แรงกระแทกอันมหาศาลที่เกิดจากการปะทะระหว่างหน้ารถกับผนังนั้น ทำให้ร่างของซ่งเสี่ยวเจ๋อที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยกระเด็นทะลุกระจกหน้ารถออกไปกระแทกกับผนังอย่างรุนแรง แล้วก็กระเด็นลงไปบนพื้นอีก กลิ้งไปไกลหลายตลบถึงจะหยุดนิ่งลงได้
ร่างที่ร่วงลงไปบนพื้นนั้นกระตุกอยู่สองสามที แล้วก็แน่นิ่งไปเลย การปะทะชนด้วยความเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงแบบนี้ หากไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย โอกาสที่จะรอดชีวิตก็คงเรียกได้ว่าเป็นศูนย์
“ว้าย!!!”
ไม่รู้เพราะหญิงสาวคนนั้นมีประสาทการตอบสนองเชื่องช้าหรืออย่างไร หลังจากเหตุรถชนนั้นผ่านไปหลายนาทีแล้ว เธอถึงจะกรีดร้องออกมาอย่างสติแตก แล้วตัวอ่อนปวกเปียกล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที
ไม่ใช่ว่าแม่สาวคนนี้ตกใจเพราะเห็นรถชนกำแพง แต่ประเด็นคือเธอเพิ่งจะสาปแช่งซ่งเสี่ยวเจ๋อไปว่า เขาขับออกไปไม่ถึงแยกหน้าก็จะโดนชนดับ แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นตรงตามที่เธอพูดไว้เป๊ะเลย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ…”
หญิงสาวใบหน้าซีดเผือด แต่ในขณะนั้นสถานการณ์บนถนนกำลังวุ่นวาย จึงไม่มีใครมาสนใจเธอเลย หลังจากตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาแล้ว เธอก็วิ่งกระโจนหายไปท่ามกลางฝูงชน ส่วนเมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วจะฝันร้ายหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าสมองของเธอนั้นแข็งแกร่งพอไหม
“ยังมีน้องหกอีกคนรึ?” เงาร่างของเยี่ยเทียนแอบซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพง และกำลังมองดูรถบีเอ็มดับบลิวที่ลุกเป็นไฟขึ้นมาแล้วอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิด
เมื่อครู่นี้ถึงซ่งเสี่ยวเจ๋อจะหลบไปคุยโทรศัพท์ในรถ แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนก็เดินเข้าไปใกล้ในระยะไม่เกินสิบเมตรแล้ว อาศัยความสามารถในการได้ยินของเขา ย่อมได้ยินสิ่งที่ซ่งเสี่ยวเจ๋อพูดมาเมื่อครู่ทั้งหมดได้อย่างชัดเจนทุกพยางค์
ส่วนตอนสุดท้ายที่เยี่ยเทียนจงใจเผยโฉมหน้าออกไปนั้น ก็เพื่อที่จะให้ซ่งเสี่ยวเจ๋อตกใจจนสติไม่อยู่กับตัว แล้วส่งกระแสพลังพิฆาตทิ่มแทงเข้าสู่ห้วงสมองของเขา ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ซึ่งก็คืออุบัติเหตุทางรถยนต์อันปราศจากพิรุธใดๆ
ถ้าคนเรามีวิญญาณอยู่จริง สงสัยตอนนี้ซ่งเสี่ยวเจ๋อคงจะกำลังร้องไห้ด้วยความชอกช้ำ เพราะเขาไม่นึกเลยว่า อุบัติเหตุที่ตัวเองพยายามจะทำให้เกิดขึ้นนั้นจะมาเกิดเร็วปานนี้และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อนั้นก็กลับกลายเป็นเขาเสียเอง
“ช่างเถอะ เจ้าคนนั้นไม่ได้อยู่ในประเทศ เราก็คงไปทำอะไรมันไม่ได้ แต่พอซ่งเสี่ยวเจ๋อตายไปแล้ว คนของตระกูลซ่งก็น่าจะหยุดความเคลื่อนไหวไปได้สักระยะแหละนะ!”
