ตอนที่ทุกคนเดินไปถึงตึกเล็กๆที่เรียงรายกันเป็นแถวนั้น เยี่ยตงผิงดึงแขนเสื้อของบุตรชายเบาๆ กระซิบถามว่า “เยี่ยเทียน แกจะซื้ออะไรเหรอ?”
สถานการณ์ทางการเงินของเยี่ยตงผิงตอนนี้ไม่ค่อยคล่องนัก เพื่อการเจรจาในตลาดค้าของเก่าใต้ดินครั้งนี้ เมื่อวานเขาได้เที่ยวหยิบยืมชาวบ้านไปทั่วจนได้เงินมาห้าแสนกว่า
วัตถุโบราณที่เยี่ยตงผิงเห็นแล้วถูกใจเมื่อครู่ แต่อดใจไว้ไม่ซื้อ เยี่ยเทียนกลับจะใช้เงินไปคราวเดียวสามหมื่นกว่าหยวน ทำให้เยี่ยตงผิงอดรู้สึกเสียดายไม่ได้
แน่นอนว่าเยี่ยตงผิงเชื่อมั่นในสายตาอันเฉียบคมของบุตรชายอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขั้นยังไม่ทันดูของเลย ก็เรียกคนมาตกลงราคากันแล้ว
“เป็นเชิงเทียนสำริดสมัยราชวงศ์ฮั่น เดี๋ยวพ่อเห็นก็รู้แล้ว…” เยี่ยเทียนไม่ได้อธิบายต่อ เพราะมีชายหนุ่มคนนั้นเดินนำพวกเขาให้เข้าไปในห้องๆหนึ่งในตัวตึกนั้น
สภาพในห้องช่างแตกต่างจากความทรุดโทรมของตัวตึกภายนอก แม้ห้องจะไม่ใหญ่มาก แต่ตกแต่งอย่างหรูหรา
โคมไฟที่ติดอยู่บนเพดานถูกเปิดติดอีกครั้งหลังจากหลับใหลมานาน ทำให้ทั้งห้องสว่างจ้า เบื้องหน้าโซฟาหนังแท้สีดำมีโต๊ะน้ำชาไม้สักวางอยู่ อีกมุมหนึ่งมีตู้เย็นที่วางเรียงรายด้วยเครื่องดื่มชนิดต่างๆ
“ทุกท่าน อยากจะตกลงราคาซื้อของ?”
เมื่อชายหนุ่มเคาะประตูเข้าไปในห้อง หญิงสาวอายุราวยี่สิบกว่ารีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ ถามต่อว่า “ทุกท่าน อยากจะดื่มอะไรกันบ้างคะ?”
“อะไรก็ได้ครับ…”
“น้ำแร่สองขวด!”
เยี่ยเทียนตอบกลับชายหนุ่มพอเป็นพิธี หญิงสาวเดินไปที่ตู้เย็นหยิบเอาเครื่องดื่มออกมาสามขวด วางลงบนโต๊ะตรงหน้าเยี่ยเทียน
“ทั้งสองท่าน อยากจะดูของอีกครั้งไหมครับ?” เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว คนๆนั้นดูจะพูดมากขึ้นกว่าทุกที เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงพยักหน้าแล้ว ก็รีบหยิบเอาสิ่งของหลายชิ้นออกมาจากถุงผ้าป่าน
“เชิงเทียนจูเชวี่ยสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก?”
เชิงเทียนจูเชวี่ยเมื่อถูกหยิบขึ้นมาตั้ง สูงเพียงยี่สิบเซนติเมตร เยี่ยตงผิงมองดูด้วยตาเป็นประกาย ในมุมมองของนักสะสมวัตถุโบราณ เขาชำนาญกว่าบุตรชายหลายเท่า
เพราะยุคโบราณเครื่องสำริดมีน้อย จะพบได้แต่ในสุสานของขุนนางหรือนักรบตระกูลใหญ่ และไม่ค่อยมีใครใช้เชิงเทียนสำริดเป็นเครื่องสังเวยในสุสาน เยี่ยตงผิงจึงสรุปได้ว่า ของสิ่งนี้ต้องมาจากสุสานของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
การประมูลเครื่องสำริดในตลาดค้าวัตถุโบราณไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่เยี่ยตงผิงบังเอิญรู้จักกับลูกค้าเก่าแก่ที่มาจากมณฑลเจ้อเจียง และชอบสะสมวัตถุโบราณประเภทนี้ เชิงเทียนอันนี้สามารถนำไปขายต่อได้ราคาสูงถึงสองแสนหยวน
เเยี่ยตงผิงพออกพอใจกับสินค้าชิ้นนี้มาก ถึงแม้ว่าบุตรชายจะเป็นผู้ตกลงราคาให้ แม้แต่กระจกสำริดที่วางอยู่อันถัดไปยังไม่ทันหยิบขึ้นมา ก็รีบตกลงว่า “ของชิ้นนี้ผมซื้อเลย คุณครับ นี่เงินสามหมื่นหยวน คุณรับไปได้เลย!”
