บ้านพักตากอากาศด้านหลังติดภูเขาอวี้ฉวนซานแห่งนี้ แม้ว่าภูเขาจะไม่สูงนัก แต่ก็เหมาะเจาะจะทำเป็นลานสกีได้พอดี
อีกด้านหนึ่งยังมีทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่ผู้พักอาศัยสามารถนั่งเรือท่องให้สำราญใจได้ น้ำพุผุดขึ้นมาจากน้ำในภูเขาไหลริน มีผู้พักอาศัยไม่น้อยรายไปยังตีนเขาเพื่อรับน้ำพุมาใช้กินดื่ม
เวลานั้นเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นหลิวริมทะเลสาบเริ่มผลิใบอ่อน บรรยากาศของทะเลสาบและภูเขาแห่งนี้ชวนให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นแจ่มใส เป็นสถานที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิโดยแท้
“อาเฉิน ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ที่เมื่อต้นปีไม่ได้มาเยี่ยมเยียน ไว้ไปเยี่ยมคุณตอนปลายปีแล้วกัน!”
ต้องบอกว่าในเมืองปักกิ่ง คนที่เยี่ยเทียนติดค้างมากที่สุดก็คือเว่ยหงจวิน แต่ว่าความเกี่ยวพันระหว่างทั้งสองนั้นมีผลประโยชน์อยู่บ้าง แต่กลับไม่มีความเกี่ยวพันใดกับเฉินสี่ฉวน
สำหรับคนวัยกลางคนผู้กว้างขวางจริงใจคนนี้ เยี่ยเทียนให้ความเคารพจากใจ เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ ว่าอีกฝ่ายช่วยเขาโดยไม่มีความคิดอยากให้ตอบแทนอะไรเลย เป็นเจตนาดีอันบริสุทธิ์โดยแท้
ภาษิตว่าสวรรค์มิโปรดปรานผู้ใด แต่มักเห็นใจคนดี ในฐานะนักเรียนที่สำเร็จการศึกษากลับมายังบ้านเกิด เฉินสี่ฉวนสามารถทำการค้าได้ใหญ่โตขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งเหตุผล
เฉินสี่ฉวนยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ตบบ่าเยียเทียนอย่างร่าเริงจริงใจ กล่าวว่า “คิดจะชวนนายมาเที่ยวนานแล้ว เพียงแต่ปีที่แล้วเรื่องมันเยอะ เยี่ยเทียน ทำไมไม่เห็นแฟนนายเลยล่ะ?”
“หึ ๆ อาเฉิน เธอเปิดเทอมไปมหาวิทยาลัยแล้ว ครั้งหน้าผมจะพาเธอมาเที่ยวครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม หยิบเอาหินหยกก้อนนั้นออกมา กล่าวว่า “อาเฉิน นี่คือสิ่งของที่ผมสะสมเอาไว้ ได้ยินคนเล่ากันว่าภายในกักเก็บพลังเวทมนตร์ ผมรู้ว่าอาสนใจของพวกนี้ เอาเก็บไว้เล่นเถอะนะครับ!”
เยี่ยเทียนไม่อยากอธิบายให้ละเอียดถึงของขลังชนิดนี้ ถึงพูดไปเฉินสี่ฉวนก็อาจไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงพูดอ้อม ๆ ให้อนาคตเฉินสี่ฉวนเอาไปชื่นชมเล่นตามปกติ
“งั้นอาไม่เกรงใจล่ะนะ!”
ได้ยินเยี่ยเทียนบอกว่าหินหยกนี้บรรจุพลังเวทอยู่ เฉินสี่ฉวนก็นึกสนใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็เปิดพลิกผ้าไหมแดงออกมาดู แต่ดูไปดูมาก็เป็นแค่หินหยกนักษัตรธรรมดา ๆ สามารถพูดได้เพียงว่าคุณภาพหยกไม่เลวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาไม่ออก เฉินสี่ฉวนจึงนำหินหยกใส่ลงในถุง กล่าวว่า “เยี่ยเทียน อยู่เที่ยวที่นี่สักวันนะ เดี๋ยวฉันจะไปแจ้งพวกเขาสักหน่อย อยากเล่นสกีอะไรฉันจะให้คนจัดที่ทางให้ แล้วตอนกลางคืนเรียกรถจะกลับบ้าน ก็เอาน้ำจากเขาอวี้ฉวนซานกลับไปชงชาให้คนที่บ้านด้วยล่ะ!”
