หลังจากนั่งอยู่ในร้านกาแฟหนึ่งชั่วโมง เห็นผู้ว่าจ้างมีสีหน้าอดรนทนไม่ไหวแล้ว อวิ๋นหยางจึงเรียกลูกศิษย์ให้ลุกขึ้น เดินไปยังทะเลสาบทางทิศใต้โดยการนำทางของหวังเจียซวินและเฉินสี่ฉวน
ในฐานะสหายของเฉินสี่ฉวนและสหายทางธรรมของหัวหหน้านักพรตเต๋าอวิ๋นหยาง เยี่ยเทียนจึงติดตามไปด้วย
ว่ากันตามตรง ในใจเยี่ยเทียนยังนึกสงสัยอยู่บ้าง สถานที่นี่อยู่เชิงเขาติดริมน้ำ ไม่ว่าจะมองจากทางไหน ฮวงจุ้ยล้วนไม่มีปัญหาอะไร เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีพรายนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่ค่อยปักใจเชื่อนัก
พอเลี้ยวครั้งหนึ่งที่เชิงเขา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือทะเลสาบกว้างใหญ่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด มีเรือครูซไม่กี่ลำลอยโดดเดี่ยวอยู่บนผิวน้ำ กั้นไว้เป็นเขตหวงห้าม นอกจากพนักงานแล้วที่นี่ก็ไม่มีแขกมาพักอยู่แม้แต่คนเดียว
ขณะที่อยู่ห่างจากริมทะเลสาบประมาณยี่สิบกว่าเมตร หวังเจียซวินชี้ไปยังจุดหนึ่งแล้วกล่าว “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ที่นี่แหละครับ ทั้งสองคนตกลงไปในน้ำตรงตำแหน่งต้นไม้คอคดนั่น กว่าจะงมขึ้นมาได้ ก็ถูกปลากัดแทะจนไม่เป็นรูปทรงแล้ว!
แล้วก็……แล้วก็ตอนกลางคืนมีพนักงานเห็นเงาดำอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ แต่พอใช้ไฟฉายส่องไป เงานั่นกลับหายไปทันที……”
สองวันมานี้ที่นี่เกิดเหตุมากมายขนาดนั้น หวังเจียซวินจึงไม่กล้าไปอยู่ข้างหน้า ด้วยเกิดความกลัวว่าตัวเองจะถูกผีพรายลากลงไปด้วย พอชี้อยู่ไกล ๆ แล้ว ก็กระเถิบร่างถอยออกไป
“อาตมาขอดูหน่อย!”
อาจดูว่านักพรตอวิ๋นหยางไม่รู้วิชาพยากรณ์ แต่ก็มีใจกล้าหาญไม่ธรรมดา หลังจากเดินตรงไปพิจารณายังต้นไม้คอคดต้นนั้นแล้ว ก็หันร่างกลับ กล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้นว่า “ประสกหวัง พลังหยินที่นี่รุนแรงมาก ในอดีตคงจะมีคนผูกคอตายบนต้นไม้นี่แต่ไม่ตาย กลับตกลงไปในน้ำแล้วจมน้ำตาย ดังนั้นจึงมีความแค้นหนัก มักล่อลวงคนให้ลงไปในน้ำเพื่อคร่าเอาชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการทำนายโหงวเฮ้งหรือฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์พยากรณ์ กระทั่งรวมไปถึงด้านธุรกิจการค้าขายของเก่า สิ่งที่เน้นหนักก็คือฝีปาก ยิ่งคุณพูดจาให้เรื่องราวดูพิสดารมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดึงธนบัตรเป็นกอบเป็นกำออกจากกระเป๋าลูกค้าได้มากเท่านั้น
คำพูดพวกนั้นของอวิ๋นหยาง เยี่ยเทียนมองแล้ว เป็นเพียงคำพูดเลอะเลือน และสาเหตุที่เขากล้าเดินไปตรวจสอบดูใต้ต้นหลิวคอคดนั่น เป็นเพราะเข็มทิศในแขนเสื้อของอวิ๋นหยางไม่แสดงออกให้เห็นว่าที่ตรงนั้นมีพลังชั่วร้ายสิงสถิตอยู่
แต่เยี่ยเทียนรู้ ไม่ได้หมายความว่าเถ้าแก่หวังจะรู้ไปด้วย พอเสียงของนักพรตเงียบลง หวังเจียซวินก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง งั้น……งั้นท่านว่าควรจะทำยังไงดี?ขืน……ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราทำการค้าต่อไม่ได้แน่!”
