“หรือว่า…นี่เป็นผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยที่ออกแบบหลุมฝังศพ” เห็นรูปแบบของเส้นเชือกที่ห้อยบนเสื้อคลุมแบบเต๋าที่ยังไม่เน่าเปื่อย ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นในสมองของเยี่ยเทียน
จักรพรรดิโบราณเพื่อรักษาความลับและความปลอดภัยของสุสานเพื่อป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังมาปล้นหลุมฝังศพคนงานที่สร้างหลุมฝังศพก็จะถูกฆ่าตายทั้งหมด ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือคนงานนับแสนที่ฝังอยู่ในหลุมฝังศพของจิ๋นซีฮ่องเต้
ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฉินเป็นต้นมา แม้ว่าจักรพรรดิจะประกาศว่าไม่ให้มีการฝังศพพร้อมกับคนมีชีวิตอีกต่อไปก็ตาม แต่คนที่สร้างหลุมฝังศพไม่ได้อยู่ในรายการประกาศนั้น เมื่อหลุมฝังศพสร้างเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตาย
ส่วนผู้ที่ออกแบบหลุมฝังศพ ยิ่งอยู่ในรายชื่อที่จำเป็นต้องฆ่า ซึ่งเยี่ยเทียนคาดว่าโครงกระดูกนี้คือผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยในเวลานั้น มันสมเหตุสมผลมาก
“ขอโทษครับรุ่นพี่ เดี๋ยวรุ่นหลังอย่างผมจะสวดส่งวิญญาณ ช่วยให้ท่านไปเกิดใหม่”
เนื้อหนัง โครงกระดูกของศพที่นี่ถึงแม้ว่าเน่าเปื่อยไปตั้งนาน แต่ยังเหลือกลิ่นเหม็นอยู่บ้าง เยี่ยเทียนไม่ได้ย่อเข่าลง ใช้ง้าวในมือเล่มนั้นไปสะบัดบนศพโดยตรง เพื่อเคลื่อนย้ายกระดูก
“เป็นอย่างนี้จริงๆ”
เมื่อโครงกระดูกนั้นถูกเยี่ยเทียนขนย้าย เข็มทิศหล่นจากเสื้อคลุมแบบนักบวชเต๋า เข็มทิศนี้ซึ่งควรจะเป็นของขลัง ได้กลายเป็นไม่มีพลังอันลึกลับหลังจากการกัดเซาะในสุสานเป็นเวลาหลายพันปี
“ฮือ ยังมีนี่อีกหรือ”
หลังจากเข็มทิศลื่นอออกมา เยี่ยเทียนพบว่า ที่กระดูกแขนของนักบวชเต๋าท่านนี้ เหมือนมีสิ่งของดำๆ สักอย่าง จึงใช้ง้าวสะบัดเสื้อเขาออกทันที
“เฮ้ย นี่โดนธนูยิงไปกี่ดอกเนี่ย”
หลังจากสะบัดเอาเสื้อผ้าที่เน่าเปื่อยออก เยี่ยเทียนอึ้งไปทันที เพราะอย่างน้อยมีลูกธนูยี่สิบหรือสามสิบดอกกระจุกอยู่ในกระดูกระหว่างหน้าอกและช่องท้องของเขา ซึ่งในสมัยโบราณ การตายชนิดนี้เรียกว่าลูกธนูหมื่นดอกทะลุหัวใจ
คาดว่านักบวชเต๋าท่านนี้ก็ไม่ใช่คนใจดีเหมือนกัน เมื่อถูกฆ่าเขาต่อสู้กันอย่างรุนแรงแต่สุดท้ายกำปั้นคู่ก็ยากที่จะต้านทานสี่ฝ่ามือได้ เขาก็ถูกลูกธนูฆ่าตายในที่สุด
ไม่ว่าความสามารถส่วนตัวของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับราชสำนัก เยี่ยเทียนส่ายหัวและเตือนตัวเองด้วยคำพูดนี้ก่อนที่จะดูกระดูกต้นขาของชายคนนั้น
ที่ฐานของต้นขาของเขา มีวัตถุสีดำขนาดเท่ากับฝ่ามือ ซึ่งควรจะมัดกับเส้นเอ็น แต่หลังจากที่ผิวหนังเน่าเปื่อย สิ่งของนั้นก็ติดอยู่ในกระดูกของเขา
