“อาจารย์ ท่านก็รู้จักมวยแปดสุดยอด”
หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าวแล้ว สายตาของโจวเซี่ยวเทียนก็เปล่งประกายขึ้นมา ตอนที่เขาอายุแปดขวบ ล้วนแต่เป็นพ่อคอยประมือด้วย แต่หลังจากที่พ่อเสียไป เขาก็ฝึกฝีมือเองคนเดียว ไม่เคยได้ประมือกับคนอื่นอีกเลย คนที่คุ้นเคยรอบตัวส่วนมาก ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาเข้าใจวรยุทธ์
แต่ป่าต้นกำลังเสือโคร่งที่ไม่ไกลจากบ้านของโจวเซี่ยวเทียน กลับถูกเขาทำลายไปไม่น้อย ต้นไม้ที่วงเดือนใหญ่ไม่รู้ว่าถูกเขาทำลายไปเท่าไหร่ วรยุทธ์ที่ “ติดตัว” นี้ ก็ฝึกมาแบบนี้แหละ
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “ก่อนหน้านั้นฉันกับปรมาจารย์ของนายเคยไปเยี่ยมสำนักมวยแปด สุดยอดที่ชางโจวมาด้วยกัน เขาฝึกมวยภายนอกจนมีชื่อ แต่หลังจากที่ฝึกปรือมวยภายนอกจนถึงขั้นสุดแล้ว ก็ฝึกลมปราณแฝง ในปีนั้นฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ใช่แล้ว อีกหน่อยนายเจอคนที่ฝึกวรยุทธ์ถึงขั้นที่มีลมปราณแฝง หนีไปให้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี อย่าต่อกรกับอีกฝ่าย โดยเด็ดขาด…”
จุดเด่นของคนที่มีลมปราณแฝงที่ชัดที่สุดคือขมับนูนออกมา คนลักษณะนี้ ส่วนใหญ่คือ พวกที่บำรุงรักษา พลังลมปราณ เป็นอย่างดี
ในตอนที่คนใช้กำลังกาย แต่ละกระบวนท่าล้วนทำให้เกิดพลังเผาผลาญ พลังเผาพลาญเหล่านี้ก่อประกอบ ไปด้วยพลังธาตุ
รูขุมขนของคนเราปิดสนิท เหงื่อไม่ไหลออก พลังเผาผลาญก็ระบายไม่ออก เลือดในร่างกายก็จะกลายเป็น พลังเผาผลาญรวมกับเหงื่อทะลุรูขุมขนออกมา นี่ก็คือหลักการของฝึกพลังลมปราณ หรือก็คือกำลังภายใน
สามารถต้านทานพลังนี้ได้หรือไม่นั้น ก็คือมีลมปราณหรือไม่ โจวเซี่ยวเทียนถึงแม้จะฝึกปรือ ทั้งกำลังภายในและกำลังภายนอก แต่หากพบเจอคู่ต่อสู้ที่มีลมปราณแฝง ยังถือว่าห่างชั้นอีกมากโข
คนที่เยี่ยเทียนและนักพรตเฒ่าไปเยี่ยมเยือนนั้นคือ รุ่นน้องของหลี่ซั่นหยวนที่คบเป็นเพื่อนสนิทกันมาแต่นานนม ในตอนนั้นหลี่ซั่นหยวนให้คนผู้นั้นประมือกับเยี่ยเทียนเพื่อฝึกทักษะการต่อสู้ให้เขา แต่เยี่ยเทียนอายุได้เพียงสิบสามขวบจึงไม่ใช่คู่มือของคนผู้นั้น
แต่ไหนแต่ไรมา เยี่ยเทียนมีความเข้าใจในมวยแปดสุดยอดอย่างลึกซึ้ง มองท่าทางของโจวเซี่ยวเทียน ก็รู้แล้วพื้นฐานของเขาดีมาก
หากสำนักต่อสู้ไม่มีคนที่ฝึกมวยภายในและมวยภายนอกได้ถึงแก่นหรือฝึกมวยภายในจนมีลมปราณแฝงแล้ว เพียงแค่โจวเซี่ยวเทียนคนเดียว ก็กวาดเรียบทั้งสำนักนี้แล้ว
โจวเซี่ยวเทียนเคยเห็นวิธีการของเยี่ยเทียนมาก่อน สำหรับอาจารย์ที่อายุน้อยคนนี้เขายอมแพ้ราบคาบ หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว พยักหน้าอย่างตั้งใจ กล่าวว่า “ใช่ อาจารย์ ผมรู้แล้ว!”