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ปิดทำการชั่วคราวจนทำให้สูญเสียรายได้ สองวันนี้ยังต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวผู้สูญเสียอีก เป็นเงินกว่าห้าแสน หากมีคนตายอีกล่ะก็ บ้านพักตากอากาศแห่งนี้คงต้องปิดตัวลงอย่างแน่นอน
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ประสกหวังไม่ต้องกังวล!”
นักพรตอวิ๋นหยางมีท่าทีสบาย ๆ โบกมือไปมากล่าวว่า “เจ้าวิญญาณแปลกปลอมตัวนี้อยู่ใต้รากต้นหลิว รออาตมาทำพิธีเสร็จ แล้วใช้ยันต์สะกดต้นหลิวโบราณต้นนี้ไว้ ร่ายคาถาสักรอบ ต่อความคับแค้นของวิญญาณนี้จะหนักหนาสาหัส ก็สามารถถูกข้าส่งวิญญาณได้ เพียงแต่……”
“หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง เพียงแต่อะไร?” หวังเจียซวินถามขึ้นอย่างร้อนรน
หัวหน้าอวิ๋นหยางถอนหายใจออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เพียงแต่ยันต์นี้เป็นมรดกตกทอดมาจากอาจารย์ ถึงตอนนี้มีเหลือไม่กี่ชิ้นแล้ว อาตมารู้สึกเสียดายไม่อยากใช้!”
หวังเจียซวินที่อยูด้านข้างตกตะลึง เอ่ยปากถาม “ตกทอดมาจากอาจารย์ของท่าน?งั้น……งั้นเขาอายุเท่าไหร่แล้วหรือ?”
มองจากภายนอก นักพรตเต๋าผู้นี้น่าจะอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ถ้าหากอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ จะไม่ถึงขั้นเก้าสิบกว่าหรือไง?
“ท่านอาจารย์เสด็จสู่สวรรค์กลายเป็นเซียนไปแล้ว นี่เป็นของต่างหน้าเขา ช่างเถอะ ยันต์นี้ล้ำค่ามากเกินไป ไม่ใช้ดีกว่า ใช้เพียงคาถาก็น่าจะพอกำจัดความอัปมงคลนี้ไปได้!”
นักพรตเต๋ามองหวังเจียซวินอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง คนผู้นี้ไม่มีหัวคิดเอาซะเลย ต้องให้ตัวเขาเอ่ยปากตรง ๆ ว่าต้องเพิ่มเงินงั้นหรือ?
“อย่า ๆ หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ใช้เถอะ ราคาเท่าไหร่ท่านเปิดราคามาเลยพวกเราตกลง ทำตามนั้นได้ไหม?”
นาทีนั้นหวังเจียซวินถูกอวิ๋นหยางหลอกล่อจนเชื่อสนิท ในใจคิดว่าหากจับผีตัวนั้นไม่ได้ล่ะก็ อนาคตจะไม่สร้างความปั่นป่วนให้พวกเขาหนักข้อขึ้นอีกหรือ?ครั้งนี้ต่อให้จ่ายเงินเพิ่ม เขาก็ต้องถอนรากถอนโคนให้สำเร็จ
“ผู้ละทิ้งทางโลกไม่พูดถึงเรื่องเงินทอง เราจะต้องการสิ่งของในโลกีย์วิสัยพวกนี้ไปเพื่ออะไรกัน?”