เมื่อได้ยินเสียงของรถพยาบาลฉุกเฉินและรถตำรวจดังมาตามๆ กัน เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้า แล้วยื่นมือออกไปโบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านตระกูลอวี๋ นี่ก็ออกมาได้สองชั่วโมงเศษแล้ว ต้องกลับไปก่อนที่คนอื่นจะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในบ้าน
“เอ๊ะ สี่จื่อ เมื่อกี้เหมือนจะมีคนเดินเข้าไปนะ” รปภ. นายหนึ่งซึ่งกำลังดูโทรทัศน์อยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่นอกหน้าต่าง แต่พอหันไปมองดู ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนกสักตัว
“พี่ฉวน พี่ตาลายไปรึเปล่าครับ?นี่ก็จะตีสองแล้ว จะไปมีใครที่ไหนกันล่ะ?” รปภ. คนที่ชื่อสี่จื่อเปิดประตูออกไปมองดูรอบๆ แล้วก็ถอยกลับเข้าไป
หลังจากที่เยี่ยเทียนรอดพ้นหูตาของ รปภ. ไปได้ และกลับไปถึงบ้านเลขที่แปดแล้ว เขาก็เดินอ้อมไปหลังบ้านตำแหน่งที่ตรงกับห้องที่เขาพักอยู่ ปลายเท้าถีบยันลงไปบนกำแพงเบาๆ แล้วร่างก็ทะยานเข้าไปในหน้าต่างชั้นสองราวกับนกนางแอ่น
“ใครน่ะ?” ทันทีที่เข้าไปในห้อง เยี่ยเทียนก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้นมา เพียงชั่วพริบตาก็ชักมีดสั้นอู๋เหินออกมาไว้ในมือขวาแล้ว
“เจ้าลูกบ้า กลางดึกแบบนี้แกออกไปไหนมา?” เสียงของเยี่ยตงผิงทำให้เยี่ยเทียนเก็บมือขวาที่ชูขึ้นมากลับลงไป แล้วดีดปลายนิ้วส่งมีดสั้นอู๋เหินกลับเข้าไปเก็บใต้เสื้ออย่างเงียบเชียบ
เยี่ยเทียนเปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วพูดอย่างขุ่นเคือง “ทีพ่อยังมาห้องผมกลางดึกเลยนี่ครับ ไฟก็ไม่เปิด ทำผมตกใจหมด พ่อก็รู้นี่ครับว่า เวลาคนเราโดนแกล้งให้ตกใจน่ะ อาจถึงตายได้เลยนะ!”
“ไม่ต้องมาใช้ไม้นี้กับพ่อเลย ไม่ได้ผลหรอก พ่อขอถามแกทีเถอะ เมื่อกี้ไปทำอะไรมา?” เยี่ยตงผิงทำหน้าถมึงทึง เขารู้ว่าลูกชายใจกล้าบ้าบิ่น จึงกลัวเหลือเกินว่าเยี่ยเทียนจะไปทำอะไรเลยเถิดเข้า
เยี่ยเทียนเองก็มีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับพ่อของตัวเองสูงมาก ยามนั้นจึงยิ้มระรื่นพลางตอบว่า “ตอนค่ำดื่มหนักไปหน่อยน่ะพ่อ ผมเลยออกไปเดินเล่นให้สร่างเมาหน่อย แต่กลัวจะไปทำให้พวกชิงหย่าตื่นกัน ก็เลยออกไปทางหน้าต่างนี่ไงล่ะ เอ้อ ว่าแต่พ่อล่ะ ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มาห้องผมทำไมล่ะครับ?”
“พ่อไม่ไว้ใจแก ก็เลยมาดูน่ะสิ!”