ยืนอยู่หน้าประตูสำนักของคนอื่น เยี่ยเทียนสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้เห็นชายหนุ่มสี่ห้าคนที่ออกมายืนอยู่ข้างนอกในสายตา นี่ก็ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจได้ ตาลุกโชน
หนุ่มกำยำคนหนึ่งอายุราวสามสิบปี กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “เจ้าเด็กน้อย มาหาเรื่องใช่มั๊ย”
“ใช่ แล้วจะยังไง”
โจวเซี่ยวเทียนถึงแม้ประสบการณ์ในการต่อสู้จริงไม่มาก แต่เมื่อซักครู่เพิ่งล้มไปได้สองคน แล้วยังมีเยี่ยเทียนยืนคุมอยู่ด้านข้าง พลังใจตอนนี้สูงลิ่ว เหมือนกับเมื่อปีนั้นที่โมโหบุกสำนักของชาวญี่ปุ่นอย่างไรอย่างนั้น
“เซี่ยวเทียน พวกเรามาเพื่อประมือ อย่าพูดจาไร้สาระ!”
คำพูดของโจวเซี่ยวเทียนยังไม่ทันจบประโยคดี ก็ถูกคำพูดของเยี่ยเทียนตัดตอน หยิบประกาศออกมาจากในมือ เยี่ยเทียนกล่าวว่า “ได้ยินมานานว่าชิวปาคือสำนักที่มีชื่อเสียงเรื่องมวยแปดทิศ สุดยอดของเมืองหลวง เยี่ยเทียนพาลูกศิษย์มารับการสั่งสอน ท่านผู้มีเกียรติ หรือว่าสำนักอันเต๋อแห่งนี้ มีวิธีการต้อนรับแขกกันแบบนี้เหรอ”
ยุทธภพก็มีกฏของยุทธภพ ถึงแม้ว่าจะมาหาเรื่อง แต่สถานการณ์ก็ต้องดำเนินต่อไป เมื่อวานเยี่ยเทียนก็เขียนสาส์นเข้าเยี่ยมเรียบร้อยแล้ว ก็คือที่หยิบออกมาแสดงต่อหน้าในตอนนี้
“แม่เจ้าโว้ย มาหาเรื่องก็คือมาหาเรื่อง จะพูดให้ดูดีไปทำไม”
คนที่ฝึกวรยุทธ์ไม่มีคนที่อารมณ์ดี คนที่อยู่ด้านหลังชายร่างกำยำคนนั้น ม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมมีเรื่อง คนอื่นๆ ก็ลูบหมัดถูมือ อยากจะพุ่งเข้ามากันเเต็มที่
“น้องสี่ อย่ารีบร้อน ไปโทรหาอาจารย์ไป!”
