“แต่ว่า แต่ถ้าหากหรงหรงอยากจะขอเลิกกับฉันล่ะ แล้วฉันจะทำยังไง?”
สวีเจิ้นหนานกพูดด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ตอนนี้เขายังเป็นแค่นักศึกษา ถึงแม้ที่บ้านจะพอมีฐานะ แต่บ้านของเว่ยหรงหรงก็มีอันจะกิน ตอนที่เต้องเผชิญหน้ากับคนที่ทำงานขับเบนซ์คนนั้น ในใจของสวีเจิ้นหนานก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่นิดหน่อย
“ก็บอกแล้วว่าไม่แน่นอน ถึงแม้เว่ยหรงหรงจะนิสัยไม่ค่อยดี แต่ไม่ใช่คนที่เห็นของใหม่ก็ลืมของเก่า พี่ใหญ่ พี่ต้องมั่นใจหน่อย…”
เห็นสีหน้าของสวีเจิ้นหนานที่เหมือนอยู่ในเหตุการณ์วันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือน เยี่ยเทียนจึงรู้สึกขำมาก และก็สามารถเข้าใจอารมณ์ของเขาได้ ถ้าหากอวี๋ชิงหย่าเกิดทะเลาะกับตัวเองล่ะก็ เยี่ยเทียนก็คงต้องหาคนระบายความในใจเช่นกัน
หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน สวีเจิ้นหนานจึงพูดอย่างอึกอักว่า “เยี่ยเทียน เอาอย่างนี้ดีไหม พรุ่งนี้นายไปเจอหรงหรงเป็นเพื่อนฉันเป็นยังไง? ถ้าเธอบอกเลิกกับฉันจริงๆ นาย…นายก็จะได้ช่วยพูดให้ฉันไง!”
“เห้อ ผมว่าพวกนายสองคนนัดเดทกัน เอาผมไปทำอะไรเล่า?..ไม่ไป!” เยี่ยเทียนปฏิเสธย่างไม่ใยดี เขารู้ดีว่าสองคนนี้ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร สุดท้ายก็ได้อยู่ร่วมกันอยู่ดี เลยขี้เกียจจะเอาตัวเข้าไปยุ่ง
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนปฏิเสธอย่างไม่ใยดี สวีเจิ้นหนานจึงร้อนใจอยู่บ้าง แล้วรีบพูดว่า “ไม่ใช่นัดเดท แต่เป็นหรงหรงกับเพื่อนร่วมงานไปปิคนิคด้วยกันแถวชานเมือง นายสามารถชวนอวี๋ชิงหย่าไปด้วยกันได้…”
“ปิคนิค? ที่ไหน?” หลังจากได้ยินคำพูดของสวีเจิ้นหนานแล้ว เยี่ยเทียนก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหว เขาออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนอวี๋ชิงหย่าสักเท่าไหร่ จึงอยากอาศัยโอกาสนี้ออกไปเที่ยวเล่นกันก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ที่อ่างเก็บน้ำซ่างจวง ขึ้นถนนวงแหวนรอบที่มาถึงถนนซ่างจวงก็ถึงที่นั่นแล้ว…” ดูท่าทางแล้วสวีเจิ้นหนานทำการบ้านมาไม่น้อย แม้แต่ถนนก็ไปสอบถามมาอย่างชัดเจน
“โอเค ฉันจะลองถามชิงหย่า ถ้าเธอไปฉันก็ไป!” คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้สวีเจิ้นหนานเหลือกตาขาว เพราะไอ้เพื่อนคนนี้เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนนี่นา
แต่หลังจากที่เยี่ยเทียนโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว สีหน้าของสวีเจิ้นหนานพลันเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา เขาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างแจ่มชัด ว่าอวี๋ชิงหย่าตกลงที่จะไปร่วมปิ้งย่างด้วย ซึ่งหมายความว่าพรุ่งนี้เค้ามีทีมซัพพอร์ตเพิ่มมาอีกสองคน
หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนจึงหันไปทางสวีเจิ้นหนานแล้วพูดว่า “พอใจแล้วใช่ไหม? นายก็นอนในห้องนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราก็ไปด้วยกัน”
“อย่าเพิ่งสิ จะนอนเร็วไปทำไม พวกเรามาคุยกันก่อนสิ!” เมื่อพูดถึงเรื่องความรัก ถ้าไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันจริงๆ จะพูดไม่ออกแน่นอน นานๆ ทีจะเจอเยี่ยเทียน สวีเจิ้นหนานจะยอมนอนแต่หัวค่ำได้อย่างไร
“นายรีบนอนไปเลย พรุ่งนี้ไม่ได้ทำธุระเพราะไปปิ้งย่างเป็นเพื่อนนาย ตอนนี้ฉันมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย…”
เยี่ยเทียนโบกมืออย่างสบอารมณ์ พลางหยิบขวดเบียร์ขวดหนึ่งแล้วเดินออกไป พูดตามตรงเขาไม่ค่อยไว้ใจเรือนสี่ประสานของตัวเองเท่าไหร่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ถึงแม้ตอนนี้ภัยอันตรายที่อยู่ภายในร่างการถูกกำจัดออกไปแล้ว วรยุทธ์ก็กลับมาเหมือนเมื่อตอนสองปีก่อนไม่ผิด เพี้ยน กระทั่งดีกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ แต่ถ้าอยากบรรลุวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดมาในขั้นสุดท้าย ค่ายกลที่วางไว้ในเรือนสี่ประสานนั้นก็นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก
การอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานไม่เหมือนกับอยู่ในบตึกรามบ้านช่อง พอกลับบ้านแล้วปิดประตู อยู่อาศัยมากกว่าสองสามปีก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านชื่อแซ่อะไร และตอนนี้ก็เป็นเวลาสองสามทุ่มพอดี ประตูของแต่ละบ้านจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่นั่งคุยเพื่อคลายร้อนกันอย่างมากมาย
เมื่อเห็นคุณป้าข้างบ้านกำลังจับรากไม้แกว่งไปแกว่งมา เยี่ยเทียนจึงขำและอดถามไม่ได้ “ป้าหลี่ ป้ากำลังฝึกวิชายุทธ์อะไรอยู่เหรอครับ?”
“อ้าวเสี่ยวเยี่ยเองเหรอ ป้ากำลังออกกำลังกายอยู่” คุณป้าเปล่งเสียงขับพลัง พลางกล่าวทักทายกับเยี่ยเทียน
” ครับ เชิญคุณป้าทำต่อเลยครับ!” เยี่ยเทียนหัวเราะทักทายกับพวกเพื่อนบ้าน ไม่ว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก แค่ทักทายก็จะได้รับการตอบกลับสวัสดีกันทุกคน
“หืม? ไหนพูดไปแล้วว่าจะไม่ทำงานตอนกลางคืนไม่ใช่เหรอ” ตอนที่เดินมาถึงเรือนสี่ประสานของตัวเอง เยี่ยเทียนพบแสงไฟสว่างโร่อยู่ภายในลานบ้าน แล้วจึงอดตะตะลึงไม่ได้
ควรทราบว่า เนื่องจาก “ประตูผี” เปิดไปเมื่อสองสามวันก่อน ภายในลานบ้านจึงเต็มไปด้วยด้วยพลังหยินพิฆาต ถึงแม้ ว่าตัวเองจะปรับปรุงค่ายกลปิด “ประตูผี” ไปแล้ว แต่พลังพิฆาตเหล่านี้ใช่ว่าจะสามารถกำจัดให้หมดไปภายในเวลาสิบวันหรือครึ่งเดือน