เยี่ยตงผิงรู้จักลูกชายเป็นอย่างดี แค่เหล้าที่ดื่มไปเมื่อตอนค่ำนั้น ยังไม่พอที่จะทำให้เยี่ยเทียนอยู่ในสภาพนั้นได้หรอก เห็นเจ้านี่แกล้งเมาแบบนี้แล้ว ต้องไม่ใช่เพราะเรื่องดีๆ แน่
ตามคาด หลังจากที่เยี่ยเทียนออกไปได้สิบนาที พอเยี่ยตงผิงเปิดประตูห้องของลูกชายก็พบว่า ภายในนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน เขานั่งรออยู่ที่นี่ไปสองชั่วโมงเต็มๆ เยี่ยเทียนถึงจะกลับมา
“นี่เยี่ยเทียน เรื่องของผู้ใหญ่น่ะแกอย่ายุ่งเลย แม่แกเขาก็มีเรื่องที่ต้องคิดอยู่ อย่าไปทำให้แผนของแม่เขาพังซะล่ะ!”
เยี่ยตงผิงจนปัญญากับลูกชายคนนี้แล้วจริงๆ เยี่ยเทียนยึดมั่นในความถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำอะไร แม้แต่พ่อคนนี้ก็ดูเหมือนจะยังไม่เคยหยุดยั้งเขาได้เลย
“พ่อ ผมก็แค่ไปเดินเล่นมาเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ พอเถอะน่า พรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องบินแต่เช้า ผมจะนอนแล้วนะ!”
เยี่ยเทียนหาวหนึ่งทีพร้อมบิดขี้เกียจ ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว เยี่ยตงผิงจึงจนปัญญา ได้แต่เดินออกไปอย่างฉุนเฉียว เพราะนี่เป็นบ้านของอวี๋เฮ่าหราน เยี่ยตงผิงก็เลยไม่อยากมีปากเสียงกับลูกชายจนทำให้ครอบครัวเจ้าของบ้านตื่นกันหมด
“พ่อ เรื่องบางอย่างน่ะ ก็ไม่ใช่สิ่งที่แม่จะควบคุมได้หรอกนะครับ…”
เยี่ยเทียนมองตามหลังพ่อไป แล้วเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา เยี่ยตงผิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็โบกมือไปข้างหลัง ปิดประตูห้องของเยี่ยเทียน ในชั่วขณะนี้ เยี่ยตงผิงรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงไปแล้วจริงๆ
ถึงเมื่อวานจะวิ่งวุ่นอยู่จนดึกดื่น แต่เมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่องลงสู่ผืนแผ่นดิน เยี่ยเทียนก็ยังลุกขึ้นมาได้ แล้วไปยืนสมาธิ ฝึกหมัดมวยในสวนของบ้านตระกูลอวี๋ ระหว่างที่กำลังสูดพลังปราณวิเศษ พลังอัปมงคลที่อยู่ในใจตั้งแต่เมื่อวานก็ถูกสลายไป
ปราณมรณะจากการสังหารซ่งเสี่ยวเจ๋อนั้น ไม่อาจแปดเปื้อนมาถึงตัวเยี่ยเทียนได้เลย ควรทราบว่า สาเหตุที่ซินแสฮวงจุ้ยกล้าเดินทางพเนจรไปตามป่าเขา และสุสานป่าช้าต่างๆ นั้น ก็เป็นเพราะว่าศาสตร์ที่พวกเขาร่ำเรียนมาสามารถป้องกันพลังปราณเหล่านั้น ไม่ให้กล้ำกรายเข้าสู่ร่างกายได้
แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ นอกจากเยี่ยเทียนที่ทำได้ถึงระดับนั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็คงจะต้องพึ่งพาพลังจากภายนอกในการป้องกันกระแสพลังพิฆาตกันทั้งนั้น อย่างพวกเครื่องรางของขลังก็มีฤทธิ์เช่นนี้อยู่
หลังจากจบกระบวนท่าฝึก ก็เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว เมื่อรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว อวี๋เฮ่าหรานก็ขับรถพาพวกเยี่ยเทียนไปส่งที่สนามบินด้วยตัวเอง
“พ่อคะ แม่คะ ที่นี่กับที่โน่นก็ไม่ได้ไกลกันมาก พวกหนูจะกลับมาเยี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น หรือว่า…แม่จะไปอยู่กับหนูที่ปักกิ่งสักระยะหนึ่งดีไหมละคะ?”