ชายที่ดูอยู่อายุมากหน่อยกันชายร่างกำยำอีกคนไว้ เขากับชิวเหวินตงอายุพอกัน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบสาส์นเข้าเยี่ยมออกมา ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนในยุทธภพ หากทางฝั่งนี้รีบร้อนบุกเข้าไป นั่นก็เท่ากับทำลายกฎ
หลังจากหยุดคนหมู่มากได้แล้ว ชายร่างกำยำนั่นหยิบสาส์นไปดูอยู่ครู่หนึ่ง ผายมือมาทางเยี่ยเทียนพลางกล่าว “ทั้งสองท่านเชิญด้านใน อาจารย์ไม่อยู่ แต่รออย่างมากครึ่งชั่วโมงก็มา พวกเราลูกศิษย์แลกเปลี่ยนกันซักรอบได้หรือไม่”
ชายร่างกำยำถึงแม้คำพูดจะดูมีมารยาท กริยาท่าทางไร้ที่ติ แต่อารมณ์ร้อนในใจของเขา ก็ส่งตรงออกมา
สำนักวิชาต่อสู้อันเต๋อถึงจะเปิดมาไม่นานแค่สองปี ความสัมพันธ์กับคนในวงการต่อสู้ในปักกิ่งนั้นดีมาก ร่วมกับชิวเหวินตงชอบช่วยเหลือคนไปทั่วทำให้มีเพื่อนเยอะมาก เรื่องที่จะมีคนมาหาเรื่องถึงที่ นี่กลับเป็นครั้งแรก
เยี่ยเทียนมองไปบนมือของคนนั้นอีกรอบ กล่าวลอยๆ ออกมา “นายเริ่มเรียนวิชาหมัดเหล็กมาก่อนแล้วค่อยมาเรียนมวยแปดทิศ ยอดเยี่ยมใช่มั๊ยเรียนจากนอกไปใน แต่กลับฝึก ออกมาได้ไม่เลว”
เยี่ยเทียนมองออกว่า คนผู้นี้มือสองข้างหยาบกร้าน เหมือนกับเปลือกไม้แก่ๆ ค่อนไปทางดำออกมานิดหน่อย นี่คือการฝึกวิชาหมัดเหล็กที่ฝึกออกมาได้ในระดับไม่เลวจึงจะปรากฏออกมา
หมัดเหล็ก หรือหมัดมือเหล็ก อาศัยกำลังภายนอกเป็นหลัก เป็นพลังจากหยาง ในตอนที่ฝึกจำต้องใช้หินทรายดำ และยาเป็นตัวช่วยในการฝึก หลังจากฝึกไปได้ระยะเวลาหนึ่งจะสามารถทำลายอิฐหรือหินได้
เยี่ยเทียนกล่าวคำพวกนี้ออกมา ก็เพื่ออยากจะเตือนโจวเซี่ยวเทียนซักหน่อย เพราะเขานั้นมีประสบการณ์ต่อสู้กับคู่อริ มาไม่เยอะ หากถูกชายร่างกำยำชกเข้าลำตัวซักหมัด ไม่ต้องคุยถึงกระดูกเส้นเอ็นขาด อย่างน้อยๆ ก็กระอักเลือดออกมา
“ทั้งสองท่าน เชิญ!”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว ชายร่างกำยำนั้นหรี่ตาลงชั่วครู่ ผายมือเชิญอีกครั้ง ท่าทางระแวดระวังมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ เห็นได้ว่าวรยุทธ์ของเขานั้นไม่ใช่ราคาคุยแน่นอน
ชายกำยำผู้นี้มีชื่อว่าอู่เฉิน ปีนี้อายุสามสิบห้า เป็นคนพื้นที่ชางโจว มณฑลเหอเป่ย ร่ำเรียนวิชาหมัดเหล็กมาตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากฐานะทางบ้าน ไม่มียาใช้กับประกอบการฝึก เกือบจะฝึกจนมือทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ไปแล้ว
ต่อมาได้โอกาสโดยบังเอิญ อู่เฉินได้พบกับชิวเหวินตง ชิวเหวินตงมองว่าเขาเป็นต้นกล้าชั้นดีในการฝึกวรยุทธ์ ก็รับเขามาไว้ข้างกาย หลังจากการปรับสภาพอยู่ห้าถึงหกปี มือสองข้างก็ค่อยๆ กลับมาสู่สภาพปกติ
และอู่เฉินนั้นก็ถือว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนัก ปกติแล้วหากชิวเหวินตงไม่อยู่ สำนักแห่งนี้ก็จะเป็นเขา ที่เป็นคนจัดการ มารับรองเยี่ยเทียนและอีกคนไม่ใช่เรื่องผิดแปลก
“เหอะ สถานที่นี่ไม่เลว!”