“อาเฉิน ถ้ามีธุระก็ไปจัดการก่อนได้เลยครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก……”
ฟังความหมายจากคำพูดนี้ของเฉินสี่ฉวนแล้ว เหมือนกับว่าเขายังมีธุระบางอย่าง เยี่ยเทียนจึงลองสอบถามดู “อาเฉิน หรือว่าเจอปัญหาอะไรยุ่งยากหรือเปล่าครับ?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็เกาหัวแกรก กล่าวตอบ “เจอเรื่องนิดหน่อยน่ะ ไปเถอะ พวกเราไปคุยกันทางนั้นดีกว่า!”
หลังจากนั่งบนโซฟาในเขตพักผ่อนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็เอ่ยปาก “บ้านพักตากอากาศที่นี่มีฉันกับเพื่อนสองสามคนร่วมกันดูแล โดยปกติแล้วฉันเองก็ไม่ยุ่งอะไรมาก แต่ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอยู่บ่อย ๆ เพื่อนเหล่านั้นรู้ว่าฉันรู้จักคนใหญ่คนโตอยู่บ้าง ดังนั้นวันนี้ก็เลยมาหา”
“อาเฉิน เกิดเรื่องอะไรเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนสงสัยเล็กน้อย ตอนที่เขามาก็สังเกตการณ์ดูแล้ว พลังแผ่นดินที่นี่ “ลวดลายดินซ่อนเร้น เกิดเกล็ดมังกรเขียว” แต่ก็มีสายโลหิตมังกรอยู่ในที่เดียวกัน ฮวงจุ้ยดีเลิศ ไม่น่ามีสิ่งมืดมนจำพวกพลังชั่วร้ายปรากฏ
“คือ……”
เฉินสี่ฉวนลังเลอยู่สักครู่ พลางคิดว่าเยี่ยเทียนเหมือนจะรู้ฮวงจุ้ยพลังแผ่นดินกับศาสตร์แห่งเต๋า สุดท้ายจึงเบาเสียงลงหลายส่วน กล่าวว่า “ในทะเลสาบเล็กทางด้านใต้มีปีศาจน้ำปรากฎ หลายวันก่อนจับตัวเด็กลงไป เมื่อคืนนี้ก็มีเด็กผู้หญิงถูกลากตัวลงไปอีก เพื่อนคนนั้นของฉันบอกว่าที่นั่นในอดีตเคยมีคนกระโดดน้ำตาย ตอนนี้จึงมาหาตัวตายตัวแทน……”
ตามความเชื่อของชาวจีน คนที่กระโดดน้ำตายหรือตายโดยอุบัติเหตุ จะวนเวียนอยู่ตรงสถานที่ตัวเองจมน้ำตาย กลายเป็นปีศาจน้ำ จากนั้นก็จะเฝ้ารออยู่ใต้น้ำอย่างอดทน ล่อลวงหรือบังคับคนให้ตกลงไปตายในน้ำ มาแทนที่วิญญาณซึ่งตายไปแล้วของตน
เฉินสี่ฉวนเชื่อเรื่องผีสาง ดังนั้นตอนเล่าถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาจึงปรากฏให้เห็นสีหน้าขุ่นเครียดขึ้นมาก ธุรกิจของตนเองเกิดเรื่องอย่างนี้ ไม่มีใครสามารถอารมณ์ดีได้หรอก
“ปีศาจน้ำ? อาเฉิน อามั่นใจเหรอครับ?”
ได้ยินคำพูดของเฉินสี่ฉวนแล้ว เยี่ยเทียนก็อดตกใจขึ้นมาไม่ได้ พื้นที่ซึ่งมีบรรยากาศชั่วร้ายกดดันอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจคนได้จริง ๆ ทำให้พวกคนที่มีภาวะจิตใจไม่มั่นคงกระโดดลงไปในน้ำได้ แต่กลับไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับปีศาจน้ำ
เฉินสี่ฉวนส่ายหน้าตอบ “ฉันเองก็ไม่รู้ว่านั่นคือปีศาจน้ำแน่หรือเปล่า แต่ว่าเหตุการณ์สองเรื่องก่อนหน้านั้นเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นอีกล่ะก็ บ้านพักตากอากาศนี่อาจจะเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว”
พูดถึงตรงนี้ เฉินสี่ฉวนก็มองยังเยี่ยเทียนอย่างรู้สึกผิด กล่าวต่อว่า “เพื่อนของฉันไปเชิญหมอดูมา พอถึงตอนเที่ยงก็จะมาทำพิธี เยี่ยเทียน วันนี้อาไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนนายแล้วล่ะ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เอ่ยปากตอบ “อาเฉิน อาไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหรอกครับ ผมเองก็สนใจเรื่องนี้มากเหมือนกัน ขอตามไปดูด้วยคนได้ไหม?”
