แม้ว่าหลิวติงติงเกิดมาจากครอบครัวมหาเศรษฐีฮ่องกง เธออยู่กับปู่ตั้งแต่เด็ก นิสัยเป็นคนกล้าแสดงออก การทำงานก็แคล่วคล่องว่องไว แต่การกระทำของเธอนั้นไม่มีความเป็นกุลสตรีแม้แต่นิดเดียว
อีกอย่างตั้งแต่เธอยังเด็กก็โตมาในครอบครัวมหาเศรษฐี ต่อหน้าคนนอกถือว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลมาก สามารถบงการได้ทุกอย่าง ในสายตาของหลิวติงติงเยี่ยเทียนก็แค่คนแก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
“เยี่ยเทียน เจ้าเด็กคนนี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เธออย่าไปใส่ใจเลย”
ถังเหวินหย่วนรู้นิสัยของเด็กคนนี้ดี แต่ต่อหน้าเยี่ยเทียนก็ทำได้แค่ฝืนยิ้มออกไป หวังว่าเยี่ยเทียนจะไม่ถือสา หลานสาวของเพื่อนเก่า
“ติงติง เธออย่าพูดจาเหลวไหล”
กงเสียวเสี่ยวในตอนนั้นเธอก็เคยไปขอคำแนะนำจากแพทย์มาแล้ว สะบัดมือของหลิวติงติงออก มองไปที่เยี่ยเทียนพูดว่า “ท่านปรมาจารย์เยี่ย ท่าน…ท่านสามารถช่วยหาซากกระดูกของสามีฉันได้จริงๆ ใช่หรือไม่”
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากมายอะไร แต่ว่าช่วงนี้ผมไม่ว่าง รออีกเดือนหนึ่งแล้วผมจะช่วยคุณ”
เนื่องระยะเวลาที่ฟู่อี๋ตายไปค่อนข้างนาน ถ้าจะให้อนุมานเรื่องทุกอย่างออกมาก็จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร อีกอย่างตอนนี้เยี่ยเทียนก็มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงได้ ยังไม่ค่อยเต็มใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะจะทำให้ตัวเองสูญเสียจิตใจ พละกำลังและพลังชีวิต
กงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ความลำบากใจของเยี่ยเทียน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน รีบพูดไปว่า “ทำไมต้องรอเป็นเดือนเลยละปรมาจารย์เยี่ย ท่านสามารถเร่งมือให้หน่อยได้หรือไม่ก็คำนวณให้ก่อนได้ไหม ว่าที่ตั้งของซากกระดูก จะเอาเท่าไหร่ก็พูดมาเลย”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดว่า “คุณนายกง ผมเข้าใจความต้องการของคุณ แต่ว่าผมก็มีเรื่องที่อยู่รอบตัว ช่วงวลานี้ยังไม่สามารถหาวิธีช่วยคุณทำนายได้”
“ปรมาจารย์เยี่ย”
“น้าเสียวเสี่ยว น้ายังดูไม่ออกอีกเหรอ ว่าเขาก็แค่จอมโกหก ต้องรอเป็นเดือน ไม่รู้ว่าถ้าถึงตอนนั้นเขาจะหนีหาย ไปไหนแล้ว”
กงเสี่ยวเสี่ยวยังคงมีเรื่องที่จะพูด แต่กลับโดนหลิวติงติงตัดบทไปเสียก่อน หญิงสาวแสดงสีหน้าท่าทางไม่ยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของคนอื่น
