การแบกง้าวหนักเจ็ดถึงแปดสิบกิโลกรัมวิ่งไปถึงหนึ่งไมล์ กว่าจะมาถึงรถของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็เหนื่อยและอ้าปากหอบ
แต่เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนเปิดกระโปรงหลังรถแล้วปิดมันอีกครั้ง หัวใจของโจวเซี่ยวเทียนก็สงบลงทันที พี่เยี่ยวางกระเป๋านั้นไม่เข้า มูลค่าของมันคงแพงมากแน่ๆ
เปิดประตูหลังรถ เยี่ยเทียนวางกระดูกศพเข้าไป ยื่นมือไปรับง้าวมา
ความยาวของง้าวนี้ประมาณหกสิบเซนติเมตร ตัวดาบอยู่ที่ประมาณแปดสิบเซนติเมตร รวมๆ แล้วยาวกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบเซนติเมตร ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะนำมันมาไว้ในกระโปรงหลังรถ
สามารถวางลงในรถได้ แต่จะต้องวางไปมา มันก็จะเห็นได้ชัดเจนเกินไป ใบง้าวสั่นคลอนสามารถมองเห็นผ่านกระจกในระยะไกลได้
เมื่อดูแล้วเยี่ยเทียนก็ตัดสินใจ เขาเปิดฝาหลังรถ “โธ่เอ๊ย รถเก่าคันนี้ยังไงก็ไม่อยากเก็บเอาไว้แล้ว”
โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกไม่เข้าใจเกี่ยวกับการกระทำของเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนจับด้ามง้าวในมือขวา แล้วผลักไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วใบมีดที่คมและแหลมเจาะทะลุแผ่นเหล็กของกระโปรงหลังรถ และยื่นออกไปถึงที่นั่งด้านหน้า
“เห้ย นี่…อย่างนี้ก็ได้หรือ” โจวเซี่ยวเทียนงงไปหมดทันที ถึงแม้ว่าเขารู้สึกว่าง้าวนั้นหน้าตาก็ไม่เลว แต่ถ้าเอาไปขายคงได้ในราคาแปดพันหรือหนึ่งหมื่น ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะพอไปซ่อมรถหรือเปล่า
เยี่ยเทียนตบมือของเขา แล้วปิดกระโปรงหลังรถ จ้องมองโจวเซี่ยวเทียนและพูดด้วยความโกรธว่า “อึ้งไปทำไม อึ้งอะไร ยังไม่ขึ้นรถอีก”
“หือ ขึ้นรถ” โจวเซี่ยวเทียนรีบเปิดประตูที่นั่งข้างๆ คนขับเข้าไป มองผ่านกระจกหลังไปที่เบาะหลังตลอดเวลา
เยี่ยเทียนเดาความคิดของโจวเซี่ยวเทียนออก ได้แต่แอบยิ้มในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ รถพวกเขาเริ่มขับเข้าไปในเขตเมืองเป่าติ้ง
หลังจากอดทนนานมาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดโจวเซี่ยวเทียนก็อดไม่ได้แล้ว เขามองเยี่ยเทียนในสายตาที่น่าสงสาร และเริ่มตะโกนว่า “เยี่ย…พี่เยี่ย”
“มีธุระอะไรหรือ” เยี่ยเทียนตอบแต่ดวงตาก็มองตรงไปยังทางข้างหน้า
โจวเซี่ยวเทียนหายใจลึกๆ แล้วถามด้วยความกล้าหาญ “พี่เยี่ย พี่…ข้างในกระเป๋าเป็นอะไรกันแน่”
ครั้งนี้เขาเชิญเยี่ยเทียนมาช่วยเขาจัดการเรื่องที่เขาก่อปัญหาและเยี่ยเทียนก็ช่วยเขารักษาอาการเจ็บป่วยที่ปอด ตามเหตุผล ไม่ว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนจะได้มานั้นคืออะไร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เพราะฉะนั้นโจวเซี่ยวเทียนจึงไม่กล้าพูดว่าอยากได้ เพียงแค่แอบถามอย่างอ้อมค้อม
“อยากรู้ ก็หยิบขึ้นมาดูเองมั้ยล่ะ” เยี่ยเทียนยิ้มพูด เด็กคนนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
“เฮ้ งั้นผมดูแล้วนะ” โจวเซี่ยวเทียนรีบตอบ และหันไปคว้าของนั้น
“ดูสิ ดูเถอะ จับไว้แน่นๆ นะ เอาวางที่ใต้เบาะดูก็แล้วกัน”
“พี่เยี่ย ผมรู้ครับ พี่วางใจได้เลย จะไม่ให้คนข้างนอกเห็นแน่ๆ”
โจวเซี่ยวเทียนปรับที่นั่งกลับไปสูงสุด อัดแน่นเข้าไปในที่วางขาหน้ารถ และเขาเอื้อมมือออกไปอย่างกระตือรือร้นปลดปุ่มที่เยี่ยเทียนพูด
เอื้อมมือไปที่ขากางเกงเสื้อรัดรูป โจวเซี่ยวเทียนยังบนว่า คืออะไรนะกลมๆ อ๋อทำไมมีสองตาด้วยวะ
“ทำไมเป็นกะโหลกศีรษะ?”