หลังจากเข้ามาในสำนักต่อสู้ ตาของเยี่ยเทียนก็เป็นประกาย สถานที่นี้ดัดแปลงมาจากเรือนสี่ประสาน อีกฝ่ายทำลายประตูโค้งของลานด้านหน้าและตรงกลางออกกลายเป็นลานกว้างต่อกัน
พื้นของลานตรงกลาง ล้วนปูด้วยอิฐดำทั้งสิ้น เนื่องจากมีคนฝึกวรยุทธ์เป็นเวลานาน อิฐส่วนใหญ่ล้วนแตกหักหมดทำให้พื้นดูไม่เรียบแหว่งเป็นช่วงๆ
ลานทั้งสองด้าน ตั้งวางชั้นวางอาวุธ ด้านบนแขวนดาบชุนชิว กระบองสู้รบ กระบี่เหลียนหวั๋ย กระบี่เหลียนฮวั๋ยฉุนหยาง กระบองเหล็กเกลี่ยนฮวั๋ยฟานหลง กระบอกห้าแถว พลั่วคุนหลุน ดาบปากว้าและอื่นๆ
ที่มุมหนึ่งของลาน ยังมีเสาปากว้า นี่เป็นการฝึกการย่างก้าวทางหนึ่ง
มวยแปดทิศอาศัยการเดินเป็นหลัก ทางมวยที่ดีของกระบวนท่านี้คือต้องเหมือนมังกรร่ายรำ อ่อนเหมือนกระแสลม อยู่ต่อหน้าแต่ไหลลื่นจับไม่ได้ มักจะทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกมึนงงและตาลาย ต้องอาศัยก้าวย่างที่ค่อนข้างมีทักษะสูง
มองเห็นพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็พยักหน้า ดูแล้วสำนักต่อสู้นี้ก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง อย่างนี้ก็ยังมีคนสืบทอดเคล็ดวิชา คนปกติไม่มีทางแสดงท่าทางออกมาได้หลายหลายกระบวนขนาดนี้
“ทั้งสองท่าน เชิญดื่มชา!”
อู่เฉินไม่ได้ประมาทเพียงเพราะพวกเขาอายุน้อย หลังจากปล่อยให้เยี่ยเทียนและอีกคนเข้าไปที่ลานแล้ว ให้คนยกชามาให้ กล่าวว่า “ฉันอยู่กับอาจารย์ชิวมาได้หกปีแล้ว จะขอคำสั่งสอนจากทั้งสองคนก่อนได้หรือไม่”
อู่เฉินฝึกวิชาหมัดเหล็กมาอย่างเข้มข้นตลอดยี่สิบปี ถึงแม้จะเปลี่ยนมาฝึกวิชามวยแปดสุดยอด พลังของหมัดเหล็กยังคงอยู่ไม่ได้ไปไหน และยังอยู่ในช่วงที่ร่างกายสมบูรณ์สุดขีด ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนที่มีสายตาสูงส่ง ในใจของเขาไม่ได้บังเกิดความกลัวแม้แต่น้อย
เยี่ยเทียนมองไปทางโจวเซี่ยวเทียนครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “เซี่ยวเทียน แสดงฝีมือให้เต็มที่ โจมตีให้สั้นไว้!”
มวยแแปดทิศใช้ร่างกายเป็นฐานและการย่างก้าวเป็นหลัก ต้องทำร่างกายให้ล่องลอยเหมือนธง เคลื่อนที่เหมือนก้อนเมฆลอยล่อง พุ่งเข้าโจมตีแย่งพื้นที่ ไม่ได้มีการคลุกวงในและเข้าใกล้คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย นับเป็นข้อจำกัดของมวยแต่เป็นสุดยอดวิธีการต่อยมวยแบบระยะสั้น ดังนั้นเยี่ยเทียนเลยเตือนโจวเซี่ยวเทียน
“ครับ อาจารย์!”
โจวเซี่ยวเทียนก็ต้องการกระโดดออกไปต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากรับคำแล้วก็เดินออกไปกลางลาน จากนั้นก็แยกเท้าสองข้างออกเป็นหน้าและหลัง มือหนึ่งหันไปทางอู่เฉิน อีกมือหนึ่งกำหมัดแนบเข้าหาหน้าอก วางท่ามวยแปดทิศ
“เด็กน้อยระวังตัวด้วย!”
