“ลนลานอะไรนักหนา? ฝึกนายมาให้เสียเวลาจริงๆ?” มองดูท่าทางลุกลี้ลุกลนของผู้ที่มาถึง ผู้จัดการอู่น้าเสีย
“พนักงานคิดเงินร้องไห้ครวญคราง ” ผู้จัดการอู่ มีคนก่อเรื่องขึ้นจริงๆ คุณดูสิ ฉันโดนตบเข้าที่ตรงนี้”
เยี่ยเทียนและพวกต่างก็ชะโงกดูรอยบนหน้าเขา เห็นรอยแดงช้ำเป็นรูปฝ่ามือ ยังมีรอยนิ้วทั้งห้าทาบอยู่ด้วย
ผู้จัดการอู่หันไปถามเยี่ยเทียนว่า “คุณเยี่ย คุณว่าเรื่องนี้?”
เยี่ยเทียนไขความนัยให้ “ผู้จัดการอู่ไม่เป็นไรหรอก คุณไปทำงานต่อเถอะ ให้คุณตั่วตัวให้คำแนะนำผมก็ได้ ถ้าผมตกลงจะซื้อแล้ว ก็จะจ่ายเงินมัดจำให้คุณทันที”
“ตั่วตัว เธออธิบายรายละเอียดรถให้คุณเยี่ยฟัง คุณเยี่ย ถ้างั้นผมขอตัว”
ผู้จัดการอู่ปลีกตัวออกมา เดินไปพูดไปว่า “เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ข้างนอกยังมียามอยู่อีกนะ? จ่ายเงินเดือนจ้างพวกนั้นมาทำอะไร?”
“ผู้จัดการอู่ นี่ต้องให้คุณออกหน้า อยู่ๆคนที่แซ่หวงก็เกิดทะเลาะกับคุณผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในโชว์รูม ผมเข้าไปห้ามก็โดนตบกลับมา!” พนักงานแคชเชียร์คนนั้นสีหน้าเศร้าหมอง
“อะไรนะ? ทะเลาะกับผู้หญิงสองคนนั้นเหรอ?”
หูของเยี่ยเทียนไวมาก แม้ว่าผู้จัดการกับพนักงานเดินออกจากโกดังรถไปแล้วยังได้ยิน โยนเอกสารที่ตั่วตัวยื่นให้ทิ้งไว้ข้างๆ แล้วออกเดินตามไป
“เดี๋ยวก่อนนะ ผู้หญิงสองคนนี่คนหนึ่งสูงๆ อีกคนตัวเล็กบอบบางใช่ไหม?” เยี่ยเทียนรั้งพนักงานคิดเงินมาสอบถามให้แน่ชัด
ตอนที่เยี่ยเทียนเข้ามาในร้าน ข้างในคนไม่เยอะมาก ถ้ามีหญิงสาวสองคนมาด้วยกัน ก็น่าจะเป็นอวี๋ชิงหย่า กับถังเสวียเสวี่ยไม่ผิด
พนักงานพยักหน้า “ใช่ครับ เอ้อ ดูท่าทางว่าจะมากับคุณด้วย”
“โอ๊ย ทำไมไม่รีบบอก?” เยี่ยเทียนถลึงตาใสพนักงานคนนั้นอย่างโมโห แล้วรีบวิ่งออกจากประตูด้านข้างโชว์รูมไป
“ขอเตือนนายไว้ก่อนนะ อยู่ห่างๆจากฉันหน่อย แฟนฉันอยู่ที่นี่ด้วย…” เยี่ยเทียนเพิ่งเข้ามาในโชว์รูมก็ได้ยินเสียง โวยวายของอวี๋ชิงหย่า
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของอวี๋ชิงหย่า เสียงของชายคนนั้นก็ดังระเบิดขึ้น “แฟนเธอ?คงไม่ใช่ตาแก่อายุเจ็ดแปดสิบคนนั้นหรอกนะ? ปีนี้พี่เพิ่งจะอายุสามสิบสาม เราสองคนเหมาะกัน อย่างกับกิ่งทองใบหยก!”
“เป็นเจ้านั่นจริงด้วย?”