เยี่ยตงผิงหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าสามปึกโดยที่ยังไม่ได้แกะสายรัดเงินออก แล้วนับออกมาสามสิบใบ พูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “ค่าธรรมเนียมอีกร้อยละสิบใช่ไหม? คุณผู้หญิง คุณช่วยนับอีกที!”
หญิงสาวไม่ได้รับเงินจากเยี่ยตงผิง แต่ถามกลับว่า “คุณผู้ชายท่านนี้ รหัสสมาชิกของคุณคืออะไรคะ? ร้านของเรามีการแบ่งระดับลูกค้าออกเป็นสามระดับ เพื่อจะได้ลดราคาตามความเหมาะสม….”
การค้าขายแบบนี้ยิ่งให้ข้อมูลส่วนตัวไว้น้อยเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัย หลายๆคนไม่อยากให้พนักงานธรรมดารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของตน
จึงได้มีการตั้งรหัสสมาชิกขึ้นมา ลูกค้าทุกคนจะมีรหัสเป็นของตัวเอง เมื่อทำการซื้อขายจะต้องบอกรหัส เพื่อรับส่วนลดตามขั้นของลูกค้า
“รหัสสมาชิก?”
เยี่ยตงผิงอึ้งไป ยิ้มแหยๆแล้วตอบว่า “คุณผู้หญิง ผมยังไม่มีรหัสสมาชิกเลย ช่างเถอะ คุณคิดค่าธรรมเนียมตามจริงได้เลย”
เยี่ยตงผิงยังพูดไม่ทันจบ ประตูห้องถูกผลักเปิดออก จี่หรานแสดงท่าทางขอโทษขอโพยเดินเข้ามา เอ่ยว่า “ลุงเยี่ย ขอโทษด้วยจริงๆครับ เพิ่งได้ยินลูกน้องบอกว่าคุณลุงมาซื้อขายของที่นี่ นี่เป็นบัตรสมาชิกที่ผมทำให้ ต่อไปถ้ามาที่นี่ ลุงจะได้รับสิทธิ์ลดราคาสินค้าห้าสิบเปอร์เซ็นต์…”
แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่ตกลงราคา แต่จี่หรานเฝ้าติดตามดูเยี่ยเทียนพ่อลูกมาตลอด เมื่อครู่เห็นพวกเยี่ยตงผิงเดินเข้ามาในห้องแล้ว ถึงนึกได้ว่าเขายังไม่ได้ทำบัตรสมาชิกให้เยี่ยตงผิงเลย จึงรีบหยิบบัตรใบหนึ่งมามอบให้
เยี่ยตงผิงเข้าใจดีว่าบัตรใบนี้เจ้าของร้านมอบให้เพราะเห็นแก่หน้าบุตรชาย ไม่ได้เกี่ยวของอะไรกับตัวเองเลย จึงยิ้มตอบว่า “ประธานจี่ ขอบคุณมาก”
“คุณผู้ชายท่านนี้ ราคาที่ลดไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์เหลือหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน แล้วนี้ค่าธรรมเนียมอีกพันห้าร้อยหยวน โปรดรับไว้ด้วย!” พนักงานสาวรับเงินที่ถูกวางลงบนโต๊ะขึ้นมานับจนครบหนึ่งพันแปดร้อย ส่งส่วนที่เหลือยื่นกลับไปให้เยี่ยตงผิง พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มกว้างและมองดูเยี่ยตงผิงเพื่อประเมินด้วยสายตา“
เธอทำงานที่นี่มาปีกว่าแล้ว ได้พบปะกับลูกค้าระดับวีไอพีมาไม่น้อยซึ่งได้ส่วนลดเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ชายวัยกลางคนตรงหน้าที่หน้าตาการแต่งตัวดูสุดแสนจะธรรมดานี้กลับได้รับส่วนลดถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งเถ้าแก่ยังเป็นคนถือบัตรสมาชิกมาให้ด้วยตัวเอง ทำให้เธอคาดเดาในสถานะของเยี่ยตงผิง
“เอาเถอะ สามหมื่นไม่ผิด ทุกท่าน ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน ประธานจี่ ถ้าถึงเวลาแล้วเรียกผมด้วย” ชายหนุ่มคนนั้นเห็นว่าการซื้อขายเสร็จสิ้นลงแล้วจึงยืนขึ้น โดยที่ยังไม่ได้แตะต้องเครื่องดื่มเลยแม้แต่น้อย
