“แนะนำเพื่อนคุณให้ฉันรู้จักทำไม? ตู้เฉียง ฉันเคยบอกคุณแล้ว ฉันมีแฟนแล้วค่ะ!”
สีหน้าของเว่ยหรงหรงดูไม่ดีเป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์ของเธอกับสวีเจิ้นหนานยังคงลึกซึ้งอยู่ หลังจากทะเลาะกันแล้ว เว่ยหรงหรงก็ได้สำนึกตัวถึงอารมณ์ของตัวเอง วันนี้ที่เรียกสวีเจิ้นหนานมาปิคนิค ก็เพราะอยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดีขึ้น
แต่เธอไม่คิดว่า ตู้เฉียงนั้นจะตามมาด้วย พลางมองไปที่สวีเจิ้นหนานที่สีหน้าดูไม่ได้ที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง เว่ยหรงหรงจึงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ตู้เฉียงปีนี้อายุสามสิบปี เคยอยู่ที่อเมริกามาแปดปี เคยเป็นเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียงอยู่ที่วอลสตรีท หลังจากกลับประเทศเมื่อปีที่แล้ว ก็กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ที่ปักกิ่ง มีคฤหาสน์และรถยี่ห้อดังเป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นหนุ่มอายุน้อยที่มีความสามารถมาก
เมื่อสองเดือนกว่าๆ ตอนที่เว่ยหรงหรงตามคุณพ่อไปออกงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ได้รู้จักกับตู้เฉียง ในตอนนั้นนักเรียนนอกคนนี้ให้เกียรติเว่ยหรงหรงเป็นอย่างมาก พอวันที่สองก็เปิดฉากตามจีบเว่ยหรงหรงอย่างร้อนแรง
เพื่อตามจีบเว่ยหรงหรง ตู้เฉียงเองก็ลงแรงไปไม่น้อย ดอกไม้วันละช่อไม่ต้องพูดถึง แถมยังมอบของขวัญเล็กๆ ที่ให้กับเพื่อนร่วมงานของเธอ จึงได้ใจคนมาไม่น้อย การปิคนิกในวันนี้ ก็เป็นเพื่อนร่วมงานคนนึงของเธอที่เป็นคนบอกเขาเอง
“หรงหรง ทุกคนก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? ออกมาเที่ยวด้วยกันก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพื่อนคนนี้ คุณเห็นด้วยใช่ไหมครับ?”
หากเทียบกับสวีเจิ้นหนานที่ยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ด้านข้างแล้ว ท่าทางของตู้เฉียงดูแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเจอศัตรูหัวใจก็ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้เหมือนเดิม แม้แต่สวีเจิ้นหนานเองก็เกิดความรู้สึกด้อยค่าสู้คนอื่นไม่ได้
เมื่อเห็นเว่ยหรงหรงไม่พูดอะไร ตู้เฉียงจึงชี้ไปที่คนสามคนที่เดินตามมาด้านหลัง กล่าวว่า “คนนี้คือจี่หรานหรือคุณจี่คนนี้คือเหรินเจี้ยนหรือคุณชายเหริน คิดว่าประธานซางพวกคุณคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้างแล้วแน่นอน ช่วงนี้มีละครที่กำลังดัง “เก๋อเก๋อ” ก็เป็นผลงานของบริษัทเขาเองครับ…”
หลังจากฟังการแนะนำของตู้เฉียงจบแล้ว พวกสาวๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสองคนตรงหน้า แต่พอได้ยินว่าละครโทรทัศน์ที่กำลังดังถล่มทลายไปทั่วสารทิศเรื่องนั้นเป็นผลงานของบริษัทของหนุ่มร่างอวบคนนี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า สายตาพลันเป็นประกายขึ้นมา
ควรทราบว่า ตั้งแต่ละครเรื่องนั้นเริ่มออกอากาศ ก็ได้ทำลายสถิติการรับชมของแต่ละสถานีลงในทันที ด้านหน้านี้ก็เรียกได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประกาศหรือพิธีกรของสถานีโทรทัศน์ ดังนั้นจึงรู้ว่ามันหมายถึงอะไร