เมื่อไปถึงอาคารท่าอากาศยาน อวี๋ชิงหย่าเห็นมารดาขอบตาแดงเรื่องขึ้นมา จึงเริ่มจะรู้สึกอาลัยขึ้นมา แม้จะเป็นเพียงการหมั้นหมาย แต่เธอก็ชื่อว่าเป็นลูกสาวได้ที่แต่งออกไปจากตระกูลแล้ว ต่อจากนี้ไปบ้านตระกูลอวี๋ก็จะกลายเป็นบ้านครอบครัวเก่าของเธอแล้ว
“เฮ่าหราน?” พอได้ยินลูกสาวถามอย่างนั้น นางอวี๋ก็มองไปที่สามี
“ได้ๆ ไว้พอผ่านครึ่งเดือนไปแล้ว เราสองคนก็ไปปักกิ่งกันนะ ได้ยินมาว่าพ่อหนุ่มเยี่ยเทียนไปสร้างบ้านซื่อเหอย่วนไว้เสียใหญ่โตเลยนี่ พวกเราก็ไปพักกันที่นั่นแหละ!”
เมื่อเห็นสายตาเว้าวอนของภรรยา อวี๋เฮ่าหรานก็พยักหน้ารัวๆ ขณะที่กำลังคิดจะวางมาดพ่อตา อบรมเยี่ยเทียนอีกสักหน่อย โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้นกะทันหัน
“อ้อ ผู้อำนวยการซุนหรือครับ?ผมอวี๋เฮ่าหรานนะครับ นี่แค่งานหมั้นน่ะ คราวหน้างานแต่งผมต้องเชิญคุณแน่นอน ถึงตอนนั้นแล้วต้องมาร่วมงานให้ได้เลยนะครับ!” อวี๋เฮ่าหรานรับโทรศัพท์ สนทนากับฝ่ายนั้นอีกสองสามคำ แล้วจู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ตอบอืมๆ ครับๆ อีกไม่กี่คำก็วางสาย
เมื่อเห็นอวี๋เฮ่าหรานสีหน้าไม่สู้ดี เยี่ยตงผิงจึงเอ่ยถามว่า “เหล่าอวี๋ ทำไมรึ?ธุรกิจมีปัญหารึเปล่า?หรือพวกนายจะกลับไปก่อนก็ได้นะ พวกฉันก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะนั่งเครื่องบินกันเป็นครั้งแรกเสียหน่อย!”
“ซ่งเสี่ยวเจ๋อตายแล้ว คืนเมื่อวานนี่เอง รถชนน่ะ!”
อวี๋เฮ่าหรานมีสีหน้าแปลกประหลาดสุดขีด มองไปที่เยี่ยเทียนอย่างอดไม่ได้ ถึงเขาจะรู้ว่าเมื่อวานเยี่ยเทียนอยู่ที่บ้านของเขา แต่ก็ยังอดเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ดี
“อะไรนะ?!”
เยี่ยตงผิงมีปฏิกิริยารุนแรงยิ่งกว่าอวี๋เฮ่าหรานเสียอีก พอได้ยินข่าวนี้ สายตาของเขาก็พุ่งตรงไปที่ลูกชายอย่างอึ้งๆ โดยไม่มีการปกปิดสีหน้าเลยสักนิด
เมื่อเห็นว่าสองคนนี้ทำให้แม่ยายและอวี๋ชิงหย่าพลอยมุ่งความสนใจมาที่ตนไปด้วย เยี่ยเทียนก็แบมือ แล้วพูดด้วยหน้าตาใสซื่อ “อ้าว นี่พ่อน่ะ พวกพ่อๆ มามองผมกันทำไมล่ะครับ?รถชนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ?”