ขณะที่พูดมือก็หยิบของออกมาแแล้ว เมื่อมองเห็น โจวเซี่ยวเทียนก็สะดุ้ง กระโดดขึ้นทันที “ปัง” หัวกระแทกกับหลังคารถ
โจวเซี่ยวเทียนไม่กลัวคนตาย แต่ก็ไม่กล้าหาญขนาดนั้น เขาไม่กล้าไปปล้นสุสานคนเดียว แต่ว่านี่มันไม่มีการป้องกันอะไรใดๆทั้งสิ้น มือจับกะโหลกศีรษะ ถึงแม้ว่าเขากินดีหมีหัวใจเสือ ก็ทำให้เขากลัวมากกว่าการถือกำเนิดของพระพุทธเจ้าองค์ถึงสององค์
“กล้าทำให้ตกใจขนาดนี้เลยหรือ?”
ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยเข้าไปขโมยของในสุสานโบราณ โจวเซี่ยวเทียนก็สงบลง แตะที่หัวด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งกำลังพยายามเปิดหน้าต่างรถ
หลังจากเห็นการกระทำของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจับข้อมือของเขาด้วยมือขวาแล้วพูดว่า “อย่าดูหมิ่นกระดูกของบรรพบุรุษและถ้าแกกล้าที่จะโยนหัวกะโหลกลงที่นี่ แกไม่กลัวว่าตำรวจจะตามมาหรือ”
“แต่…แต่พี่เยี่ย คุณ…คุณพากระเป๋าใส่กระดูกคนตายมาทำอะไรหรือ”
โจวเซี่ยวเทียนกำลังค้นหาอย่างไม่ตายใจที่ขากางเกงทั้งสองข้างอีกครั้ง และในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าเศร้าไม่ปกปิดความผิดหวังในหัวใจของเขาเลย
“คนรุ่นเก่าในฉีเหมินเมื่อเขามีชีวิตอยู่ ฉันก็ถือว่าได้ความช่วยเหลือจากเขาตอนที่อยู่ข้างล่าง จึงพาเขาขึ้นมาหาโอกาสที่จะส่งเขาไปฝังเพื่อให้เขาสงบสุข”
เยี่ยเทียนอธิบายสั้นๆ กับโจวเซี่ยวเทียน หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน แม้ว่าสีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนจะเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่เขาก็เคารพนับถือซากศพเป็นอย่างมาก จึงเก็บกระดูกและปิดผนึก วางมันไว้ในเบาะหลังอีกครั้ง
เมื่อเห็นการกระทำของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย ที่เขาไม่ควรใช้กระดูกของคนรุ่นเก่านี้มาเพื่อล้อเลียนเขา จู่ๆ บรรยากาศในรถก็ดูเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อผ่านสถานีขนส่งเป่าติ่ง โจวเซี่ยวเทียนก็พูดขึ้นว่า “เยี่ย…พี่เยี่ย ผม…ผมไม่อยากไปปักกิ่งอีกเลย ขอลงที่นี่ก็แล้วกัน ผมจะกลับไปถังซาน”
เยี่ยเทียนเพียงแค่ได้กระเป๋าใส่ศพจากสุสานไม่มีสิ่งของมีค่า โจวเซี่ยวเทียนจึงไม่สามารถขอส่วนแบ่งได้ ถ้าอยู่กับเยี่ยเทียนอีกต่อไปก็ไม่ได้เงินไม่มีอนาคตใดๆ เพราะฉะนั้นเขาก็อยากกลับบ้านแล้ว
“ฮือ ทำไมถึงอยากไปถางซาน” เยี่ยเทียนอึ้งไปสักพัก แล้วเอารถจอดที่ข้างทาง
“ผมออกจากบ้านมาครึ่งเดือนแล้ว ผมเป็นห่วงคุณแม่” โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้โกหกอะไร เขาอยู่กับแม่ต้ังแต่เล็ก นี่ก็คือครั้งแรกที่เขาออกจากบ้านเวลานานขนาดนี้
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วเอ่ยปากถามว่า “แล้วความเจ็บป่วยของแม่แกล่ะเป็นยังไงบ้างหรือว่าแกจะไปปล้นสุสานอีก”