ที่สำคัญไปกว่านั้น ละครเรื่องนี้ยังดันให้นักแสดงใหม่ที่แต่เดิมไม่มีชื่อเสียงได้โด่งดังขึ้นมา โดยเฉพาะเสี่ยวเยี่ยนจื่อจอมแก่นคนนั้น ก็กลายเป็นไอดอลในสายตาของใครหลายคนไปแล้ว
เป็นพิธีกรที่สถานีโทรทัศน์ ไม่มีทางฉายแสงได้เหมือนกับนักแสดง สาวๆ ที่มาปิคนิคในครั้งนี้อายุอานามก็ประมาณยี่สิบกว่าๆ ในใจก็แอบซ่อนความฝันที่อยากจะเป็นดาราไว้เหมือนกัน พอได้ยินการแนะนำของตู้เฉียง ทันใดนั้นก็เสียงดังจ้อกแจ้กพูดคุยสนทนากับประธานซางเป็นการใหญ่
พอได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ ใบหน้าของตู้เฉียงอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมา ตามความคิดของเขา แค่นักเรียนที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังกล้าคิดจะมาแย่งผู้หญิงกับเขา? แค่ใช้วิธีการนิดหน่อย ก็สามารถทำให้เขารู้สึกอับอายแล้วออกจากสนามไปได้แล้ว
จี่หรานและคนอื่นๆ ล้วนเป็นลูกค้าของตู้เฉียง สองปีที่ผ่านมานี้ตู้เฉียงได้ช่วยทำเงินให้พวกเขาไม่น้อย ต่อมาจึงกลายเป็นเพื่อนกัน วันนี้ที่เรียกพวกเขาสามคนมาด้วย ก็เพราะตู้เฉียงอยากจะแสดงให้เว่ยหรงหรงเห็นว่าเส้นสายของตัวเอง
หากดูจากตอนนี้ หมากเกมนี้ของตู้เฉียงถือว่าผลเป็นที่น่าพอใจ แม้แต่เว่ยหรงหรงเองก็เข้าไปถามกับซางปู้ฉี่ด้วยเหมือนกัน เพราะตัวเธอเองก็เป็นแฟนคลับละครเรื่อง “เก๋อเก๋อ”
ซางปู้ฉี่ที่ถูกสาวๆ รุมล้อมอยู่พักใหญ่ได้แอบยกนิ้วโป้งให้กับตู้เฉียง พลางหัวเราะพูดว่า “โอเค คุณสุภาพสตรีทั้งหลาย พวกเราเข้าไปคุยข้างในกันต่อดีกว่า ตรงนี้ร้อนมาก พวกคุณไม่กลัวโดดแดดจนผิวไหม้เหรอครับ?”
หลายปีมานี้ซางปู้ฉี่ใช้ต้นทุนจากที่บ้าน มาเปิดบริษัททำภาพยนตร์ของตัวเอง และยังมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ประธานซางในวันนี้ หากเทียบกับเมื่อสองปีก่อนก็นับว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก
แต่ทว่าไอ้นิสัยหนุ่มเจ้าสำราญ เจ้าชู้ประตูดินนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน ประธานซางที่ควงดาราน้อยใหญ่จนเบื่อแล้ว พอวันนี้ได้ยินว่าจะมีสาวสวยจากสถานีโทรทัศน์มาด้วย จึงรีบวิ่งตูดกระดกตามมา
“เจ้าอ้วนนั่น ก็ดีแต่เอาคำว่าดารามาหลอกสาว…”
พอเห็นซางปู้ฉี่ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มสาวๆ แล้ว คุณชายเหรินก็ยัวะจนถุยน้ำลายลงบนพื้น ทุกครั้งที่ออกมาเล่นกับเขาจะต้องเป็นแบบนี้ตลอด ผู้หญิงพวกนี้พอได้ยินว่าซางปู้ฉี่เป็นเถ้าแก่บริษัททำภาพยนตร์ ก็อยากจะรีบเปลือยกายเข้าไปสัมภาษณ์กับมัน
“จะโมโหเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปทำไม? เหล่าซางหลายปีมานี้ก็แนะนำดาราให้นายไม่น้อยไม่ใช่เหรอ?”
จี่หรานที่ยืนอยู่ข้างเหรินเจี้ยนกลับแสดงอาการไม่ทุกข์ร้อน หลายปีมานี้เขาเองก็เริ่มรับช่วงกิจการทางบ้านมาบ้างแล้ว จึงมีความสุขุมมากกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นจึงเผยให้เห็นถึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว
“ถุย ล้วนแต่เป็นรองเท้าเก่าที่เจ้านั่นใส่เบื่อแล้วทั้งนั้น นายคิดว่าเป็นคนดีอะไรนักเหรอ?”
หลังจากได้ฟังจี่หรานกล่าวแล้ว เหรินเจี้ยนยิ่งโมโหเข้าไปอีก บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งขวางทางเดินเขาอยู่พอดี คุณชายเหรินก็ยื่นมือผลักออกไป “เอ้า หลบหน่อยๆ มายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ทำไมไม่เข้าไปซะที?”
“ไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ทำไมยังเป็นคนไร้จิตสำนึกแบบเดิมอยู่?” เยี่ยเทียนที่ถูกเหรินเจี้ยนผลักเข้าไปทีหนึ่งจึงได้แต่สายหน้าอย่างจนใจ
ในตอนที่จี่หรานเพิ่งลงรถ เขาก็จำคนสองสามคนนี้ได้แล้ว แต่เยี่ยเทียนไม่ได้มีเรื่องคบค้าสมาคมกับพวกเขา ตรวกันข้ามกลับมีหนี้แค้นติดค้างกันอยู่ แน่นอนว่าจไม่เดินไปทักทายก่อนแน่นอน
เยี่ยเทียนถึงแม้จะยืนอยู่หลังกลุ่มคนเหล่านั้น พลางคิดว่าจะหาทางพูดคุยกับสวีเจิ้นหนานที่กำลังจิตตก แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกคุณชายเหรินกล่าวหาว่าเป็นคนขวางทางไปได้
พอหันข้าง เยี่ยเทียนก็หัวเราะพลางพูดว่า “พี่เหริน เชิญพี่ก่อนครับ…”
เยี่ยเทียนกับเหรินเจี้ยนไม่ได้สนิทสนมกัน ที่เรียกว่าพี่ก็เพื่อประชดเหรินเจี้ยน เขาเองก็อยากจะรู้ว่าเมื่อคุณชายเหรินเห็นตัวเองแล้ว จะมีสีหน้าเป็นแบบไหน?
“อืม ยังถือว่าพูดรู้เรื่อง!”
อารมณ์ที่ชอบมีเรื่องกับคนอื่นของเหรินเจี้ยนนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด พยักหน้าเป็นการใหญ่อย่างมีมาด ใช้หางตา มองเยี่ยเทียนไปแวบหนึ่ง แล้วตลอดทั้งตัวก็ราวกับถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้นไปชั่วขณะ
“นาย…นาย นาย…”
คุณชายเหรินยกมือขวาขึ้น ชี้หน้าเยี่ยเทียนพร้อมพูดคำว่า”นาย” เป็นพัลวัน ร่างกายก็เริ่มสั่นเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าคนที่นำฝันร้ายมาให้เขาตลอดหลายปี อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดอยู่ต่อหน้าตัวเองแบบนี้
หลังจากครั้งนั้นที่สั่งสอนเยี่ยเทียนไม่สำเร็จ เหรินเจี้ยนกลับถูกหม่าเหล่าซานจัดการไปจนน่วม ตามมาด้วยผู้ใหญ่ในครอบครัวหลายคนที่ตักเตือน ให้พวกเขาสั่งสอนเด็กในบ้านของตัวเองให้ดี
นับแต่นั้นมา ฝันร้ายของคุณชายเหรินก็ได้เริ่มขึ้น ตัดเงินค่าขนมทั้งหมดไม่เท่าไร แต่ตอนที่ห้ามออกนอกบ้านเกือบครึ่งปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าอนาถ เพียงเหรินเจี้ยนหลับตาลง ร่างเงาของเยี่ยเทียนก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้าทันที
ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านไปสองปีกว่า และเหรินเจี้ยนก็ไม่ได้เจอเยี่ยเทียนอีก แต่ใบหน้าของเยี่ยเทียนนั้น เขาสามารถหยิบดินสอออกมาวาดได้เลย แล้วทำไมถึงมาเจออีกล่ะ เหรินเจี้ยนตกใจจนพูดจาอึกอัก
อีกทั้งครอบฟันโลหะเคลือบพอร์ซเลนสองสามซี่ที่อยู่ในปากของเขานั้น ก็ดันรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ขึ้นมา ในปีนั้นก็เป็นเพราะเยี่ยเทียน เขาถึงถูกหม่าเหล่าซานตบจนฟันร่วงไปหลายซี่
“พี่เหริน บังเอิญจริงๆ เชิญพี่ก่อนเลยครับ…”
หลังจากเห็นสภาพของเหรินเจี้ยน เยี่ยเทียนก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ จิตใจของเจ้าคนนี้รับแรงกดดันได้ไม่เลวเลย ฝันร้ายอยู่เกือบครึ่งปี แต่ก็ยังชอบหาเรื่องวางมาดอยู่เหมือนเดิม สงสัยรอบที่แล้วมือคงหนักไม่พอ
“เยี่ย…พี่เยี่ย…เชิญพี่ก่อนเลยครับ!”