ผู้จัดการอู่ที่รีบวิ่งตามเยี่ยเทียนเข้ามา แต่ไม่กล้าเข้าไปแทรกกลางวง ได้แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย
“นายเพ้อเจ้ออะไร พี่เยี่ยเทียนไม่ได้แก่ขนาดนั้น นายสิถึงเป็นตาแก่เจ็ดแปดสิบน่ะ” เสียงของถังเสวียเสวี่ย ดังแทรกขึ้นมา เยี่ยเทียนรีบวิ่งเข้ามา เลี้ยวตรงหัวมุม ฉากการวิวาทก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
สองสาวยังยืนอยู่บริเวณโต๊ะรับแขกที่ใช้นั่งคอย ตรงหน้าของอวี๋ชิงหย่ามีชายฉกรรจ์สามคนยืนประจันหน้ากันอยู่ ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสองคนยืนประกบอยู่
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอวี๋ชิงหย่าถลึงตาใส่สาวน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมว่า “สาวน้อย นี่ไม่เกี่ยวกับเธอ ผอมอย่างกับไม้เสียบผี ไปยืนรอข้างๆไป…”
“นายมันคนเลว เดี๋ยวรอให้พี่เยี่ยเทียนมาจัดการพวกนาย!” ถังเสวียเสวี่ยด่าคนไม่เป็น คำด่าว่าเลวคงเป็นคำที่หยาบที่สุดสำหรับด่าคนที่หล่อนเกลียดแล้ว
ฝ่ายตรงข้ามเบะปาก “พี่เยี่ยเทียนของเธอไม่ได้อายุเจ็ดแปดสิบแล้วเหรอ? จะมาจัดการพวกพี่ไหวเหรอ?”
“ฉันยังไม่แก่ ถ้าพวกแกอยากร้องไห้หาแม่ล่ะก็ ฉันก็จะจัดให้ ไอ้หนู!” เสียงของเยี่ยเทียนดังแทรกขึ้น ฝ่าวงล้อมของพนักงานและยาม เข้าไปยืนประจันหน้าอยู่กับชายคนนั้น
อยู่ๆก็มีคนร่างสูงใหญ่เข้าประชิด ทำให้เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พอยืนอย่างมั่นคงแล้ว เห็นเยี่ยเทียนมาคนเดียว ก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้ “แก เรียกใครเป็นไอ้หนูนะ?”
“ใครอยากรับก็รับไปสิ ไอ้หนู อย่ามาหาเรื่องที่นี่เลย ระวังจะเดือดร้อนไปถึงที่บ้าน!”
เยี่ยเทียนมองด้วยสายตาเย็นชา รูปลักษณ์ท่าทางก็ดูน่าเกลียด แต่ในแววตามีความหยิ่งทระนง น่าจะไม่ยอมใครง่ายๆ คงจะถูกสั่งสอนมาแบบนี้
“แก…แกเป็นใคร?”
เห็นท่าทางโอ้อวดยิ่งกว่าตนของเยี่ยเทียน ยังอดตะลึงไม่ได้ แอบพิจารณาท่าทีเยี่ยเทียนดูแล้ว ยิ้มมุมปากอย่างดูถูก “ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีของแบรนด์เนมสักชิ้น ยังจะกล้าออกมาเดินในเมืองปักกิ่งอวดความจนหรือไง?”
“ฉันก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แล้วจะทำไม? อยากจะสั่งสอนฉันงั้นเหรอ?” เยี่ยเทียนท้าทายฝ่ายตรงข้าม ในใจคิดว่าฝ่ายนั้นเป็นพวกชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจคนนั้นมากนัก กลับหลังหันไปถามอวี๋ชิงหย่าด้วยความเป็นห่วง “ชิงหย่า เขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม?”
“เปล่า เมื่อกี้ฉันคุยกัยเสวียเสวี่ยอยู่ดีๆ นายคนนั้นก็เดินเข้ามาขอเบอร์ฉัน ฉันไม่ให้เขาก็มาแย่งกระเป๋าฉันไป ยังดีที่มีคนมาช่วยห้ามไว้ได้ทัน!”