ถึงแม้ตอนกลางวันพลังหยางจะเต็มเปี่ยมไม่เกิดปัญหาอะไร แต่พอตกกลางคืน ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนงานที่ร่างกายอ่อนแอบางคนเห็นสิ่งที่สิ่งสกปรกที่ไม่ควรเห็น
“ช่างหวัง นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” หลังจากเข้ามาในลานบ้านแล้ว เยี่ยเทียนจึงพบว่าช่างหวังยังอยู่ จึงรีบเข้าไปดึงเขา
“เยี่ยเทียน คุณกลับมาแล้ว? ถามเรื่องการก่อสร้างนี้ใช่ไหมครับ?” ช่างหวังเห็นเยี่ยเทียนที่เป็นคนดึงเขา จึงเผยสีหน้าสีหน้าดีใจออกมาไม่หยุด
“ใช่ครับ ไหนบอกไปแล้วว่ากลางคืนห้ามทำงานไม่ใช่เหรอครับ?” เยี่ยเทียนแอบโคจรพลังวรยุทธ์ในระหว่างที่พูดไปด้วย เพื่อรับรู้ถึงพลังพิฆาตบริเวณลานหน้าบ้านเสียหน่อย แล้วจึงแอบโล่งอก เพราะพลังพิฆาตในลานบ้านแห่งนี้ได้สลายไปค่อนข้างจะเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน ช่างหวังจึงอธิบาย “เยี่ยเทียน คืออย่างนี้ เดือนหน้าบริษัทของพวกเรารับงานซ่อมบำรุงเมืองเก่าไว้ ทีมงานก่อสร้างนี้จะถูกดึงตัวไปทั้งหมด ดังนั้นงานของคุณทางนี้จึงต้องเร่งมือหน่อย ตอนกลางวันหลังจากพวกเราทำลานหลังบ้านแล้ว ตอนกลางคืนมาซ่อมแซมด้านหน้า โดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น!”
บ้านผีสิงหลังนี้ของเยี่ยเทียนเคยเป็นประเด็นร้อนแรงของเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังมาแล้ว ช่างหวังก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่งานก่อสร้างที่รับไว้เดือนหน้าทั้งหมดจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาของบริษัทเป็นอย่างมาก และเว่ยหงจวินก็เป็นคนประมูล เขาถึงได้ตัดสินใจรีบทำงานของเยี่ยเทียนในคืนนั้น
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง ช่างหวัง อย่างนั้นก็ไปบอกคนงาน ตอนกลางคืนอย่าไปที่ลานหลังบ้าน!”
กว่าจะทำให้เรื่องผีสางเงียบลงไปได้ไม่ง่าย เยี่ยเทียนจึงไม่อยากจะให้มีประเด็นขึ้นมาอีก หลังจากสั่งงานช่างหวังสองสามประโยคแล้ว จึงพูดว่า “ผมจะไปดูลานหลังบ้าน ช่างหวังคุณไม่ต้องตามมานะครับ”
แท้จริงแล้วต่อให้เยี่ยเทียนอนุญาตให้ช่างหวังไปด้วย เกรงว่าเขาก็ไม่กล้า ความจริงเมื่อสองวันที่ผ่านมามีคนพบสิ่งผิดปกติที่ลานหลังบ้าน เพียงแต่เว่ยหงจวินเปลี่ยนคนงานพวกนั้นออกจากทีมก่อสร้าง ถึงทำให้ไม่เกิดความหวาดกลัวของทีมก่อสร้าง
“อยากจะรู้พลังพิฆาตที่อยู่ที่นี่ให้ชัดเจน เกรงว่าคงจะต้องรอให้ค่ายกลเสร็จสมบูรณ์ก่อนแล้วถึงจะทำได้!”
เมื่อเข้ามาที่ลานหลังบ้าน เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงพลังหยินพิฆาตที่แฝงอยู่ตรงกลางลานบ้าน แล้วจึงส่ายหน้าไม่หยุด เพราะพลังพิฆาตที่สะสมมาเป็นวลาหลายร้อยปีของพระราชวังทั้งหมดได้มารวมกันอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว มีหรือที่จะกำจัดออกไปให้หมดเกลี้ยงได้อย่างง่ายดาย?