“มันเป็นกล่องเหล็กหรือ” เยี่ยเทียนสัมผัสกับสิ่งของที่แบนราบเบาๆ ด้วยง้าว และมีเสียงโลหะที่โดดเด่นดังขึ้น
“หรือนี่เป็นวิชาลับของการสืบทอดจากชายคนนี้”
เยี่ยนเทียนไม่สนใจเรื่องกลิ่นเหม็นบนพื้นดินอีกต่อไป ก้มลงหยิบกล่องออกมา “หือ? ไม่ใช่กล่องเหล็ก แต่นี่เป็นไม้หรือ”
กล่องหนักมาก แต่ไม่มีเนื้อโลหะ แต่ทำจากไม้กฤษณาและมีกลิ่นหอมเล็กน้อยที่ปลายจมูก
ในใจของเยี่ยเทียนนั้นมีความตื่นเต้นสักพัก เพราะเคล็ดลับวิชาในสมัยบัจจุบันนั้นมีน้อยมาก นอกจากการสืบทอดจากครอบครัวตัวเองแล้ว เขาไม่เคยเห็นคนของนิกายลี้ลับอื่นเลย เมื่อคิดว่ากล่องไม้ในมือของเขามีแนวโน้มที่จะเป็นการสืบทอดของนักบวชเต๋ามากที่สุด หัวใจของเยี่ยเทียนก็ตื่นเต้นร้อนใจเป็นไฟ
ปุ่มทองแดงของกล่องไม้ยังเก็บไว้อย่างสมบูรณ์ เยี่ยเทียนเขี่ยปุ่มออกมา แล้วเอื้อมมือออกมาเพื่อเปิดกล่อง
“ผ้าไหม?”
เมื่อมองไปที่ผ้าไหมบางๆ ในกล่องไม้ เยี่ยเทียนก็ดีใจมาก แม้จะมีกระดาษอยู่แล้วในสมัยราชวงศ์ถัง แต่สำหรับการบันทึกที่มีค่าบางอย่าง ส่วนใหญ่จะเขียนไว้บนผ้าไหม นี่คาดว่าเป็นการสืบทอดของนักบวชเต๋าท่านนี้จริงๆ
ไม่ทันที่จะคิดรายละเอียด เยี่ยเทียนเอื้อมมือหยิบออกมา แต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นในเวลานี้ ผ้าไหมที่เขาถืออยู่กลายสภาพเป็นผงและเถ้าลอยหายไปตามการกระทำของเยี่ยเทียน
“หา? นี้…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เยี่ยเทียนไม่ใช่นักโบราณคดีมืออาชีพและแม้แต่จิตสำนึกการป้องกันของโบราณวัตถุในหลุมฝังศพ ก็ยังไม่ดีเท่ากับโจวเซี่ยวเทียนซึ่งเป็นโจรปล้นสุสานกระจ้อยร่อยที่อยู่ด้านบน
เยี่ยเทียนไม่ทราบว่า วัตถุที่ถูกฝังในหลุมฝังศพเป็นเวลาหลายพันปี จะสลายตัวไปเป็นฝุ่นไปถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างมืออาชีพ หลังจากเผชิญกับออกซิเจน
เคยมีสุสานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีในประเทศ เวลามันถูกเปิดขึ้น เจ้าหน้าที่โบราณคดีได้เห็นโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่งเปลี่ยนสีอย่างช้าๆ เมื่อลมจากเครื่องเป่าลมพัดผ่านที่โต๊ะสี่เหลี่ยม มันกลายเป็นฝุ่นเถ้าทั้งหมด
“ นี่…นี่ทำยังไงดีอะ”
การสลายตัวของผ้าไหมทำให้เยี่ยเทียนกลายเป็นบ้า แม้ว่าเขาจะคาดเดาหลักการออกแล้ว แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้เพื่อไม่ให้ผ้าไหมสลาย
“ใช่แล้ว กระแสพลังหยางน่าจะสามารถรักษาผ้าไหมเหล่านี้ได้” ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงคิดได้ เขาจำได้ว่าอาจารย์เคยบอกว่า ดินที่มีพลังหยินและกระแสพลังหยินที่ไม่เคยเจอแสงแดดในหลุมฝังศพนั้น สามารถเก็บรักษาสิ่งของที่ถูกออกซิเดชันได้ทั้งหมด
เมื่อนึกถึงตรงนี้ มือขวาของเยี่ยเทียนจึงออกแรงเล็กน้อย แล้วเร่งกระตุ้นกระแสพลังพิฆาตหยินในง้าว และแล้วกระแสพลังพิฆาตหยินก็ไหลออกจากง้าวไปห่อกล่องไม้ไว้