ในสายตาของเธอ เยี่ยเทียนก็เป็นเพียงแค่คนขี้โม้หลอกลวง จริงๆ แล้ว ไม่มีวิธีที่จะสามารถคำนวณหาร่องรอย ของฟู่อี๋ได้ ดังนั้นจึงหาเรื่องมาถ่วงเวลาออกไป
“นี่เด็กเมื่อวานซึน ผู้อาวุโสเขาพูดกันอยู่ ทำไมถึงชอบพูดสอดแบบนี้นะ มารยาทสักนิดก็ไม่มี” เยี่ยเทียนที่ยืนยิ้มอยู่ ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึงทันที
“ผู้อาวุโสแกคือผู้อาวุโสของใคร”
หลิวติงติงได้ยินก็มองจ้องตาโตขึ้นมา ใช้มือชี้ไปที่เยี่ยเทียนพูดว่า “อายุแกยังไม่เท่าฉันเลย อยากมาเป็น ผู้อาวุโสของฉัน แกยังอวดดีแสดงตนหลอกลวงคนอื่นไปทั่ว”
หลิวติงติงยกนิ้วโป้งขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะฆ่าปาดไปที่คอ พูดว่า “ฉันต้องสั่งสอนแกสักหน่อย”
“พี่ติงติง อย่าทำแบบนี้เลย พี่เยี่ยเทียนฝีมือสูงมาก อาการป่วยของฉันก็คือพี่เขานี้แหละรักษาให้” ถังเสวี่ยเสวี่ยดึงหลิวติงติงไว้ ใบหน้าแสดงอาการไม่ค่อยพอใจ
“เสวี่ยเสวี่ย ปกติเธอก็อยู่บ้านตลอด เธอจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับพวกยุทธภพจอมโกหกพวกนี้หรอก”
หลิวติงติงแสดงท่าทางของคนในยุทธภพ พูดว่า “ไม่รู้ว่าบนมือเขามีตำรายาผีบอกอะไร ที่สามารถช่วยรักษาเธอให้หายได้ ก็คงเหมือนแมวตาบอดที่พบหนูที่ตายแล้ว เธอไม่ต้องมายุ่ง เขายังกล้าดีมาหลอกน้าเสี่ยวเสี่ยว ฉันจะต้องสั่งสอนเขาอย่างแน่นอน”
หลิวติงติงติดตามปู่ไปทุกประเทศในเอเชียอาคเนย์ เคยมีประสบการณ์ในยุทธภพ พิจารณาด้วยตนเองได้ข้อสรุปว่า เยี่ยเทียนก็แค่คนโกหกมองด้วยตาเปล่าก็ดูออกแล้ว
จริง ๆแล้วต้องโทษเยี่ยเทียนที่หน้าอ่อนเกินไป หลิวติงติงเคยเจอคนเก่งมาก่อนแล้ว ส่วนมากก็จะอายุห้าสิบปีขึ้นไป แต่ว่าเขาหน้าตาดูเหมือนคนอายุแค่ยี่สิบกว่าปี นึกไม่ถึงว่าจะถูกถังเหวินหย่วนเรียกว่าคุณปู่ เลี่ยงไม่ได้อาจทำให้ นายหญิงหลิวไม่พอใจได้
จากเมื่อครู่ที่เข้ามาในห้อง ดวงตาทั้งสองของ เยี่ยเทียนมีแววตาเหมือนคิดอะไรชั่วร้ายที่จ้องมองแต่หน้าอก ของเธอตลอด แบบนี้ก็ทำให้หลิวติงติงตราหน้าเยี่ยเทียนว่าคือ ไอ้โรคจิต
“สั่งสอนฉัน เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า ฉันว่าเธอนี้เป็นคางคกอ้าปากร้อง มีเสียงดังได้แค่นี้”
“เยี่ย เยี่ยเทียน แก เฮ้ ทำไมพูดจากับเธอเหมือนรู้จักเธอมาก่อน” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนหัวเราะขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าทำไมเยี่ยเทียนจงใจพูดจาทำร้ายจิตใจหลิวติงติงแบบนั้น
“คุณปู่ถัง ปู่ได้ยินแล้ว เขา เขาว่าฉันเหมือนคางคก”