ตีให้ตายเหรินเจี้ยนก็ไม่ยอมทำตัวเป็นขาใหญ่ต่อหน้าเยี่ยเทียน? หลังจากพยายามอย่างยิ่งยวดในการบังคับกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า คุณชายเหรินก็พูดอย่างอึกอัก กระทั่งโน้มตัวให้เยี่ยเทียน
ในใจของเหรินเจี้ยนเวลานี้ เกลียดตู้เฉียงจนเข้ากระดูกดำไปแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เขาที่เรียกตัวเองมาปิคนิค ก็คงไม่มีทางได้เจอกับดาวเคราะห์ของตัวเองอย่างเยี่ยเทียน
“ไม่เจอกันไม่สองสามปี พี่เหรินรู้จักจะเกรงใจเป็นแล้วเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา และขี้เกียจที่จะต่อปากต่อคำกับเหรินเจี้ยน พลางมองไปด้านข้างเห็นจี่หรานที่ดูตกใจเล็กน้อย จึงหัวเราะพลางพูดว่า “คุณชายจี่ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว จี่หรานก็ดึงสติกลับมาจากอาการตกใจในตอนที่เจอกับเยี่ยเทียน แล้วรีบพูดอย่างเร่งรีบว่า “สวัสดีครับคุณเยี่ย ผมคอยตามหาคุณอยากเพื่อขอโทษมาตลอด แต่เหมือนสองปีที่ผ่านมาคุณจะไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่ง วันนี้ได้เจอแล้ว จึงหวังว่าคุณเยี่ยจะไม่กล่าวโทษพวกเราพี่น้องนะครับ…”
จริงๆ แล้วจี่หรานไม่เคยล่วงเกินเยี่ยเทียน การวางตัวของเขาที่ดูนอบน้อมนั้น เป็นเพราะเมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านั้น เขาเคยถูกคนสนิทของคุณหญิงซ่งอิงหลันตักเตือน ไม่ให้เขาไปหาเรื่องเยี่ยเทียนอีก
คนตระกูลซ่งไม่ใช่พวกที่จี่หรานจะไปหาเรื่องได้ หลังจากถูกเตือนแล้ว คุณชายจี่ก็ตามหาเยี่ยเทียนไปทั่วสารทิศ อยากจะไปขอโทษด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนก็ลาออกจากหวาชิงไปแล้ว จึงค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป
แต่ว่าเวลานี้ได้พบกับเยี่ยเทียนอีกครั้ง เรื่องราวในตอนนั้นก็กลับมากวนจิตใจอีกครั้ง คุณชายจี่ไม่กล้าปฏิบัติกับเยี่ยเทียนแบบขอไปที อากัปกิริยานั้นระมัดระวังและเคารพมากกว่าตอนเจอญาติผู้ใหญ่ของตัวเองเสียอีก
โชคดีที่นอกจากเยี่ยเทียนสองสามคนนี้แล้ว คนอื่นๆ ได้เข้าไปในรีสอร์ทกันหมด ไม่อย่างนั้นการแสดงของเหรินเจี้ยนกับจี่หราน คงจะทำให้ทุกคนช็อคไปตามๆ กัน
“คุณชายจี่เกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องที่ผ่านมาก็ไม่ต้องพูดถึงอีก…”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางส่ายหน้า หลังจากที่เว่ยหรงหรงเข้าไปข้างในแล้วจึงตะโกนรียกพี่ใหญ่ที่กำลังเศร้าสร้อยอยู่ “พี่ใหญ่ เข้าไปแล้ว สี่คนนี้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววัง จะมาแย่งแฟนของพี่ได้ยังไงกัน?”
“แย่งแฟน? คุณเยี่ย นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน?” จี่หรานตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียน อย่างที่รู้กัน ในปีนั้นเหรินเจี้ยนหาเรื่องเยี่ยเทียนก็เพราะเรื่องผู้หญิง
เยี่ยเทียนหัวเราะ ชี้ไปที่สวีเจิ้นหนานพลางพูดว่า “แฟนสาวของเพื่อนผมกำลังถูกคุณตู้คนนั้นตามจีบ เเหะๆ คุณชายจี่พวกคุณคงไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหมครับ?”
เมื่อเห็นสายตาที่เยี่ยเทียนมองมาที่ตัวเอง เหรินเจี้ยนจึงรู้สึกงงโบกไม้โบกมือ แล้วพูดว่า “ไม่รู้ครับ ผม…ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ!”
“คุณเยี่ย เรื่องนี้พวกเราสามสี่คนไม่ทราบจริงๆ คุณวางใจได้ กลับไปเดี๋ยวพวกเราจะไปเกลี้ยกล่อมตู้เฉียง เขาจะไม่ไปรุ่มร่ามกับแฟนสาวของคุณชายคนนี้อีกแน่นอน”
เวลานี้ในใจของจี่หรานก็เกลียดตู้เฉียงขึ้นมาแล้ว นายจะหาเรื่องใครก็ไม่หาเรื่อง? ดันมาหาเรื่องเพื่อนของเยี่ยเทียน?แบบนั้นไม่ใช้การตบแมลงวันบนหัวเสือเหรอ….อยากรนหาที่ตายนักหรือไง?