อย่างที่เยี่ยเทียนคาดคิด หลังจากกระแสพลังพิฆาตหยินห่อกล่องไม้ การสลายตัวของผ้าไหมในนั้นก็หยุดลงอย่างกระทันหัน เมื่อเยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบอีกครั้ง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น
ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อผ้าไหมสัมผัสกับอากาศ ความหนาของผ้าไหมประมาณหนึ่งนิ้วก็สลายตัวไปทั้งหมดและสองนิ้วของเยี่ยเทียนที่หยิบขึ้นมา ก็เพียงแค่บีบขี้ฝุ่นเถ้าเท่านั้น
“มันน่าเสียดาย ผมนี่เป็นลูกจองล้างจองผลาญจริงๆ” เยี่ยเทียนตอนนี้อยากจะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตาและด้วยการถอนหายใจ ฝุ่นเถ้าในกล่องก็กระจายไปทั่ว และลอยอยู่ในสุสาน
“เอ๋? ยังมีของอีก?” เมื่อเยี่ยเทียนมองไปที่ด้านล่างของกล่อง ใจของเขาก็เต้นรัวอีกครั้ง เพราะพบว่ามีผ้าสีน้ำเงินหนึ่งชิ้นพับในกล่องไม้
เยี่ยเทียนไม่กล้าที่จะคว้ามันด้วยมือในคราวนี้ เขาทั้งประคองกล่องไม้ด้วยกระแสพลังหยินและปล่อยกระแสพลังหยินไปสัมผัสที่ตั้งของดินในหลุมฝังศพนี้
ดินหยินที่กล่าวถึงในฉีเหมิน หนึ่งคือไม่เคยเห็นดวงตะวันเลยและสองก็คือว่ามันจะต้องได้รับการบ่มเพาะด้วยกระแสพลังหยิน ในดินเองก็มีกระแสพลังหยินอยู่แล้ว แต่ดินก็ไม่เหมือนหยก ดินเก็บกระแสหยินได้ค่อนข้างยาก
ภายใต้การสัมผัสของเยี่ยเทียน ในไม่ช้าเขาก็สังเกตเห็นความแตกต่างภายใต้ก้อนอิฐที่ปูพื้น หลังจากเอื้อมง้าวออกไปขุดก้อนอิฐสี่เหลี่ยมนั้นออกมา เยี่ยเทียนบีบดินเล็กน้อยในนั้นขึ้นมา
โรยดินหยินนี้บนผ้าผืน เยี่ยเทียนแอบอธิษฐานในใจว่า “หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยรักษาผ้าชิ้นนี้ได้!”
ปิดกล่องไม้แล้วเก็บซ่อนไว้ในเสื้อของตนอย่างแน่นหนา มองดูโครงกระดูกศพนั้น เยียเทียนก็ลังเลขึ้นมา
ในแง่หนึ่ง การตายของคนเป็นเรื่องใหญ่ฝังในดินคือได้สงบสุด ในฐานะรุ่นเก่าของฉีเหมิน เมื่อเยี่ยเทียนพบเจอแล้ว มันก็คือโชคชะตา เขาควรช่วยเขาเก็บกระดูกและฝังศพ
ส่วนเยี่ยเทียนได้รับประโยชน์อย่างมากในหลุมฝังศพนี้และต้องขอบคุณเขา หากไม่ช่วยเก็บกระดูกของเขามันก็จะไร้เหตุผล
หลังจากคิดครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนยื่นมือออกและดึงขากางเกงทั้งสองของเขาลง แล้วไหว้กระดูกของนักบวชเต๋าคนนั้น โดยพูดในปากของเขาว่า “ขออนุญาต”
ไม่คำนึงถึงกลิ่นเหม็นที่มาจากจมูกของเขา เยี่ยเทียนใส่กระดูกของนักบวชเต๋าทั้งหมดไว้ในขากางเกง คุณภาพของเสื้อชุดนี้ดีมากและยืดหยุ่น เยี่ยเทียนไม่กลัวที่จะทำให้เสื้อเสียหาย
ถึงเวลาออกเดินทาง หลังจากมองย้อนกลับไปที่โลงศพขนาดใหญ่ในสุสาน เยี่ยเทียนเดินออกจากหลุมศพด้านหลัง พร้อมกระดูกของนักบวชเต๋าและง้าว กลับไปที่พื้นโดยผ่านทางเดินในสุสาน
“ใคร?”