การทำการค้าวัตถุโบราณแบบนี้ ในระหว่างทำการตกลงราคา ห้ามใครคนใดคนหนึ่งออกจากสถานที่ก่อน ต้องรอให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนจบสิ้นลงจึงจะออกไปได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครไปแจ้งตำรวจ
อีกทั้งในสถานที่แบบนี้มักจะติดตั้งเครื่องที่รบกวนคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ นอกจากจี่หรานและพนักงานของเขา คนอื่นเมื่อเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้วโทรศัพท์มือถือส่วนตัวจะใช้การไม่ได้
แต่จี่หรานคิดรอบคอบกว่านั้น ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราภายในตึกเล็กๆนี้ เตรียมไว้สำหรับผู้ที่มาติดต่อซื้อขายโดยเฉพาะ ห้องทุกห้องบนชั้นสองได้ติดตั้งทีวี และวิดีโอเอาไว้ให้ดู ก่อนที่จะตกลงการค้ากันสำเร็จการอยู่ที่นี่จะได้ไม่น่าเบื่อ
ตอนที่ชายหนุ่มจะเดินออกจากห้องไป จู่ๆเยี่ยเทียนก็โพล่งออกมาว่า “พี่ชายท่านนี้ ผมขอถามชื่อของคุณได้ไหมครับ?”
คำถามของเยี่ยเทียนทำเอาคนที่นั่งอยู่ในห้องต่างตกตะลึง จี่หรานลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมาว่า “คุณเยี่ย นี่…นี่ไม่ค่อยถูกกฎเท่าไหร่นะ!”
ผู้ขายเหล่านี้มักจะทำแต่เรื่องที่ผิดกฎหมายจึงไม่ควรเปิดเผยชื่อจริง แม้แต่จี่หรานเองยังไม่กล้าไปสืบหาชื่อจริงของพวกเขา หากว่าพวกเขาต้องการจะบอกชื่อของตัวเองออกมาแล้วส่วนใหญ่มักจะเป็นชื่อปลอม
“เหอะๆ ไม่เป็นไร ผมแค่ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่บอกก็ไม่เป็นไร” เยี่ยเทียนหัวเราะพลางจ้องมองคนหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าลง หันมาสบตากับเยี่ยเทียน แล้วเดินเข้ามาข้างโต๊ะน้ำชาที่เยี่ยเทียนนั่งอยู่ บิดเปิดขวดเครื่องดื่มออกแล้วใช้นิ้วจิ้มน้ำดื่ม เขียนตัวอักษรสามตัวบนโต๊ะ จากนั้นใช้ฝ่ามือลูบผ่านอีกครั้ง บนโต๊ะน้ำชาเหลือแต่รอยเปื้อนน้ำ
เมื่อเห็นตัวอักษรบนโต๊ะแล้ว เยี่ยเทียนยิ้มตอบ “ขอบคุณมาก ผมชื่อเยี่ยเทียน!”
“ไว้พบกันใหม่!” คนๆนั้นพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ หันหลังเดินออกจากห้องไป
แม้การกระทำของเยี่ยเทียนจะเป็นการฝ่าฝืนกฎ แต่ผู้เป็นเจ้าภาพทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบได้ คนอื่นๆก็ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง จี่หรานยิ้มแห้ง พูดว่า “ลุงเยี่ยครับ ของชิ้นนี้ต้องเอาไว้ที่นี่ก่อน ปลอดภัยดีแน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล….”
“ได้ งั้นก็ขอบคุณประธานจี่มาก พวกเราจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย!”
เยี่ยตงผิงยิ้มแย้ม ลากบุตรชายออกมาจากห้อง ตำหนิว่า “เยี่ยเทียน ที่แบบนี้เขาไม่ให้ถามข้อมูลส่วนตัวของคนอื่น!”