เฉินสี่ฉวนเพียงนึกว่าเยี่ยเทียนสงสัย จึงพยักหน้าตอบทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ทะเลสาบทางใต้นั้นกว้างมาก นายยืนออกมาไกลหน่อยก็พอ อ้าว มากันแล้ว เยี่ยเทียน เชิญตามสบายนะ อาขอตัวก่อนล่ะ!”
ระหว่างที่สองคนคุยกันอยู่นั้น รถเบนซ์สีดำคันหนึ่งก็มาจอดที่ทางเข้าบ้านพักตากอากาศ เมื่อมองทะลุกระจกรถแล้ว เฉินสี่ฉวนก็รีบร้อนลุกขึ้น กล่าวขอโทษเยี่ยเทียนแล้วออกไปรับ
วิ่งมาถึงหน้ารถเบนซ์แล้ว เฉินสี่ฉวนก็เปิดประตูหลังรถออก นักพรตเต๋าผมและเคราขาวโพลนสวมชุดนักบวชลงมาจากข้างใน ในมือถือแส้ขนม้า ด้านหลังนักพรตเต๋ายังมีนักพรตหนุ่มที่อายุแก่กว่าเยี่ยเทียนไม่กี่ปี
“ให้ตายสิ เป็นตาแก่นี่เองเหรอ? ธุรกิจของพวกเขาไม่เลวเลยสิเนี่ย?” พอเห็นนักพรตเต๋าคนนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา
นักพรตคนนี้เป็นหนึ่งในสหายไม่กี่คนของเยี่ยเทียนในปักกิ่งถิ่นชาววัง ไม่กี่เดือนก่อนนี้เยี่ยเทียนเพิ่งจะไปดื่มเหล้าวางหมากด้วยกันกับตาแก่นี่ จากนั้นธุรกิจปลุกผีในเรือนสี่ประสานของเขา ก็ให้เขาเป็นคนทำ
แต่แม้จะรู้ว่านักพรตคนนี้เสแสร้งปลอมเป็นเทพหลอกผี เยี่ยเทียนก็ไม่เปิดโปงเรื่องของเขา นั่นเพราะจากตัวของนักพรตคนนี้ เขาสามารถเห็นเงาของอาจารย์ได้อยู่บ่อยครั้ง และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนอยู่อาศัยที่อารามไป๋อวิ๋นยาวถึงสองเดือน
ได้พบคนรู้จัก ก็อยากเข้าไปทักทาย เห็นคนทั้งหลายเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นไปต้อนรับ “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง นึกไม่ถึงว่าจะได้พบท่านที่นี่ เรื่องคราวก่อนนั้นต้องขอบคุณท่านมาก!”
ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยกัน เยี่ยเทียนจึงไม่รอช้าเข้าไปช่วยเสริมความมั่นใจให้กับนักพรต ถึงอย่างไรราคาก็คงตกลงกันไปแล้ว จึงไม่นับว่าตนเองช่วยนักพรตหลอกลวงเฉินสี่ฉวน
“สหายเสวียนชิง คุณ……คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
นักพรตอวิ๋นหยางเห็นเยี่ยเทียนแล้วดวงตาเบิกกว้างไปชั่วขณะ ในช่วงเวลาสองเดือนนั้น อวิ๋นหยางสนทนากันเรื่องวิชาพยากรณ์อยู่บ่อยครั้ง รู้ว่าในตัวของเยี่ยเทียนมีของดี ปาหี่ที่ตัวเองสร้างขึ้นจึงตบตาเขาไม่ได้
เยี่ยเทียนยิ้มตอบ “ผมมาเที่ยวที่นี่น่ะ หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ท่านช่วยเบิกแท่นทำพิธีแล้ว บ้านของผมก็ไม่มีภูตผีปีศาจเข้ามาวุ่นวายอีกเลย!”
“หึ ๆ สหายเสวียนชิง เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ไม่จำเป็นต้องพูดถึง……”
ระหว่างที่เยี่ยเทียนพูดนั้นยังขยิบตามาทางนักพรตเต๋า นักพรตอวิ๋นหยางก็กระจ่างขึ้นมาในทันที พอเข้าใจดีแล้ว สีหน้าก็เผยให้เห็นความสง่างามขึ้นมาอีกครั้ง
“รอเดี๋ยว เอ่อ ผมว่า นี่……นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกับอวิ๋นหยางคุยกันอย่างสนิทสนมนั้น เฉินสี่ฉวนและเพื่อนเขากลับตกตะลึง “เยี่ยเทียน นาย……นายรู้จักกับหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางด้วยเหรอ อีกอย่าง ทำไมหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางถึงเรียกเธอว่าเสวียนชิงล่ะ?”