เยี่ยเทียนเพิ่งโผล่หัวออกมาจากอุโมงค์ เห็นโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังนอนตะแคงข้างพร้อมหญ้าแห้งที่อยู่ด้านบนศีรษะก็กระโดดขึ้น คืนนี้เขาค่อนข้างกังวลเหมือนกันเพราะกลัวว่าจะมีใครเดินเข้ามาและก็กลัวว่าเยี่ยเทียนเกิดเรื่องอะไรที่ข้างล่าง
“ตะโกนอะไร เสียงเบาๆ หน่อยสิ”
มันเกือบตีห้าแล้ว มีเสียงไก่ขันจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลเข้ามาในหู หากผ่านไปสักครู่ ถนนสายนี้ก็จะมีคนผ่านแล้ว
“พี่เยี่ย เป็นคุณเองหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกตกใจและดีใจ โดยเฉพาะหลังจากเห็นขากางเกงและง้าวของเยี่ยเทียนที่หิ้วมา โจวเซี่ยวเทียนก็ยิ้มจนตาหยี
แม้ว่าการเดินทางของเยี่ยเทียนครั้งนี้เพื่อช่วยเขาบรรเทาภัยพิบัติ แต่เขาก็ต้องใช้เวลาสองคืนติดต่อกันในการต่อสู้กับความหนาวของสายลมตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อยืนยามให้เยี่ยเทียน ซึ่งไม่มีผลงานใดๆ แต่ก็ทำงานหนัก เมื่อเยี่ยเทียนได้รับสิ่งของจากหลุมฝังศพ ไม่ว่าเยอะหรือน้อยก็จะแบ่งให้ตนนิดหน่อย
เห็นขากางเกงสองข้างตุงๆ ก็ยังมีวัตถุมีคมออกมา โจวเซี่ยวเทียนสามารถมั่นใจได้ว่ามันจะต้องเป็นเครื่องทองและเงินแน่ๆ แม้ว่าพี่เยี่ยพูดว่าจะไม่ขโมยของในสุสาน แต่สิ่งที่ขุดออกมานั้นเป็นของดีทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงงงวย เยี่ยเทียนก็ด่าอย่างอดไม่ได้ “แกกำลังโง่อะไรอยู่ รีบทำความสะอาดที่นี่และปิดอุโมงค์ เดี๋ยวไม่ทันแล้ว เราต้องรีบกลับปักกิ่งคืนนี้”
“เฮ้ พี่เยี่ย คอยดูนะ ผมจะทำทั้งหมดนี้เอง” โจวเซี่ยวเทียนที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยคำพูดของเยี่ยเทียน เอาพลั่วออกมาและเริ่มทำงาน หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที อุโมงค์นั้นก็กลับสู่สภาพเดิม
หลังจากที่โจวเซี่ยวเทียนจัดการอุโมงค์เรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเสื้อใหม่ผ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขาห่อกระดูกศพของนักบวชเต๋าด้วยชุดแนบเนื้อที่เขาถอดออกมา และหาเชือกป่านมามัดให้แน่น
“ไปกันเถอะ!” หนึ่งมือของเยี่ยเทียนหิ้วง้าว อีกมือหนึ่งถือกระเป๋ากระดูกศพเขาร้องบอกโจวเซี่ยวเทียนแล้วรีบไปยังที่ที่เขาจอดรถ
“พี่เยี่ย ผม…ผมช่วยคุณถือดีไหม”
ใครบอกว่าโจวเซี่ยวเทียนเป็นคนเย็นชา ตอนนี้เขาก็กระตือรือร้นมาก ดวงตาของเขาก็เป็นประกายโดยไม่เคยห่างจากกระเป๋าที่เยี่ยเทียนห่อไว้
“อยากช่วยหรือ? ก็ได้” เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วเอาง้าวที่อยู่ในมือขวายื่นให้โจวเซี่ยวเทียน
“เฮ้ย นี่…นี่เป็นอะไรถึงหนักขนาดนี้”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนถือง้าวนั้นอย่างสบายๆ โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อเขาเอาง้าวมาถือเองมือของเขาก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว จนแทบโจมตีที่หน้าเท้าของตน
“ทำไมเล่า? ถ้าแกถือไม่ไหวก็คืนฉันมา” เยี่ยเทียนยิ้ม
“หากแกอยากมีส่วนแบ่งสิ่งของ ตอนนี้ก็เป็นโอกาสของแก แสดงฝีมือหน่อย”
โจวเซี่ยวเทียนรีบตอบว่า “ ได้ ได้”
โจวเซี่ยวเทียนฝึกการต่อสู้ตั้งแต่เล็ก ด้วยความแข็งแกร่งของแขนทั้งสองแม้จะถือง้าวบนไหล่ของเขา เขาก็สามารถเดินตามรอยเท้าของเยี่ยเทียนได้
…………