ถึงแม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนมีความไม่ดีเยอะแค่ไหน คำว่ากตัญญูก็เปรียบเทียบได้ทั้งหมด เขาก็อายุน้อยกว่าตนและเป็นทายาทของตระกูลโจว เยี่ยเทียนก็ไม่อยากเห็นเขาหลงผิดลึกไปเรื่อยๆ
“ผม…ผมทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่ไปปล้นสุสาน จะทำอะไรได้อีกเล่า”
โจวเซี่ยวเทียนคลุมใบหน้าด้วยมือสองข้างของเขาและเปิดเผยความอ่อนแอของเขาเป็นครั้งแรกต่อหน้าเยี่ยเทียน อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบแปดหรือสิบเก้าเท่านั้นเอง
“ร้องไห้ทำไม ลูกผู้ชายเลือดออกได้ เหงื่อออกได้ มีเพียงอย่างเดียวที่ออกไม่ได้นั่นก็คือน้ำตา” เยี่ยเทียนตะโกนหนึ่งทีขัดจังหวะเสียงร้องไห้ของโจวเซี่ยวเทียน
โจวเซี่ยวเทียนเมื่อถูกขู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนเขาไม่รู้ว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร และไม่เห็นความหวังใด ๆ
“แก…”
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “แกกลับไปถางซานเถอะ แล้วก็พาแม่แกมาหาฉันที่ปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาโรคคุณป้าฉันจะจ่ายให้ทั้งหมด แต่ว่าแกต้องมาทำงานให้ฉันสามปี ก็ถือว่าคืนค่ารักษาพยาบาลให้ฉันก็แล้วกัน”
“อะไรนะ” โจวเซี่ยวเทียนเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง “เยี่ย พี่เยี่ย พี่พูดจริงๆ หรือ”
ตั้งแต่พ่อของเขาเสียชีวิต โจวเซี่ยวเทียนก็ได้รับการดูถูกและตำหนิจากคนข้างนอก ไม่เคยมีใครริเริ่มที่จะช่วยเหลือเขา จึงทำให้เขามีนิสัยโดดเดี่ยวอย่างที่เยี่ยเทียนรู้จักเขา
รู้สึกถึงความอบอุ่นและเย็นชาของมนุษย์จำนวนมากในโลกใบนี้ โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะช่วยตนเอง ถ้าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนจริงๆ โจวเซี่ยวเทียนก็จะคิดว่าตนหูฝาดไปจริงๆ
“ไร้สาระ เห็นฉันว่างที่จะไปล้อเล่นกับนายหรือ” เยี่ยเทียนจ้องมองโจวเซี่ยวเทียนอย่างโกรธ
“แต่ว่า…พี่เยี่ย ผมทำอะไรก็ไม่เป็นนะ” ผู้คนที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นโจวเซี่ยวเทียนเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูงมาก เขาปฏิเสธที่จะเป็นหนี้บุญคุณใครตั้งแต่เล็กและเขาไม่เต็มใจที่จะให้เยี่ยเทียนช่วยเหลือเขาเพราะสงสาร
สำหรับจิตวิทยาของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็รู้ดีอยู่แล้วเขายิ้มพูดว่า “พ่อฉันเปิดร้านขายของเก่า แกสามารถไปช่วยที่ร้านได้เวลาสามปีนี้ถ้าแกเก็บของขลังสักชิ้นให้ฉันได้ ฉันจะถือว่าแกไม่เอาเปรียบฉัน”
เยี่ยตงผิงมักจะบอกว่าเขาต้องการหาคนมาช่วยในร้านแต่เขาก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ หลังจากมีความคิดที่อยากช่วยเหลือโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจแล้ว