สายตาของอวิ๋นหยางราวกับเห็นเงินทองเป็นของโสโครก เปลี่ยนประเด็นในทันใด “ประสกหวัง เอาอย่างนี้ เดี๋ยวท่านบริจาคค่าธูปเป็นเงินสักห้าหมื่นหยวนก็แล้วกัน!”
ตกลง ห้าหมื่นก็ห้าหมื่น หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ท่านต้องใช้ยันต์ที่ดีที่สุดนะ!” เถ้าแก่หวังพยักหน้าติดต่อกัน ออกปากรับคำในทันใด
“วางใจเถอะ อาตมาจะเริ่มเดี๋ยวนี้ รับประกันได้ว่าหลังผ่านวันนี้ไป สถานที่นี้ของประสกจะสงบสุขไร้ปัญหา!”
เห็นอีกฝ่ายดีอกดีใจอย่างนั้น ในใจนักพรตนึกเสียดายขึ้นมา รู้อย่างนี้ออกปากสักแสนหนึ่งไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้จะให้กลับคำก็ชักไม่ดี
“แม่เจ้า นักพรตเฒ่าเฮงซวยตลบแตลงเก่งจริง ๆ ตอนนั้นท่านอาจารย์หลอกล่อเจ้าสัวเหมียวในเมืองให้ช่วยเขาซ่อมแซมอารามเต๋า แต่ก็ยังหยิบยกเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาบ้าง ตาแก่นี่ถึงกับจับเสือมือเปล่าเลยเชียวหรือ?”
ได้ยินคำพูดของอวิ๋นหยางแล้ว เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเกร็งหน้านิ่ง ขืนตาแก่โป้ปดขึ้นมาอีกครั้ง เขาคงจะกลั้นขำออกเสียงไม่อยู่แน่นอน
มีอาจารย์ที่ไหนให้ยันต์อะไรเป็นมรดกตกทอดกัน?ก็แค่นักพรตเต๋าวาดขึ้นมาเองตอนว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำเท่านั้น แถมยังไม่ใช้ชาดด้วยซ้ำ เป็นแค่สีน้ำดำกับแดง ตอนเยี่ยเทียนอยู่ในอารามเต๋ายังเคยปรึกษาเขาว่าควรจะวาดอย่างไรดี
ของที่ราคาแผ่นหนึ่งราคาไม่ถึงเหมาอย่างนี้ ออกมาจากปากนักพรตเต๋ากลับมีราคาถึงห้าหมื่น ตอนนี้เยี่ยเทียนชักสงสัยว่านักพรตเต๋าคนนี้ก่อนออกบวชเคยไปคลุกคลีใน “สำนักเจียงเซียง” บ้างหรือเปล่า?
“ศิษย์เอ๋ย จงวางวงเวท!”
ในเมื่อตกลงเงินกันเรียบร้อยแล้ว นักพรตเต๋าก็ย่อมต้องทำพิธี พอเสียงคำสั่งเงียบลง นักพรตน้อยผู้นั้นก็นำแผนภาพไท่จี๋แปดทิศแผ่วางลงบนพื้นเคียงข้างต้นหลิว
ขณะเดียวกันพนักงานสองคนก็ขนย้ายเอาโต๊ะยาวจากในบ้านพักตากอากาศออกมา วางลงตรงหน้านักพรตเต๋า บนโต๊ะนั้นยังมีผลแตงบูชากับกระถางธูปหนึ่งใบและน้ำหนึ่งถ้วย
นักพรตเต๋าสะบัดผมสยาย ดึงเอาดาบไม้ท้อความยาวเพียงมีดสั้นออกมา ร้องเสียงดังว่า “ไท่ซั่งมีประกาศิต ปลดปล่อยวิญญาณเร่ร่อนของเจ้า ภูตผีปีศาจทั้งหลาย สรรพสัตว์ล้วนได้รับกรุณา มีหัวหลุดพ้น ไร้หัวล่องลอย สังหารด้วยมีดปืน กระโจนน้ำแขวนคอ รับสั่งปลดเปลื้องทุกหมู่เหล่า เกิดใหม่โดยพลัน รับสั่งปลดเปลื้องทุกหมู่เหล่า เกิดใหม่โดยพลัน!”