อวี๋ชิงหย่ารู้ดีถึงนิสัยของเยี่ยเทียน เธอไม่อยากให้เขาไปมีเรื่องกับฝ่ายตรงข้าม พอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบก็พูดต่อว่า “เยี่ยเทียน เราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย…”
เยี่ยเทียนพยักหน้าเห็นด้วย หลายวันก่อนได้ละเมิดศีลข้อปาณาติบาตไป เขาไม่อยากให้ความโหดร้าย ในจิตใจเพิ่มขึ้น ไม่อยากสร้างกรรมเพิ่ม
“นี่ ไอ้น้อง หยุดก่อน แกคิดว่าฉันจบแล้วจะจากไปได้ง่ายๆเหรอ?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะหันหลังกลับ ฝ่ายตรงข้ามก็ตวาดไล่หลังมา ถ้าเยี่ยเทียนยังแข็งสู้ต่อ บางทีฝ่ายตรงข้าม อาจจะไม่กล้าขนาดนี้ แต่การเลือกที่จะเดินออกมาทำให้ฝ่ายนั้นมองว่าเยี่ยเทียนใจเสาะ
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ทำท่าจะหยุดชะงักก็เหลือบไปเห็นสายตาวิงวอนของอวี๋ชิงหย่า ก็ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ไปเถอะ เราไม่อยากสนใจคนพวกนี้….”
เยี่ยเทียนไม่อยากมีเรื่องแต่เรื่องก็มาหาเองถึงที่ ยังไม่ทันถึงก้าวที่สาม รู้สึกได้ถึงแรงลมจากทางด้านหลังพุ่งเข้ามา มีคนลอบโจมตีเขาจากเบื้องหลัง
“ให้ตายเถอะ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบ้างเลย!”
เยี่ยเทียนก้มหลบไปทางด้านหน้าแล้วตวัดขาไปด้านหลังเป็นท่าแมงป่องฟาดหาง ขาขวาถีบออกไปโดนเข้าที่หน้าท้อง ของหวงซือจื้อเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้น ชายคนนั้นเอามือกุมท้องถอยหลังไปหลายก้าว ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น
“ประธานหวง ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” ผู้ติดตามของเขารีบรุดเข้ามาประคอง
“บ้าเอ๊ย ฉันจะไม่เป็นไรได้ไง?”
หวงซือจื้อนั่งหน้างออยู่ที่พื้น ตะโกนใส่ผู้ติดตามทั้งสองว่า “ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? ฉันจ้างพวกนาย มายืนดูฉันโดนซ้อมรึไง?”
คนอย่างหวงซือจื้อ อยู่ในแวดวงค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก เป็นต้นแบบหนึ่งของคุณชายเจ้าสำราญ สมัยก่อนตอนปี 1955 ปู่ของเขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ต่อสู้เพื่อก่อร่างสร้างประเทศ พอปี 80 เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง นับเป็นผู้บุกเบิกประเทศคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
แต่น่าเสียดายบ้านตระกูลหวงมีเชื้อสายเพียงคนเดียว คุณปู่กวดขันบุตรชายอย่างเข้มงวด แต่กลับตามใจหลานชาย จนเสียผู้เสียคน
พอมีคุณปู่คอยให้ท้าย หวงซือจื้อจึงเย่อหยิ่งจองหองตั้งแต่เล็ก เคยเรียนวิชาการต่อสู้กับศัตรูมาจากคุณปู่บ้าง พอใครพูดไม่เข้าหูก็รัวหมัดเข้าให้ จนกลายเป็นนักเลงประจำเมืองไปแล้ว
เริ่มยุคปี 90 ช่วงสมัยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต หวงซือจื้ออาศัยความสัมพันธ์กับทหารคนหนึ่งในโซเวียต จนสร้างการค้าระหว่างสองประเทศจนใหญ่โต ภายในเวลาแค่ปีกว่า ก็สามารถทำเงินได้มหาศาล
แต่พอปลายยุคปี 90 คุณปู่เสียชีวิตลง
หวงซือจื้อยังคงนิสัยเย่อหยิ่งอวดดีแต่ก็ไม่ได้โง่ เขายังพอจะรู้ว่าเมื่อก่อนคนอื่นเห็นแก่หน้าคุณปู่ถึงยอมให้เขา ระยะหลังจึงทำอะไรระวังตัวมากขึ้น ตอนนี้เปิดบริษัทการค้าก็เพื่อฆ่าเวลา
นิสัยคนเรามันเปลี่ยนกันยาก หวงซือจื้อมักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นอยู่บ่อย พอถูกรังแกแค่ครั้งสองครั้ง ก็ยอมเสียเงินจ้างผู้คุ้มกันมาถึงสองคน
เมื่อครู่ถูกเยี่ยเทียนถีบเข้าที่ท้อง นิสัยเก่าจึงถูกจุดชนวนขึ้นมา ผู้คุ้มกันทั้งสองไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปพุ่งตัว ออกไปยืนอยู่หน้าเยี่ยเทียน
“ยุ่งยากจริง…”เยี่ยเทียนถอนใจ หันไปพูดกับอวี๋ชิงหย่าว่า “เธอสองคนรอฉันแป้บนึง ฉันจัดการเสร็จแล้วจะตามไป!”