คนอื่นมาหาเรื่องที่สำนัก อู่เฉินกลับไม่ได้เกรงใจอีกต่อไป เท้าวางกระบวนท่า เคลื่อนตัวไปรอบๆ โจวเซี่ยวเทียน เขาเป็นผู้สืบทอดของชิวเหวินตง แน่นอนว่าเริ่มต้นก็ใช้กระบวนท่าหมัดเหล็กแล้ว
ฝึกมวยแปดสุดยอดมาหลายปี ย่างก้าวของอู่เฉินถึงแม้ไม่ได้ถึงระดับ “ย่างก้าวราวมังกร เคลื่อนไหวราวกับลิง กระบวนท่าเหมือนเหยี่ยว” แต่การเคลื่อนไหวก็รวดเร็วไร้เทียมทาน แค่รอให้โจวเซี่ยวเทียนเผยจุดอ่อน ก็สามารถอาศัยจังหวะเข้าไปโจมตีให้ล้มลงไปได้
แต่มวยแปดสุดยอดเดิมทีการย่างก้าวก็ไม่ดีเท่าไหร่ โจวเซี่ยวเทียนหลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าว ก็ยืนอยู่ตั้งการ์ดป้องกันตนเอง ย่างก้าวไม่สับสน ยื่นมือขวาออกไปหน้าลำตัว หันไปทางอู่เฉินตลอดเวลา ก็เหลือแต่รอคู่ต่อสู่เข้ามาโจมตี
หลังจากเคลื่อนไปรอบตัวโจวเซี่ยวเทียนหลายรอบแล้ว อู่เฉินในที่สุดก็อดไม่ไหว เท้าเคลื่อนที่เร็วราวสายฟ้า มาอยู่ด้านหน้าของโจวเซี่ยวเทียน ออกหมัดหนึ่งไปยังใต้ซี่โครงฝั่งที่โจวเซี่ยวเทียนยื่นแขนขวาออกมา
เพื่อเป็นการสั่งสอนเด็กน้อยทั้งสอง หมัดนี้ของอู่เฉินทุ่มแรงลงไปทั้งตัว เขาเชื่อว่าต่อให้โจวเซี่ยวเทียนเอาการ์ด ลงมาป้องกัน ก็จะสามารถต่อยให้แขนของเขากระดูกหักอยู่ตรงนี้ได้
หลังจากเห็นท่างทางของอู่เฉินแล้ว ลูกศิษย์สำนักที่รายล้อมอยู่โดยรอบ เลือดในกายก็กำลังเดือดพล่าน ก็แค่ รอโจวเซี่ยวเทียนถึงที่สุดก็ส่งเสียง “ดี” ออกมาเท่านั้นเอง
แต่ทว่าในพริบตาที่อู่เฉินออกหมัด ตัวของโจวเซี่ยวเทียนพลันเบี่ยงออกข้าง ร่างกายดูเตี้ยลงไปอีกมา ตามมาด้วยออกแรงไปที่ขาหน้า ไม่รอให้อู่เฉินเปลี่ยนกระบวนท่า ไหล่ซ้ายก็กระแทกเข้าไปที่อกของอู่เฉินเต็มแรง
การกระทำของโจวเซี่ยวเทียนไร้ที่ติ แต่เมื่อซักครู่การออกแรงนั้นรุนแรง จึงทำให้มี “โยกไปกระแทกให้ฟ้าถล่ม กระทืบเท้าสะเทือนไปเก้าดินแดน” ตามมาด้วยความกระหายของโจวเซี่ยวทียน ร่างกายของอู่เฉินก็กระเด็น ไปข้างหลังอย่างตัวลอย
ไม่ต้องออกแรงมากครู่เดียวก็จอด “ท่าต้านภูผา” เมื่อซักครู่ถูกโจวเซี่ยวเทียน ถ่ายทอดออกมาอย่างหมดจด
……