แต่เดิมโจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับสุสานโบราณ เขาใช้จมูกดมก็รู้แล้วว่าวัตถุอันไหนขุดออกมาจากดิน นำไปทำงานในร้านของพ่อได้โดยไม่ต้องฝึกฝน คนงานที่เหมาะสมขนาดนี้ไปหาที่ไหนได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้นโจวเซี่ยวเทียนยังเป็นลูกกตัญญู ตามที่คำโบราณกล่าวไว้ “ความกตัญญูจะต้องเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก” เยี่ยเทียนให้ความสำคัญกับนิสัยนี้ของเขา การใช้คนแบบนี้มันก็วางใจได้
ประกอบว่าเขายังเป็นทายาทของตระกูลโจว ของฉีเหมิน ถ้าเยี่ยเทียนไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว เขาก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“พี่เยี่ย คุณ…คุณพ่อพี่จะรับผมหรือ” สำหรับในฐานะที่เป็นโจรปล้นสุสานของตน โจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกอายในใจลึกๆ ในใจจึงมีการดูถูกตนเองเล็กน้อย
“ฉันว่านะ ทำไมแกเหมือนผู้หญิงเลยโอ้เอ้อะไรกัน ถ้าอยากมาทำงานก็มา ไม่อยากก็ช่างเถอะ”
เยี่ยเทียนตอบอย่างโกรธๆ มองไปรอบๆ หยิบเงินออกหนึ่งร้อยหยวนจากกระเป๋าของเขาแล้วพูดว่า “ไป ไปซื้อซองจดหมายที่ร้านเครื่องเขียนนั่นแล้วก็ซื้อกระดาษมาด้วย”
“ยอม ผมยอมทำงาน พี่เยี่ย พี่รอแป๊บหนึ่งนะ ผมจะไปซื้อเดี๋ยวนี้”
แม้ว่าไม่รู้ว่าจะซื้อซองและกระดาษจดหมายมาทำไม แต่ว่าตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนถูกห่อหุ้มด้วยความดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เงินที่เยี่ยเทียนให้เขาก็ยังไม่ได้รับและวิ่งลงไปจากรถ
หลังจากได้รับกระดาษและปากกาซองจดหมายที่ซื้อโดยโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนเขียนที่อยู่บ้านของเขาลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งมอบให้แก่โจวเซี่ยวเทียนแล้วเปลี่ยนมือซ้ายเขียนขึ้นที่กระดาษอีกแผ่นหนึ่ง
“ฉันเป็นโจรปล้นสุสานที่มีจิตสำนึกที่ดี ขอรายงานให้รัฐบาลรู้ว่ามีสุสานโบราณที่ได้รับการปล้นหลายครั้งอยู่แห่งหนึ่ง สุสานโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองหยางปิง หมู่บ้านเทียนจวางทางทิศตะวันออกห้าร้อยเมตร”
เมื่ออ่านตัวอักษรที่บิดเบี้ยวของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนงงไปหมด “พี่เยี่ย นี่พี่กำลังทำอะไร? ที่บ้านผมยังมีคุณแม่อยู่ ผมจะไม่ไปมอบตัวเด็ดขาด”
เยี่ยเทียนยกมือขึ้นแล้วใช้ปากกาเคาะที่หน้าผากของโจวเซี่ยวเทียน เขาด่าด้วยความโกรธ “ไปให้พ้น ถ้าไปมอบตัวจะให้แกไปซื้อซองและกระดาษจดหมายหรือ?”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แก๊งปล้นสุสานได้ก่ออาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยเทียนรู้ว่าแม้ว่าโจวเซี่ยวเทียน ซึ่งเป็นคนปล้นสุสานที่ไม่เชี่ยวชาญเท่าไหร่ก็สามารถเจอสุสานโบราณแห่งนี้ได้ คาดว่าคนที่เชี่ยวชาญกว่า ก็จะสามารถหาพบได้ในเวลาอีกไม่นานแน่นอน
ง้าวก็ถูกเอาออกมาแล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้คนโบราณที่อยู่ในโลงศพถูกโจรปล้นสุสานทิ้งกระดูกศพไป จึงมีความคิดที่จะแจ้งข้อมูลต่อรัฐบาล
……