แต่ว่าค่ายกลพวกเหล่านี้สำหรับเยี่ยเทียนในเวลานี้ กลับไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้ เมื่อเปิดไฟภายในลานบ้าน เยี่ยเทียนจึงสำรวจความคืบหน้าในงานก่อสร้างอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง
“ไม่เลว ดูท่าแล้วตัวเองจะต้องรีบไปหาของขลังสองชิ้นมาแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ซ่อมแซมเสร็จแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้ค่ายกลทำงานได้!”
สำหรับการเปรับปรุงซ่อมแซมลานหลังบ้าน เยี่ยเทียนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ห้องต่างๆ ล้วนแต่ซ่อมแซมตามรูปแบบของเรือนสี่ประสานแบบเก่า ปรากฏรูปแบบของสถาปัตยกรรมของบ้านตระกูลใหญ่โตในตอนนั้นออกมาได้อีกครั้ง
และที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ หินอ่อนสีขาว (หินอ่อนฮั่นไป๋ยวี่) ที่ต้องใช้ในการสร้างค่ายกล ทั้งหมดได้สร้างตามตำแหน่งที่เยี่ยเทียนบอกทั้งสิ้น ไม่มีคลาดเคลื่อนใดๆ
แต่ถ้าอยากทำให้ค่ายกลทำงาน จำเป็นต้องใช้ของขลังสองชิ้นวางไว้ที่ตาของค่ายกล พอคิดถึงของขลังทั้งหกชิ้นนั้นที่ตัวเองทำหายไป เยี่ยเทียนก็รู้สึกเจ็บหัวใจเจ็บตัวไม่หยุด
“อีกหนึ่งเดือนถึงเสร็จงาน ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็จะใช้มีดสั้นอู๋เหินกับหยกของพี่เชินแทนก่อนก็แล้วกัน…” พอส่ายหน้าแล้ว เยี่ยเทียนจึงหมุนตัวเดินออกมาจากลานหลังบ้าน
เช้าวันที่สองหลังจากรออวี๋ชิงหย่ามาถึงแล้ว เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ จึงรีบเรียกแท็กซี่ไปยังอ่างเก็บน้ำซ่างจวง
“ที่นี่ไม่เลวจริงๆ ทำไมถึงไม่เคยรู้มาก่อน?”
หลังจากมาถึงอ่างเก็บน้ำซ่างจวงแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปบริเวณโดยรอบ เป็นตำแหน่งที่ติดภูเขาและแม่น้ำพร้อมกับอากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์ เป็นสถานที่หายากมากในเมืองปักกิ่งแบบนี้
“จี จี!” เจ้าตัวเล็กที่แอบอยู่ในกระเป๋าของเยี่ยเทียนได้โผล่ศรีษะเล็กๆ ออกมา เพื่ออยากร่วมสนุกสนานไปด้วย
“เยี่ยเทียน ให้ฉันเลี้ยงเถอะ!” ผู้หญิงพอเห็นของน่ารักๆ ก็ห้ามใจไม่อยู่ อวี๋ชิงหย่ายื่นมือออกไปทางเยี่ยเทียน
“ฉันก็อยากจะให้เธอ แต่มันไม่ยอมน่ะสิ!”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงยิ้มเจื่อนๆ เขาหยิบเอาเจ้าเฟอร์เร็ตเด็กออกมาจากกระเป๋าแล้ว แต่กรงเล็บของเจ้าตัวเล็กนั้นกลับตะขบเสื้อของเยี่ยเทียนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ดวงตาแสนรู้จ้องมองมาที่เยี่ยเทียนตาละห้อย อย่างกับถูกรังแกอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นการแสดงออกของเฟอร์เร็ตเด็ก อวี๋ชิงหย่าก็จนปัญญา แล้วพูดอย่างจนใจว่า “ช่างเถอะ งั้นนายก็เลี้ยงเองเถอะ!”