หลิวติงติงโกรธจนตาแดง จ้องมองไปที่เยี่ยเทียน พูดว่า “สาวน้อยอย่างฉันใช้มือเดียวสู้กับนายก็พอแล้ว เป็นผู้ชายก็ลุกขึ้นยืนออกมา”
เห็นหลิวติงติงมีท่าทางที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เยี่ยเทียนหลุดยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ฉันไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง ยิ่งไม่ชอบรังแกชนรุ่นหลัง เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉันเอาง้าวมาให้ ถ้าเกิดว่าเธอสามารถใช้มือเดียวเล่นกับง้าวได้ ฉันก็จะสำนึกผิดแล้วขอโทษเธอ”
“นายจะเอาอะไรไปสู้กับเธอ ไปยั่วโมโหเธอ เดี๋ยวเธอก็ไปฟ้องปู่ของเธอหรอก นายนี่” ถังเหวินหย่วนรู้ว่าเพื่อนรักของตัวเองนั้นรักและเอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้มาก ถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่กล้าทำตัวไม่ดี และไม่ยำเกรงต่อคนอื่นๆ แบบนี้
“เหล่าถัง ผมต้องให้คุณสอนหรอ”
สีหน้าเยี่ยเทียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา มองจ้องไปที่ถังเหวินหย่วน ทำให้ถังเหวินหย่วน รู้สึกกลัวขึ้นมา และไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
กงเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างๆก็สังเกตได้ถึงรายละเอียดนี้ ค่อนข้างประหลาดใจต้องพิจารณาเยี่ยเทียนใหม่อีกครั้ง
แต่ว่ากงเสี่ยวเสี่ยวรู้ถึงความจริงของถังเหวินหย่วน เขาไม่ใช่มหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง ในตอนนั้นเขาคือมาเฟียชิงปังตอนแรกที่เธอเริ่มสืบหาคดีการหายตัวของสามี ถังเหวินหย่วนก็ออกแรงไปไม่น้อย
แต่ว่ากงเสี่ยวเสี่ยวนึกไม่ถึงเลยว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของเจ้าหนุ่มนี้ ทำให้ถังเหวินหย่วนไม่กล้าโต้ตอบกลับ ภายในใจก็คาดเดาต่าง ๆ นา ๆเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเยี่ยเทียน
เมื่อกงเสี่ยวเสี่ยวได้เห็นรายละเอียดพวกนี้แล้ว แต่หลิวติงติงที่กำลังอารมณ์เสียก็ไม่ได้ทันสนใจ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จึงพูดว่า “รักษาคำพูดของแกด้วยถ้าฉันสามารถเล่นกับง้าวนั้นได้ แกก็จะต้องยอบรับว่าตัวเองเป็นจอมโกหก”
“ช่างมัน เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าให้เธอใช้มือเดียวก็คงจะดูเป็นการกลั่นแกล้งเธอ เอาอย่างนี้ เธอใช้สองมือเล่นกับง้าวนั้นได้เลย แล้วฉันก็จะยอมรับเลยว่าตัวเองคือจอมโกหก ตกลงไหม”
สีหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยเทียนทำให้หลิวติงติงเกลียดจนต้องกัดฟัน ม้วนแขนเสื้อขึ้นพูดว่า “ไหนละง้าวฉันนะมีความเชี่ยวชาญสิบแปดอย่าง ทุกศิลปะการต่อสู้ วูซู การเล่นกับง้าวมันจะแค่ไหนกัน”
“นั่น ก็อยู่ข้างหลังเคาท์เตอร์ตรงนั้น เธอไปเอามาเองสิ”
เยี่ยเทียนชี้ไปที่เคาท์เตอร์ เมื่อวานเขาวางง้าวพระจันทร์เสี้ยวไว้บนเคาท์เตอร์มันอาจสะดุดตาเกินไป ดังนั้นเขาเลยย้ายมันไปไว้ด้านหลังเคาท์เตอร์ไม้นี้
“ดี ให้แกรอก่อน”
หลิวติงติงจ้องไปที่เยี่ยเทียน เดินผ่านเคาท์เตอร์ไป เธอไม่เพียงแต่ฝึกวิชามวยกับคุณปู่เท่านั้น แต่เธอยังเคยฝึก วิชาการใช้อาวุธกับพวกอาจารย์ทางใต้ ฝีมือในการเล่นดาบดอกเหมยถือว่าไม่เลวเลย
อาติงที่นั่งดูความสนุกสนานนี้มาโดยตลอด รอให้หลิวติงติงจากไป เข้าไปหาเยี่ยเทียน พูดเสียงเบา ๆ ว่า “นายน้อย ท่าน ท่านนี้มันร้ายจริงๆ นะ”
เมื่อวานที่ลงจากเครื่องบิน อาติงคอยเอาอกเอาใจช่วยเยี่ยเทียนถือง้าวพระจันทร์เสี้ยว อีกนิดเดียวก็เกือบทำให้เขา เอวเคล็ดแล้ว แต่กับหลิวติงติงสาวน้อยคนนั้นถ้าเธอใช้สองมือดึงง้าวนั้นขึ้นมาได้ก็ถือว่าไม่เลวเลย
แต่ว่าอาติงก็เพลิดเพลินที่ได้ดูเรื่องตลก เพราะว่าแต่ก่อนหลิวติงติงเคยลากเขามาเพื่อประลองฝีมือ อาติงไม่กล้าออกแรงทั้งหมด แต่ก็ไม่ยอมที่เสียเปรียบ
“ทำไม คุณอยากช่วยหรอ” หลังจากได้ยินคำพูดของอาติง เยี่ยเทียนก็หัวเราะขึ้นมา
“ไม่กล้า ผมก็ยกง้าวนั้นไม่ขึ้น นอกจากนายน้อย บนโลกนี้จะมีใครที่สามารถเล่นกับง้าวนั้นได้อีก”
อาติงประจบสอพลอเอาใจ อยู่ด้วยกันหนึ่งวัน เขาพบว่าถึงแม้เยี่ยเทียนจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ไม่ได้วางมาดใหญ่โต แค่ชอบที่จะล้อเล่นหยอกล้อกับคนอื่น
ในมุมมองของอาติง เยี่ยเทียนหยอกล้อหลิวติงติง ความจริงก็แค่ล้อเล่นกับเธอ ถ้าไม่อย่างนั้นฝีมือของเยี่ยเทียน เจ้าเด็กน้อยคนนี้คงรับไม่ไหวแม้แต่มือข้างเดียวของเยี่ยเทียน
“เยี่ย เยี่ยเทียน แก แกกล้าแกล้งคนอื่น”
ในขณะที่เยี่ยเทียนกับอาติงกำลังพูดคุยหัวเราะกันนั้น ก็มีเสียงหงุดหงิดอารมณ์เสียดังมาจากเคาท์เตอร์ หลิวติงติงยืนอยู่ข้างหลังเคาท์เตอร์ มองเยี่ยเทียนด้วยความโมโห
“ทำไมฉันแกล้งอะไรเธอหรอ” เยี่ยเทียนท่าทางมีสติพูดว่า “ยกมันไม่ขึ้นก็คือยกไม่ขึ้นพอแล้ว อย่างนี้ก็จะไม่ขายหน้า อย่าว่าแต่เธอเลยแม้แต่อาติงก็ยกไม่ขึ้น”
หลิวติงติงกัดฟัน พูดว่า “แก แกง้าวนี้ไม่ใช่คนใช้กัน นี้ นี้มันคืองานศิลปะ”
