตร์ผู้นี้มีตำแหน่งสูง เป็นถึงศิษย์เอกของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากมาเสียชีวิตกระทันหัน เขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“อาจารย์ชาญทองทวน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเห็นชาญทองทวนตะแคงพลิกตัว สถิรพันธิ์รีบเข้าไปถามไถ่ที่ข้างหู
“ฉัน…ฉันไม่ไหวแล้ว!”
ดวงตาข้างที่เหลืออยู่ของชาญทองทวนเปิดขึ้น สูดลมหายใจเข้าทีหนึ่งแล้วใช้แขนทั้งสองยันตัวขึ้นนั่ง การเคลื่อนไหวเพียงเท่านี้ก็ทำให้เขากระอักเอาอวัยวะชิ้นส่วนหนึ่งออกมาทางปาก
“สถิรพันธิ์ กลับไปเมืองไทย บอกอาจารย์ว่า ฉันถูกเยี่ยเทียนฆ่าตาย เยี่ยเทียนเชี่ยวชาญวิชาค่ายกล การฝึกฝนวิชาไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์ของมัน ขอให้อาจารย์แก้แค้นให้ฉันด้วย!”
บาดแผลที่ท้องน้อยนั้นไม่ถึงแก่ชีวิต แต่พลังฝ่ามือของเยี่ยเทียนที่ซัดใส่ ทำให้อวัยวะภายในของเขาแหลกเหลว ถ้าหากเป็นแค่คนธรรมดา คงจะขาดใจตายเสียตั้งแต่ตอนนั้น
เพราะชาญ ทองทวนได้เคยฝึกโยคะขั้นสูง อวัยวะภายในจึงมีกำลัง อย่าดูถูกร่างกายอ้วนท้วนของเขา ความจริงแล้วกระดูกของเขายืดหยุ่นได้ดี ความสามารถของร่างกายเขาเหนือมนุษย์ธรรมดาจึงทำให้เขายืนหยัดมาได้ถึงตอนนี้
โลหิตไหลรินออกมาจากเบ้าตาข้างที่ว่างเปล่า ใบหน้าอ้วนฉุนั้นน่ากลัวราวกับผีดิบ สถิรพันธิ์ตกใจกลัวผงะไปข้างหลัง จนแผ่นหลังชนเข้ากับผนังห้อง
“อาจารย์…อาจารย์!”
พอเห็นเลือดสดๆหลั่งไหลเป็นสายออกมาจากปากจมูกและตาของชาญ ทองทวน สถิรพันธิ์รวบรวมความกล้า เอานิ้วไปอังใต้จมูกของชาญทองทวน ซึ่งไม่มีลมหายใจเหลืออยูแล้ว
……