อวี๋เฮ่าหรานพยักหน้า “ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอก็จริง ตอนชันสูตรก็พบว่า ก่อนเสียชีวิตซ่งเสี่ยวเจ๋อดื่มเหล้าไปเยอะ อุบัติเหตุน่าจะเกิดเพราะเมาแล้วขับ แต่ว่า…ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีลับลมคมในยังไงชอบกลอยู่นะ?”
“เอาเถอะ เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราน่ะ จะไปกังวลกับมันทำไมมากมายเล่า?ใกล้จะต้องขึ้นเครื่องแล้ว พวกฉันไปผ่านจุดตรวจความปลอดภัยก่อนนะ!”
แตกต่างจากอวี๋เฮ่าหรานที่มีสีหน้าคลางแคลงสงสัย เยี่ยตงผิงในขณะนั้นกำลังใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น เขากล้ารับรองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า เรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือของลูกชายตนอย่างแน่นอน แม้เขาจะฉงนใจอยู่ว่าเยี่ยเทียนไปทำอย่างไรถึงก่อให้เกิดเหตุรถชนขึ้นมาได้
ตอนนี้เยี่ยตงผิงคิดแต่อยากจะไปจากเซี่ยงไฮ้ให้เร็วที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรสำหรับคนธรรมดาอย่างเขา การฆ่าคนก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลเกินตัวและน่ากลัวเกินไป โดยเฉพาะยิ่งมาเกี่ยวพันกับลูกชายของตัวเองด้วยแล้ว
หลังจากเครื่องบินออกตัวขึ้นไปแล้ว เยี่ยตงผิงถึงจะโล่งใจลงไปได้ แต่สายตาที่เขามองดูเยี่ยเทียนกลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ในใจก็พยายามขบคิดว่าพอกลับไปแล้วจะจัดการกับลูกชายคนนี้อย่างไรดี
เยี่ยเทียนก็ต้องไม่เปิดโอกาสให้พ่ออยู่แล้ว พอลงจากเครื่องบิน เยี่ยเทียนก็ไปหาซื้อของใช้อุปโภคกับอวี๋ชิงหย่าทันที
ตอนเย็นทุกคนก็มารับประทานอาหารกันที่บ้านซื่อเหอย่วนหลังเดิม เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้พาว่าที่ภรรยาของตนไปที่เรือนหอ เยี่ยตงผิงจะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ที่โต๊ะอาหารก็คงไม่เหมาะ จึงได้แต่เก็บไว้ในใจไปก่อน
“เหวยอัน หลายวันมานี้บ้านเราไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?” หลายวันก่อนตอนที่จะออกเดินทาง มีธุรกิจกับลูกค้ารายหนึ่งเกือบจะเจรจาสำเร็จแล้ว แต่เรื่องของลูกชายสำคัญที่สุด เขาจึงยกให้หลิวเหวยอันเป็นคนจัดการแทน
หลิวเหวยอันตอบว่า “ของรายการนั้นตกลงกับลูกค้าตามราคาที่พี่บอกไว้เรียบร้อยแล้วครับ ส่วนในร้านก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่มีคนมาหาเสี่ยวเทียนที่บ้านน่ะ…”
“ใครมาหาผมหรือครับอาเขย?” เยี่ยเทียนหันไปมองหลิวเหวยอัน
“ก็…ก็คุณท่านถังคนนั้นน่ะ เขามาหานายที่ซื่อเหอย่วน แล้วก็ฝากเบอร์โทรศัพท์กับที่อยู่ไว้ บอกว่าพอนายกลับมาแล้วให้โทรไปหาด้วย!”
หลิวเหวยอันเคยเจอถังเหวินหย่วนแล้ว เมื่อวานซืนถังเหวินหย่วนมาหาที่บ้านแต่เช้า ทำเอาเขาตกอกตกใจหมดเลย เพราะทั้งสองมีสถานะที่แตกต่างกันมากเหลือเกิน
เยี่ยเทียนรับกระดาษโน้ตแผ่นนั้นไปดูแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ผมไม่มีเวลาไปหาเขาหรอก สองวันนี้มีธุระต้องจัดการอยู่ ไว้อีกสองสามวันค่อยคุยก็แล้วกัน!”