หลังจากบริกรรมคาถาฉบับย่อนี้จบแล้ว นักพรตเต๋าก็ดื่มน้ำในชามข้างหน้าอึกหนึ่ง พ่นน้ำจากปากลงบนดาบ จากนั้นมือซ้ายก็หยิบยันต์ออกมา มือขวาเลือกนำเอายันต์มาติดไว้บนดาบ เอ่ยปากร้องออกมาสั้น ๆ “ไท่ซ่างเหล่าจวิน เกิดใหม่โดยพลัน!”
พูดไปก็แปลก ขณะนักพรตอวิ๋นหยางร้องบทนี้ขึ้นมา ยันต์บนดาบเกิดลุกไหม้ขึ้นมาเอง ผู้คนรอบด้านที่กำลังมองอยู่ต่างเบิกตาโต เผยให้เห็นสีหน้าอันไม่คาดฝัน
“เฮ้ ตาแก่นี่ยังนับว่ามีความสามารถอยู่บ้างนี่นา?” เห็นภาพนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็อดตื่นเต้นไม่ได้ นับว่านักพรตอวิ๋นหยางยังรู้จักศิลปะการแสดงละคร สร้างสีสันออกมาได้
ยันต์ที่ลุกไหม้ขึ้นมาเองนี้ ในสายตาคนอื่นถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์สุด ๆ แต่ว่าในสายตาเยี่ยเทียน เป็นเพียงปาหี่เร่ร่อนเล็ก ๆ เท่านั้น
แค่ทาโซเดียมคลอไรด์บนกระดาษ พอกระดาษสีเหลืองแผ่นนี้เจอน้ำหรือคาร์บอนไดออกไซต์ ก็จะเกิดลุกไหม้ขึ้นมาเองในทันที กลวิธีนี้เยี่ยเทียนสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบสองปีแล้ว
เยี่ยเทียนเองก็ไม่เคยเห็นใครใช้ปาหี่ชนิดนี้มานานหลายปี ตอนนี้ได้มาเห็นยังตื่นตาตื่นใจอย่างมาก คงจะพูดว่าเป็นนักพรตซังกะบ๊วยไม่ได้อีก
รับเงินคนอื่นไปห้าหมื่นหยวน นักพรตเต๋าจึงทำการแสดงพอสมควร หลังจากยันต์เผาไหม้เสร็จแล้ว เขาก็ย่ำก้าวตามผังเจ็ดดาว ส่ายหน้าสะบัดหัวแสร้งทำเป็นเทพสะกดวิญญาณต่อ
“ให้ตายเถอะ หมอนี่กำลังทรงเจ้าเข้าผีหรือเบิกแท่นทำพิธีอยู่กันแน่?”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าที่มาวันนี้คุ้มค่าแล้วจริง ๆ มีนักพรตเต๋าที่ไหนทำพิธีแบบนี้กัน?เพียงแค่เปลี่ยนดาบไม้ท้อนั่นเป็นกลองไคหยวน ท่วงท่านี้ก็จะเหมือนกับการทรงเจ้าเข้าผีในลัทธิบูชาวิญญาณสมัยราชวงศ์ชิงในอดีตชัด ๆ
ภาษิตว่าหากเข้าใจจะมองเห็นแบบแผน ไม่เข้าใจจะมองว่าน่าตื่นเต้น เฉินสี่ฉวนกับหวังเจียซวินอีกทั้งพนักงานเหล่านั้น ต่างมองอย่างเบิกบานสุขใจ หากไม่กลัวว่าจะเป็นการรบกวนท่านนักพรต คงต้องเอ่ยร้องชื่นชมออกไปแล้ว!