เยี่ยเทียนสวมเสื้อคอจีนอยู่แท้ ๆ แต่อวิ๋นหยางกลับเรียกด้วยสมญานามเต๋า นี่ทำให้ในหัวของเฉินสี่ฉวนสับสนไปหมด ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาและสถานะของเยี่ยเทียน
“หึ ๆ อาเฉิน ตอนเด็ก ๆ ผมเคยติดตามอาจารย์ลัทธิเต๋ามาก่อน ก็เลยมีสถานภาพทางลัทธิเต๋าครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา เห็นเฉินสี่ฉวนยังทำหน้าไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้นจึงกล่าวต่อ “เสวียนชิงคือสมญานามทางเต๋าของผม หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางคือรุ่นพี่ลัทธิเต๋าของพวกเรา ผมก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ผมซื้อเรือนสี่ประสานผีสิงมา ก็เลยเชิญท่านหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยางมาช่วยเบิกแท่นทำพิธีให้……”
เยี่ยเทียนอธิบายแบบนี้ เฉินสี่ฉวนจึงเข้าใจขึ้นมาในทันที แต่ชายวัยกลางคนที่ขับรถไปรับหัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง กลับมองมาทางเฉินสี่ฉวนแล้วถาม “เหล่าเฉิน สหายคนนี้คือ?”
เฉินสี่ฉวนยิ้มตอบ “ฉันจะแนะนำให้พวกนายรู้จักกัน นี่คือประธานหวัง หวังเจียซวิน เพื่อนสมัยเด็กของฉัน เหล่าหวัง นี่คือเยี่ยเทียน เป็นสหายต่างวัยของฉัน!”
“ในเมื่อต่างก็เป็นเพื่อนกัน งั้นก็มานั่งข้างในสิ หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง เสี่ยวเยี่ยแล้วก็หัวหน้านักพรตผู้นี้ เชิญข้างในเลยครับ……”
ได้ยินว่าเป็นเพื่อนของเฉินสี่ฉวนทั้งหมด หวังเจียซวินก็ไม่ได้เมินใส่เยี่ยเทียน เชิญทุกคนตรงนั้นเข้าไปข้างในร้านกาแฟ ตอนกลางวันที่คนไม่มากนัก จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การสนทนากัน
แต่ว่าภายในบ้านพักตากอากาศเกิดคดีอย่างนี้ หวังเจียซวินจึงนั่งไม่เป็นสุขเท่าไหร่ กาแฟแก้วหนึ่งเพิ่งดื่มเสร็จไป ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “หัวหน้านักพรตอวิ๋นหยาง ท่านว่า……เมื่อไหร่พวกเราจะไปตรวจสอบที่ทะเลสาบทางใต้กันครับ?”
“ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อถึงเที่ยงวัน จะเป็นเวลาที่พลังหยางรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด นั่นจะทำให้การลงแรงทำพิธีเพียงครึ่งเดียวแต่ได้ผลเป็นสองเท่า ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามน่ะ……”
วันนี้ถึงแม้ที่ปักกิ่งแสงแดดจัดจ้า แต่ก็มีลมไม่น้อย นักพรตอวิ๋นหยางไม่อยากไปตากลมให้ท้องกิ่ว รอสักพักจนเที่ยงค่อยไปสวดมนต์วนไปสักสองสามจบ จากนั้นจะได้ถึงเวลากินข้าวเที่ยงพอดิบพอดี
“นั่นสิ ๆ ท่านหัวหน้านักพรตอวิ๋นพยางกล่าวได้ถูกต้อง งั้นเดี๋ยวต้องขอร้องทั้งสองท่านแล้วล่ะครับ!” ประธานหวังหรือจะเข้าใจความในใจของตาแก่นี่ พยักหน้าติดต่อกันทันที กุลีกุจอรินกาแฟให้กับนักพรต
อวิ๋นหยางแสดงท่าทางอย่างมีลับลมคมใน พยักหน้านิด ๆ กล่าว “ไม่มีปัญหา ต่อให้มีปีศาจน้ำจริง ๆ อาตมาสวดเพียงจบเดียว ก็ส่งวิญญาณมันได้แล้ว พวกประสกไม่ต้องเป็นห่วง!”
“โม้ โม้หนักเหลือเกิน เดี๋ยวสถานที่นั้นเกิดเป็นเขตพลังหยินสูงจริง ๆ ฉันว่าตาแก่อย่างแกจะวิ่งไวกว่าใครเลย!”
เห็นอวิ๋นหยางท่าทางแบบนั้น เยี่ยเทียนหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ตาแก่นี่ไม่มีความสามารถเท่าไหร่เลย ทักษะหลอกลวงชาวบ้านราวกับเป็นอาจารย์ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ผมเคราสีขาวนั่น ที่ทำให้ดูเป็นเซียนไปถึงเนื้อใน