เยี่ยเทียนตบมืออวี๋ชิงหย่าเบาๆ แล้วหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับผู้คุ้มกันทั้งสอง เรื่องราวใหญ่โตจนไม่อาจยอมความกันได้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเจรจากันอีก วางมวยใส่กันเลย
“เจ้าหนุ่มนี่แย่แน่ สองรุมหนึ่ง สู้เขาไม่ไหวหรอก…”
“ผู้จัดการอู่ล่ะ? เรียกเขามาห้ามทัพคุณชายหวงเร็ว!”
“โอ๊ย ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? ทำไมสองคนนั้นลงไปกองอยู่กับพื้นแล้วล่ะ?”
ผู้ที่มุงดูอยู่ ต่างตกตะลึง น่าจะเป็นเยี่ยเทียนที่โดนเล่นงาน แต่ตอนที่การต่อสู้หยุดลง กลายเป็นฝ่ายผู้คุ้มกัน สองคนของหวงซือจื้อนอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น
เยี่ยเทียนตบมือ ยิ้มเย็นให้หวงซือจื้อที่นั่งอยู่ไม่ไกล พูดว่า “ทีหลังอย่าเที่ยวหาเรื่องไปทั่วล่ะ ในโลกนี้ยังมีคนที่แกไม่ควรยุ่งด้วยอยู่อีกมาก!”
เยี่ยเทียนมองออกว่า ชายตรงหน้าลักษณะวาสนาดี เกิดมาชีวิตสุขสบาย แต่ดูจากนิสัยส่วนตัวแล้ว สิ่งที่ได้มาไม่น่าจะมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เพราะทำบุญมาดีจึงได้เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย
คำโบราณกล่าวว่า มังกรมีลูกเก้าตน แต่ละตนนั้นมีลักษณะเด่นต่างกันไป คนที่กล้าหาญอาจจะไม่ใช่นิสัยลูกผู้ชาย เยี่ยเทียนไม่อยากจะมีเรื่องต่อ กล่าวเตือนเขาจบก็หันหลังเดินจากมา
“แก หยุดนะ แกกล้าทำฉัน ฉันจะระเบิดแกให้เป็นชิ้นๆ!”
ตอนที่เยี่ยเทียนหันหลังกลับ อยู่ๆ ก็ขนหัวลุก เพราะเขาเห็นฝ่ายตรงข้ามชักปืนที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา ปากกระบอกปืนดำทะมึนชี้มาที่ตน
ตั้งแต่เยี่ยเทียนจากสำนักมาได้พบเจอกับเรื่องราวมากมาย แต่ถึงขนาดโดนเอาปืนจ่อขนาดนี้เป็นครั้งแรก เสียดายไม่ได้พกเครื่องรางอู๋เหินกับต้าฉีมาด้วย
กวาดตาดูแว้บหนึ่ง เยี่ยเทียนกวาดเท้าลงไปที่พื้น คนที่เพิ่งจะโดนเขาต่อยล้มไปโดนสกัดขาลอยขึ้น ล้มตัวเข้าใส่หวงซือจื้อเต็มๆ
ขณะเดียวกันเยี่ยเทียนรีบเข้าประชิดตัว มือขวาเอื้อมไปคว้าปืนมาจากใต้รักแร้ของฝ่ายนั้น ซัดทีหนึ่ง กระตุกทีหนึ่ง ปืนของหวงซือจื้อก็ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว
……