“ชิงหย่า เยี่ยเทียน ทำไมพวกเธอก็มาด้วยล่ะ?”
รถแท็กซี่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน รถมินิบัสคันหนึ่งก็หยุดลง หลังจากเว่ยหรงหรงลงรถมาก็มองเห็นอวี๋ชิงหย่าเป็นคนแรก แล้วจึงวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าดีใจระคนความตื่นเต้น
จากนั้นจึงถลึงตาใส่สวีเจิ้นหนานที่ยืนอยู่ข้างๆ เหมือนคนทำเรื่องอะไรผิด แล้วเว่ยหรงหรงจึงพูดว่า “ถือว่านายยังรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้าง!”
“ฉันไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวตรงไหน?” สวีเจิ้นหนานหัวเราะแบบแกนๆ แต่พอเห็นเว่ยหรงหรงไม่ได้นั่งรถเบนซ์มา อารมณ์ของเขาก็สบายขึ้นเป็นอย่างมาก
“ผู้ชายใจแคบ ชิงหย่า ไปกันเถอะ ทางนั้นยังมีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคน พวกเธอได้ยินว่าเธอไปฝึกงานที่สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ล้วนแต่อิจฉาเธอกันทั้งนั้น…”
เว่ยหรงหรงกรอกตาขาวใส่สวีเจิ้นหนานอย่างไม่สบอารมณ์ แม้แต่คนไม่มีประสบการณ์ด้านความรักอย่างเยี่ยเทียนก็ยังดูออก ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น เพียงแต่เอาแต่ใจตัวเองเท่านั้น
“ฉันว่า พวกเราสองคนเป็นส่วนเกินแล้วหรือเปล่า?”
เมื่อไปถึงเพื่อนร่วมงานของเว่ยหรงหรง เยี่ยเทียนรู้สึกไม่อิสระขึ้นมาทั้งตัว เพราะว่าบนรถนั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมดพร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายราวกับฝูงเป็ด เสียงหนวกหูจนเยี่ยเทียนปวดหัวขึ้นมา
“เพื่อความสุขของเพื่อน นายก็ทนๆ หน่อยแล้วกัน!”
แต่สวีเจิ้นหนานกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร สำหรับเว่ยหรงหรงแล้วเขาจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน พี่ใหญ่สวีจึงวางใจและสบายใจมาก ถ้าหากต้องการเลิกกับตัวเองจริงๆ อย่างนั้นก็คงไม่พาเขามาเจอเพื่อนร่วมงานแน่นอน
“พวกคุณมากันหมดแล้วเหรอ หรงหรง ผมบอกว่าจะไปรับคุณตอนเช้า ทำไมคุณมาก่อนเสียล่ะ?”
อารมณ์ดีของพี่ใหญ่สวีรักษาอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากตอนที่พวกเขาเตรียมตัวจะเข้าไปพักผ่อนในซานจวงนั้น รถเบนซ์สองคันก็ได้มาจอดอยู่ข้างกายแงเป็นหน้าหลังอย่างละคัน
“ตู้เฉียง นายไม่รำคาญหรือไง? ฉันออกมาเที่ยวเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?” เว่ยหรงหรงฉายาแม่พริกขี้หนูไม่ได้มาอย่างเสียเปล่า แล้วจึงไม่ไว้หน้าคนที่มาแม้แต่น้อย
“หรงหรง ลุงเว่ยให้ผมติดตามคุณมาด้วย เพราะกลัวว่าคุณจะถูกคนหลอกไม่ใช่เหรอครับ?”
อารมณ์ของผู้ชายที่ขับรถเบนซ์มาถือว่าดีมาก เมื่อเห็นคนสองสามคนที่อยู่ในรถอีกคันก็เดินลงมา จึงรีบพูดว่า “หรงหรง ผมจะแนะนำเพื่อนสองสามคนให้คุณรู้จัก พวกเขาล้วนแต่เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังทั้งนั้น!”