เมื่อครู่ที่เห็นง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่มีความสูงประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบ หลิวติงติงเลยตกใจ อาวุธที่ทำจากเหล็กหนาและ ยาวขนาดนี้ จะหนักแค่เจ็ดแปดสิบกิโลกรัมได้อย่างไรกัน ใครที่ไหนจะมีแรงแขนมากพอที่จะใช้มัน
“พอดูแล้วอาวุธของกองทัพทหารสมัยโบราณ หนักกว่านี้หลายเท่า ตัวเองยกไม่ขึ้น ก็บอกว่าคนอื่นยกไม่ไหว เจ้าเด็กขี้โกง นิสัยแบบนี้ของเธอไม่ดีเลยนะ”
เยี่ยเทียนยิ้มเล็กน้อย สายตามองไปที่ตาของหลิวติงติง ในตอนนั้นความโกรธแค้นชิงชังของเธอ ทะลุออกมาจากหัวใจ พูดว่า “ฉันก็แค่เอาออกมา แล้วมาดูว่าแกว่ายังไง”
หลิวติงติงคือคนที่ไม่ยอมแพ้ เธอคิดว่าตัวเองจะเอาง้าวนั้นออกมา หลังจากนั้นก็โยนมันไว้ที่หน้าเยี่ยเทียน แล้วมาดูกันว่าเจ้าคนขี้โม้นี้จะรับได้หรือไม่
หลิวติงติงคือคนที่มีวิชามวย ถึงแม้ว่าร่างกายของผู้หญิงนั้นอ่อนแอกว่านิดหน่อย แต่ว่าของน้ำหนักแค่ เจ็ดแปดสิบกิโลกรัมเธอก็สามารถยกมันขึ้นได้ ตั้งสติไปที่จุดตันเถียน ส่งแรงไปยังแขนทั้งสอง หลิวติงติงส่งเสียงดังออกมา ทันใดนั้นก็ใช้สองมือยกง้าวพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมา
คนอาจจะยกง้าวที่หนักเจ็ดแปดสิบกิโลกรัมขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่ว่าการยกง้าวที่หนักเช่นนี้ขึ้นมาได้ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใช้แรงทั้งสองมือ รวมกับพลังของแขนและข้อมือที่ต้องใช้แรงอย่างมาก
หลิวติงติงอย่างมากก็แค่สามารถยกง้าวนั้นขึ้นมาได้ ไม่มีแรงเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ ระยะทางสั้น ๆ เหงื่อก็ไหลออกมาจากหน้าผาก
ตอนแรกก็อยากจะเอาง้าวโยนทิ้งไว้ตรงหน้าของเยี่ยเทียน แต่ตอนนี้หลิวติงติงรู้ว่า เธอเองก็ไม่มีแรงขนาดนั้น ตอนนี้แขนทั้งสองข้างก็เหน็บชาแล้ว ทันใดนั้นง้าวพระจันทร์เสี้ยวก็หล่นลงพื้น
“เฮ้ ไม่เลว ยกขึ้นได้จริงๆ เหรอ”
เยี่ยเทียนเห็นว่าหลิวติงติงถือง้าวพระจันทร์เสี้ยวค่อย ๆขยับใกล้เข้ามา อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “นี่ พวกเราตกลงกันดีแล้ว เธอสามารถใช้สองมือเล่นกับง้าว ฉันก็จะยอมรับว่าฉันคือจอมโกหก เร็ว ๆ เร็ว ๆ สิ”
“ฉัน…ฉัน”
หลิวติงติงกลั้นพลังตันเถียนเอาไว้ ถึงสามารถยกง้าวพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมาได้ เมื่อกี้ที่อยากจะโต้เถียงกับเยี่ยเทียน พลังก็รั่วไหลออกไปแล้ว ทั้งสองมืออ่อนแรง ง้าวจันทร์เสี้ยวหล่นลงกับพื้นแล้ว
นิ้วมือรู้สึกผ่อนคลาย หลิวติงติงค่อยๆ ถอยหลังออก โยนง้าวที่น้ำหนักมากเกินรับไหวลงที่พื้น ทันใดนั้นก็เกิดรอยแตก ของพื้นเป็นเส้นทอดยาวถึงหนึ่งเมตร
…………