ราวกับสัมผัสความตื่นอกตื่นใจของผู้คนได้ การเต้นรำของนักพรตยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก อาจจะดูว่าอายุเขาไม่น้อย แต่ร่างกายยังคล่องแคล่วว่องไวอย่างมาก หลังจากเต้นรำไปกว่าห้านาทีเต็ม ท่วงท่าจึงได้ค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลง
หลังจากนักพรตน้อยเห็นอวิ๋นหยางหยุดนิ่ง พิงตัวยังบนต้นหลิวคอคดต้นนั้น ก็อดร้องเตือนขึ้นมาไม่ได้ “ท่านอาจารย์ ระวัง ข้างหลังเป็นทะเลสาบ!”
นักพรตทำเป็นหูทวนลมต่อคำพูดของลูกศิษย์ ก่อนอื่นใช้สองมือรวบผมขึ้นมา จากนั้นใช้ดาบไม้ท้อเล่มนั้นเสียบเข้าไปตรง ๆ แทนปิ่นปักผม แล้วจึงเอ่ยปากพูด “กลัวอะไร อาจารย์อย่างข้าเคยยืนท่าไก่ทองขาเดียวบนยอดเขาไท่ซานมาแล้ว มีหรือจะตกลงไปได้?”
แต่ใครจะรู้ว่าพอเสียงของอวิ๋นหยางเงียบลง ร่างที่เดิมยืนอยู่นั้น กลับถอยร่นลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง เสียงดัง “ตูม” ทั้งเนื้อตัวหล่นลงไปยังในน้ำ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไร้สิ่งใดเทียบ กว่าทุกคนจะเห็นเพียงสองมือของท่านนักพรตโผล่อยู่เหนือน้ำนั่น ผ่านไปเพียงแค่สองวินาที ทุกคนต่างแสดงปฏิกิริยาไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
นักพรตน้อยที่ยืนอยู่ริมโต๊ะกลับแสดงออกได้อย่างว่องไว หลังกระโดดห่างออกมาสี่ห้าเมตรแล้ว ก็ร้องตะโกนเสียงดัง “ผี!บังอาจกระทำการชั่วร้ายกลางวันแสก ๆ นี่……นี่มันผีร้าย!”
ปาหี่เร่ร่อนพวกนี้กับทอล์คโชว์ไม่ค่อยต่างกัน มีคนเล่นมุกก็ต้องมีคนตบมุก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการแสดงของนักพรตน้อยคือตัวตบมุก ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ลืมช่วยอาจารย์ของเขาแสดงละคร
“แม่เจ้าโว้ย ไอ้นั่นมันอะไรกัน?”
คนอื่นไม่ทันได้มองชัด ๆ ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่เยี่ยเทียนกลับเห็นอย่างชัดเจน ชั่ววินาทีที่ร่างของนักพรตตกลงไปนั่นเอง เยี่ยเทียนเห็นช่วงข้อเท้าของนักพรต มีมือดำมะเมื่อมขนดกรุงรังจับเอาไว้
“อาเฉิน ให้เรือลำนั้นแล่นเข้ามา ผมจะไปช่วยคนก่อน!”
นาทีนั้นเยี่ยเทียนไม่สนใจจะเดาว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออะไรแล้ว ตะโกนใส่เฉินสี่ฉวนทางหนึ่ง พลางถอดเสื้อผ้ากระโดดลงไปยังจุดที่นักพรตเต๋าตกลงไปในน้ำ
ปกติแล้วคบหากับอวิ๋นหยางได้ดี อีกทั้งยังไปดื่มกินที่อารามไป่อวิ๋นถึงสองเดือน เป็นธรรมดาที่เยี่ยเทียนจะไม่สามารถทนมองตาแก่นี่พบจุดจบเช่นนี้ จึงพุ่งกระโจนลงไปในน้ำทันที