“พ่อ ผมรู้น่า ไม่เป็นไรหรอก” เยี่ยเทียนส่ายหัว ตอบปัดไป แต่ในหัวกลับนึกถึงชายคนนั้นที่ชื่อ “โจวเซี่ยวเทียน”
ที่ถามชื่อของเจ้าหนุ่มนั่น เพราะตอนที่การซื้อขายเสร็จสิ้นนั้น เยี่ยเทียนค้นพบโดยบังเอิญว่า ในร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนไม่มีกลิ่นไอของพลังงานพิฆาตจากศพคนตายเลยแม้แต่น้อย
ทำให้เยี่ยเทียนยิ่งประหลาดใจ จึงลองใช้กำลังภายในตรวจสอบพลังลมปราณรอบตัว แล้วพบว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มคนนั้นมีของวิเศษพกติดตัวไว้ และของวิเศษชิ้นนั้นก็คือจานเข็มทิศนั่นเอง
โดยทั่วไปการสืบทอดวิชาดูฮวงจุ้ย จะได้ครอบครองของวิเศษไว้หนึ่งอย่าง ของวิเศษที่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นจานเข็มทิศ เพราะจานเข็มทิศถูกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาช้านาน ผ่านการบ่มเพาะพลังงานจากคนแต่ละรุ่น จนกลายเป็นของวิเศษ
อย่างจานเข็มทิศที่เยี่ยเทียนได้รับตกทอดมาจากนักพรตเฒ่า ก็เป็นของวิเศษในศาสตร์ฮวงจุ้ยเช่นกัน เยี่ยเทียนยังพก “เหรียญต้าฉีทงเป่า” เอาไว้ด้วยจึงไม่ค่อยได้ใช้จานเข็มทิศสักเท่าไหร่
แต่การค้นพบของเยี่ยเทียนบอกได้ว่า พลังงานบนร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนแม้จะไม่สั่นไหว เขาจะต้องเป็นทายาทผู้สืบทอดวิชาของสำนักฮวงจุ้ยแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้เรียนรู้ถึงวิชาที่ถูกที่ควรเท่านั้น
เขาเป็นคนในวงการฮวงจุ้ยที่เยี่ยเทียนได้พบเป็นคนที่สอง จึงอยากรู้ชื่อจริงของฝ่ายนั้น เขายังรู้อีกว่าโจวเซี่ยวเทียนเป็นชื่อที่แท้จริง คนอย่างพวกเขาบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อปลอมเสมอไป
“คนที่อยู่ในวงการตอนนี้ต่างอยู่ยากขึ้นทุกวัน!” เยี่ยเทียนถอนใจ ผู้สืบทอดวิชาฮวงจุ้ยกลับต้องมาขุดสุสานเพื่อหาเลี้ยงชีพ แสดงว่าเหล่านักดูฮวงจุ้ยในสมัยนี้มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก
“เยี่ยเทียน พ่อพูดกับแกไม่ได้ยินหรือ? เหม่ออะไรนักหนา?” เยี่ยเทียนครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่ จึงถูกบิดาตบบ่าเพื่อเรียกสติกลับคืนมา
“หา? พ่อ ว่าอะไรนะ!” เยี่ยเทียนสะดุ้ง หลุดออกมาจากห้วงความคิด
เยี่ยตงผิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เชิงเทียนจูเชวี่ยอันนั้นไม่เลวเลย พ่อมีลูกค้าเก่าแก่คนหนึ่งที่ชอบของแบบนี้ ถ้าเอาไปขายต่อ คงจะได้ราคาสักสองแสนเชียว พ่อว่าแล้วสายตาของแกน่ะดูของดีไม่มีเพี้ยนเลยจริงๆ?”
“พ่อจะขาย?”
เยี่ยเทียนมองพ่อด้วยสายตาแปลกประหลาด “พ่อ ถ้าพ่อไม่อยากให้ลูกค้าคนนั้นอายุสั้นล่ะก็ อย่าได้ขายต่อเชียว ของชิ้นนั้นเป็นอัปมงคล ผมซื้อมาเพราะเผื่อวันหน้าจะได้ใช้…”
ยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตกห่างจากยุคปัจจุบันตั้งสองพันกว่าปี เชิงเทียนอันนี้จึงถูกไอพลังพิฆาตที่สะสมบ่มเพาะให้กลายเป็นสิ่งของอัปมงคล พลังพิฆาตนี้น่าจะไม่ได้ด้อยกว่าเครื่องรางอู่เหินของเยี่ยเทียนเลย หากก้าวไปอีกขั้นกลายเป็นเครื่องรางที่มีพลังเทียบเท่ากับอู่เหินได้ทีเดียว
ของสิ่งนี้หากวางตกแต่งไว้ในบ้าน จะทำให้สมาชิกในครอบครัวเห็นผีบ่อยๆ ถ้าเยี่ยตงผิงนำของชิ้นนี้ขายออกไป จะเป็นการทำร้ายผู้ที่รับซื้อไว้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
“ของ…ของอัปมงคลเหรอ?” ฟังที่เยี่ยเทียนอธิบายจบแล้ว เยี่ยตงผิงถึงกับตาตั้ง ตอนแรกคิดว่าบุตรชายมีสายตาแหลมคม กลับกลายเป็นว่าเขาได้ซื้อของสกปรกเข้ามาไว้ในบ้านเสียนี่